เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 676 รู้สึกผิดปกติ
ซูย้าวเดินตามพ่อบ้านไปจนถึงด้านในก่อนจะชะลอฝีเท้าลงเมื่อขึ้นไปถึงชั้นสอง
ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยเครื่องออกกำลังกาย ห่างออกไป มีชายร่างสูงคนหนึ่งกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง ชายหนุ่มสวมกางเกงขาสั้น เสื้อยืดแขนกุด มีผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กพาดอยู่ที่คอ ใบหน้าด้านข้างดูเกลี้ยงเกลา ผิวขาวเนียนละเอียด ราวกับหยกสลัก
พ่อบ้านเดินไปหยุดอยู่ข้างชายหนุ่ม ก่อนจะกระซิบเบา ๆ ว่า “คุณชายรอง คุณอานมาแล้วครับ”
เจียงจี้ฉีไม่ได้ตอบอะไร แต่หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็กดปุ่มบนลู่วิ่งสองสามที จากนั้นความเร็วในการก้าวเท้าเขาก็ค่อย ๆ ผ่อนช้าลง จนในที่สุดก็หยุดอยู่กับที่
พ่อบ้านเดินกลับมาทางซูย้าว ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณอานต้องการอะไรเรียกผมได้ตลอดเลยนะครับ” จากนั้นพ่อบ้านจึงเดินออกไป
ทิ้งไว้แค่เขากับเธอเพียงสองคนในห้อง ถึงแม้บรรยากาศจะค่อนข้างกดดันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถือว่าชวนประหม่าเกินไป
เจียงจี้ฉีไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนที่จะคุยกับเธอ เขาเดินไปหยิบแก้ว พร้อมกับดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเข้าไปอีกสองสามอึก หลังจากวางแก้วลงแล้ว เขาจึงเบนสายตาหันมาสำรวจซูย้าว “คุณเองเหรอ ที่อยากจะช่วยผมฟ้องร้องคดี?”
ซูย้าวพยักหน้ารับ “ใช่ ฉันเอง”
“ทนายก็ไม่ใช่ ยังอยากจะมาสู้คดีแทนผมอีก?” เจียงจี้ฉีเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา คำพูดเขาทั้งเฉียบคมละเสียดแทง
ซูย้าวยิ้มออกมาอย่างทำตัวไม่ถูก เธอก้มหน้ายอมรับอย่างไม่ปิดบัง “ใช่ ฉันไม่ใช่ทนาย”
เจียงจี้ฉีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันหลังกลับ จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีสบาย ๆ พร้อมกันนั้น เขาก็ชี้ไปทางเก้าอี้ด้านข้างอีกตัวที่ยังว่างอยู่ “นั่งลง”
ซูย้าวเดินตรงไปนั่งเก้าอี้อีกตัวทันที พอนั่งลงปุ้บเธอก็ได้ยินเขาพูดขึ้นว่า “อยากถามอะไรผมล่ะ?”
“วันนั้นเรื่องระหว่างคุณกับ อู๋หยานมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ซูย้าวเองก็ไม่อยากอ้อมค้อม เธอจึงถามเขาออกไปตรง ๆ
เจียงจี้ฉีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาเอามือข้างหนึ่งพาดไว้กับโต๊ะตัวเล็ก ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นเท้าคาง จากนั้นจึงเอียงหน้ามองสำรวจเธออีกรอบ “คุณไม่ได้ตั้งใจร่วมมือกับพ่อแล้วก็พี่ชายผม เพื่อจับส่งผมเข้าคุกหรอกใช่ไหม? จะถามทำไมเยอะแยะ?”
เพียงประโยคเดียว ส่งผลให้ซูย้าวขมวดคิ้วมุ่นทันที “ส่งคุณเข้าคุก?”
เจียงจี้ฉีเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร “ไม่ใช่เหรอ? เพราะผมไม่ยอมขออู๋หยาน แต่งงานไง ดังนั้น ทั้งพ่อทั้งพี่ชายเลยไม่มาสนใจผม ทนายจริง ๆ ก็ไม่ยอมจัดหาให้ จงใจส่งคุณมาอยู่คนหนึ่ง”
ซูย้าวพอจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว ซึ่งถ้าเธอเดาไม่ผิดล่ะก็ เวลาที่ตระกูลเจียงเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ สิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงก็คือ การเจรจาเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลอู๋ เช่น การจัดงานแต่งงาน เพื่อบรรเทาเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก
แต่เจียงจี้ฉี กลับเลือกที่จะต่อต้าน สุดท้าย ผู้เฒ่าตระกูลเจียงกับเจียงจี้เซิงก็เลยเห็นพ้องต้องกันว่า จะไม่ถามไถ่ไม่ใส่ใจชายหนุ่มแล้ว แค่เขาไม่มาเป็นอุปสรรคในการพัฒนาชื่อเสียงของตระกูลเจียง เขาจะคิดยังไงจะทำอะไรก็แล้วแต่เขาเลย
ถึงแม้เจียงจี้ฉี จะถือเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลเจียง แต่เขาก็ไม่ได้เป็นทายาทคนโต หรือเป็นประธานของบริษัทเจียงหย่วน ดังนั้น ต่อให้เขาจะถูกจับขังคุกสักกี่ปี สร้างความเสียหายและผลกระทบให้กับตระกูลเจียงมากแค่ไหน นั่นก็ถือเป็นเรื่องอันน้อยนิดที่เกิดขึ้น
และเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้ตระกูลเจียงได้ใช้แผน “การใหญ่ทำลายญาติ” บังหน้าได้ ไม่แน่ว่าตามแผนการแล้วผลมันอาจจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อตระกูลเลยก็ได้ ซึ่งนั่นก็อาจจะถือเป็นโชคดีที่แฝงตัวมา
ซูย้าวคิดไปคิดมาอย่างละเอียด ก่อนจะพูดขึ้นว่า “งั้นคุณคิดว่าฉันต้องการส่งคุณเข้าคุก? หรือต้องการช่วยคุณให้พ้นจากความผิดกันแน่ล่ะ?”
เจียงจี้ฉีขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก “อะไรนะ? คุณยังอยากช่วยผมอีกเหรอ?”
เธอพยักหน้ารับทันที “ไม่งั้นฉันจะเสียเวลาลำบากลำบนมาหาคุณทำไม? คุณชายรองคุณจะไม่เชื่อฉันก็ได้นะ แต่คุณควรเชื่อในผลประโยชน์ที่จะได้รับสิ?”
พอ เจียงจี้ฉีได้ยินดังนั้น คิ้วเรียวสวยของเขาขมวดเป็นปมขึ้นมาทันที “คุณอยากจะพูดอะไร?”
“ถ้าคุณติดคุกเพราะเรื่องนี้ล่ะก็ มันคงจะสร้างความเสียหายและน่าเสียดายสำหรับฉันมาก แต่ถ้าคุณปลอดภัยหายห่วงจากเรื่องนี้ มันกลับถือเป็นประโยชน์สำหรับฉันอย่างยิ่ง”
ซูย้าวมองไปที่เขา ก่อนจะระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย “เช่น อสังหาริมทรัพย์หลาย ๆ ส่วนที่อยู่ใต้ชื่อคุณ บางทีอาจมีอสังหาริมทรัพย์บางที่ที่ฉันสนใจซื้อ?”
พอ เจียงจี้ฉีได้ฟังเหตุผลเหล่านั้น เขาก็พูดขึ้นว่า “ที่แท้คุณก็ทำเพราะอย่างนี้นี่เอง”
“ใช่ เพราะงั้น ตอนนี้คุณอยากจะให้ฉันช่วยสู้คดีรึยัง? หรือว่าไม่อยาก?” ซูย้าวกะพริบตาเบา ๆ นัยน์ตาซื่อตรง ไม่ได้มีความคิดอื่นใดแฝงอยู่แม้แต่น้อย
เจียงจี้ฉีคิดไปคิดมาอย่างละเอียดรอบคอบอีกที แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่เมื่อพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองแล้ว เขาก็ทำได้แค่สงสัยเท่านั้น
ซูย้าวจับสังเกตสีหน้าเขาได้ จากนั้นเธอจึงพูดต่อว่า “ในเมื่อคุณชายรอง อยากจะให้ฉันช่วยสู้คดีให้ ถ้างั้น เรื่องที่เกิดในคืนนั้น ระหว่างคุณกับอู๋หยาน สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น คุณจะบอกมาได้รึยัง?”
เจียงจี้ฉีถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะมองเธออย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มค่อย ๆ นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในคืนนั้น ขณะที่กำลังจะเริ่มพูด เขาก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือกหนึ่ง “ถ้าผมบอกคุณว่า ผมไม่ได้แตะต้องเธอเลยสักนิด คุณจะเชื่อผมไหม?”
ซูย้าวไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงแค่ฟังเขาเล่าต่อไปเท่านั้น
“ผมกับเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันจริง ๆ แต่ว่า ผมก็ลงมือกับเธอ” เจียงจี้ฉีตอบอย่างไม่ปิดบัง”ผมตบเธอไปหนึ่งที ผมรู้ว่าที่ผมทำลงไปมันไม่ถูก แต่…..”
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นตัวเองเป็นอะไร พออู๋หยาน พูดเรื่องเหล่านั้นขึ้นมา ซึ่งมันค่อนข้างจะสะเทือนใจเขามาก ๆ จนทำให้เขาทนต่อไปไม่ไหว
“หลังจากนั้นผมก็ไปขอโทษเธอ ผู้ชายคนหนึ่งกล้าลงไม้ลงมือกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ มันก็ไม่ถูกจริง ๆ แต่เธอก็มีส่วนผิดนะตกลงไหม?”
เจียงจี้ฉีขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ “แต่สิ่งที่ผมคาดไม่ถึงสุด ๆ ก็คือ เช้าวันต่อมาเธอวิ่งแจ้นไปทำเรื่องฟ้องร้องผม แล้วยังทำหน้าตัวเองจนเป็นแผลเต็มไปหมด แถมยังบอกว่าผมบังคับขืนใจเธออีก ขอร้องล่ะ ผมยังไม่ได้แตะต้องเธอเลยสักนิด!”
เมื่อชายหนุ่มเล่าเรื่องออกมาจนจบ ซูย้าวก็พยักหน้ารับอย่างพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ “งั้นก็จริง ๆ แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มีแค่คุณตบหน้าเธอไปหนึ่งทีเท่านั้น ใช่ไหม?”
ชายหนุ่มตอบกลับด้วยแววตาหนักแน่น “ใช่”
นัยน์ตาคู่สวยของซูย้าวค่อย ๆ หม่นแสงลง สิ่งที่ เจียงจี้ฉีเล่ามาทั้งหมดนั้น มันก็พอ ๆ กับสิ่งที่เธอคาดการณ์เอาไว้อยู่ก่อนแล้ว ผ่านไปสักพัก เธอจึงถามขึ้นอีกครั้งว่า “นอกจากเรื่องนี้แล้ว อู๋หยานก็เคยเป็นคู่หมั้นของคุณมาก่อนใช่รึเปล่า ทำไมถึงถอนหมั้นล่ะ? อีกอย่าง คุณรู้อะไรเกี่ยวกับ อู๋หยานบ้าง?”
ประโยคสุดท้าย ซูย้าวแค่อยากถามลองเชิงดูเฉย ๆ
เธอรู้สึกมาตลอดว่า อู๋หยานนี่ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างที่เห็นภายนอกแน่ ผู้หญิงคนนี้ มีบางอย่างซุกซ่อนไว้อยู่ และยังดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับตัวเธอเองอีกด้วย
พอคุยมาถึงตรงนี้ เจียงจี้ฉีก็ไม่ค่อยอยากจะพูดออกมาตรง ๆ สักเท่าไร “เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีอะไร คุณอานพูดง่าย ๆ เลยนะ คือในสายตาผู้ชายเรา มักจะแบ่งผู้หญิงออกไว้เป็นสองประเภท หนึ่งคือผู้หญิงดี ๆ เหมาะที่จะแต่งงานแล้วพาเข้าบ้านแน่นอน สองคือผู้หญิงที่เอาไว้เล่นสนุกชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งอู๋หยาน ก็ถือเป็นอย่างหลัง”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่ออีกว่า “ส่วนเรื่องที่หมั้นหมาย มันก็เป็นการตกลงกันระหว่างตระกูล ผมไม่ได้เป็นคนต้นคิดอยู่แล้ว”
นัยน์ตาของซูย้าวสว่างวาบขึ้น เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่เจียงจี้เซิงบอกเธอมาก่อนหน้านี้อู๋หยาน นั้นเคยชอบพอเขามาก่อน แถมยังเคยมีความสัมพันธ์ต่อกันมาไม่มากก็น้อย งั้นก็ไม่แปลกที่ เจียงจี้ฉีจะอยากถอนหมั้นกับเธอ
เนื้อหาระหว่างการสนทนาส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่ซูย้าวคิดเอาไว้ ถ้าพูดรวม ๆ แล้ว คดีนี้มันก็ไม่ได้ถือว่าร้ายแรงขนาดนั้น แต่ที่น่ากังวลก็คือทั้งสองล้วนเป็นตระกูลใหญ่ ดังนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้น มันถึงได้รุนแรงขนาดนี้
ทั้งคู่พูดคุยกันไปอีกสักพัก จนซูย้าวรู้สึกว่าพอประมาณแล้ว เธอจึงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวล่ำลาชายหนุ่ม ส่วน เจียงจี้ฉีก็อาสาเดินลงไปส่งเธอชั้นล่าง ระหว่างที่กำลังเดินลงบันไดเวียน เขาก็สังเกตเห็นลี่เฉินซียืนคุยโทรศัพท์อยู่ในศาลาหลังบ้านที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ชายหนุ่มจ้องมองไปทางนั้นอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะค่อย ๆ ถามขึ้นว่า “คุณอานกับคุณชายลี่…… ”
ซูย้าวชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบอย่างขอไปทีว่า “เขาพาฉันมาที่นี่เอง ทำไมเหรอ?”
คิ้วของเจียงจี้ฉีกระตุกเล็กน้อย ราวกับเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก อยู่ ๆ เขาก็รั้งเธอไว้
“คุณอานครับ” เขาก้มหน้ามองลงมาที่เธอ นัยน์ตาชายหนุ่มดูลึกลับซับซ้อน “ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ นิดหน่อย บางทีคุณก็ควรจะใส่ใจมันด้วย”
เขารู้ดี ว่าผู้ชายอย่างลี่เฉินซีจะไม่พาผู้หญิงมาที่นี่ง่าย ๆ แน่ อีกอย่างครั้งนี้ซูย้าวก็เป็นคนยืนกรานที่จะช่วยเขาสู้คดีเอง พร้อมกับยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ซึ่งลี่เฉินซีก็คอยจับตาดูพวกเขาทั้งหมดอยู่ เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่มันมากเกินกว่าปกติแน่ ๆ
ซูย้าวเกร็งตัวขึ้นเล็กน้อย “อะไรเหรอ?”
เจียงจี้ฉีใช้มือข้างหนึ่งลูบคางตัวเองเบา ๆ อย่างใช้ความคิด “บางทีผมอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่ามันแปลกมากเลย แม้ก่อนหน้านี้อู๋หยาน จะทำตัวแย่แค่ไหน มีส่วนเกี่ยวข้องกับพี่ชายผมอีก แต่มันก็ไม่ใช่อย่างนี้ ครั้งนี้ที่เธอกลับมา เธอไม่ใช่แค่หมดความสนใจในตัวพี่ชายผม แต่ยังพยายามสืบเรื่องของคุณชายลี่ด้วย”
เขารู้อู๋หยานคนก่อนน่ะ ในใจมีแค่เจียงจี้เซิงคนเดียวเท่านั้น ที่ต้องฝืนใจหมั้นกับเจียงจี้ฉี ก็เพื่อที่เธอจะได้หาทางเข้าใกล้เจียงจี้เซิงต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น อู๋หยานแทบจะไม่รู้จักลี่เฉินซีเลยสักนิด แถมยังไม่มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะเกี่ยวข้องกัน ทว่าอยู่ ๆ เธอก็ตัดใจจากชายหนุ่มที่หลงใหลมานานหลายปีได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการยืมมือ เจียงจี้ฉีเข้ามาใช้อย่างไม่เสียดาย เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขนาดนี้ เขาเลยกลัวว่า มันอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับลี่เฉินซีด้วย!