เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 679 มีคู่อริเท่าไร
อยู่ ๆ เธอก็ถูกอีกฝ่ายตัดสาย ทำให้ซูย้าวชะงักไปด้วยความตกตะลึง เธอนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความว่างเปล่า หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็มีข้อความแจ้งเตือนส่งเข้ามา
เป็นข้อความยืนยันการรับเพื่อนในวีแชท ผ่านไปไม่นาน ก็มีวิดิโอโทรเข้า
โทรศัพท์มือถือสั่นเบา ๆ หญิงสาวมองดูหน้าจอด้วยความตกตะลึง แต่สุดท้ายก็กดรับสาย วินาทีต่อมา ใบหน้าของโม่หว่านหว่านก็ปรากฏบนจอ
“ใช่เธอจริง ๆ ด้วย ย้าวย้าว!” โม่หว่านหว่านเรียกเธอออกมาอย่างสนิทสนม น่าจะเป็นเพราะความตื่นเต้น หญิงสาวจึงไม่ทันได้ระวัง เธอเกือบทำลูกน้อยในอ้อมแขนหลุดมือไปเสียแล้ว
โม่หว่านหว่านกล่อมเด็กน้อยไปมา ก่อนจะพูดต่อว่า “เธอเพิ่งคิดจะติดต่อหาฉันตอนนี้สินะ รู้ไหมว่าฉันคิดถึงเธอมากแค่ไหน? เด็กนี่ กลับมาตั้งนานมัวแต่พลอดรักกับลี่เฉินซีอยู่นั่น เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อน!”
ซูย้าว “……”
“ฉันได้ยินหมิงเอ๋อกับซีซีบอกว่าพวกเธอไปเมืองหลิ่งโจวกัน ไปเที่ยวใช่ไหม?” โม่หว่านหว่านถามขึ้น
ซูย้าวที่ฟังเธอพูดมาตั้งนาน ในที่สุดหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความอัดอั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
เธอเงียบไปนาน จนโม่หว่านหว่านที่เห็นเธอไม่ยอมพูด จับสังเกตได้ ก่อนจะถามขึ้นอย่างร้อนรนว่า “เป็นอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม?”
หลังจากที่ซูย้าวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เธอจึงยอมเอ่ยปากพูดสิ่งที่คิดออกมา “คือว่า เลิกเรียกฉันว่าซูย้าวได้ไหม?”
ตอนนี้ความทรงจำของเธอยังฟื้นกลับมาไม่เต็มที่ สำหรับเรื่องของซูย้าว ไม่ว่าจะเป็นชื่อ หรืออะไรต่าง ๆ ในชีวิต ล้วนดูเป็นสิ่งแปลกใหม่ ที่พุ่งเข้ามาเสียบกับตัวเธอ มันจึงเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะทำใจยอมรับ
โม่หว่านหว่านชะงักไปชั่วครู่ ราวกับว่าเห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย เธอพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่ปิดบังว่า “ขอโทษทีนะ ฉันแค่…..ยังไงก็ขอโทษ งั้นฉันควรเรียกเธอว่าอะไรล่ะ? ฉันจำได้ว่าเธอแซ่อาน แต่ชื่ออะไรนะ?”
“อานหว่านชิง” ซูย้าวพูดซ้ำอีกรอบ
โม่หว่านหว่านพยักหน้ารับอีกที “ใช่ ๆ งั้นฉันเรียกเธอชิงชิง แล้วกัน”
แม้อีกฝ่ายจะดูไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่โม่หว่านหว่านก็เข้าใจเธอ ยังไงก็เป็นเพื่อนกันมาหลายปี ต่อให้เปลี่ยนชื่อ แต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่เธอคือซูย้าวได้
ทว่าซูย้าวกลับเห็นโม่หว่านหว่านที่เอาแต่กล่อมลูกน้อย เด็กคนนั้นตัวอ้วน ๆ กลม ๆ ขาว ๆ ผิวบอบบางนุ่มนิ่มน่าสัมผัสราวกับก้อนน้ำนม มือเล็กป้อม นิ้วแต่ละนิ้วแลดูเล็กนิดเดียว มือน้อยขยำคอเสื้อโม่หว่านหว่านเบา ๆ ดูน่ารักน่าชัง
น่ารักกว่าลี่หมิงและซีซีในตอนนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยเท่า ซูย้าวพลันรู้สึกว่าหัวใจของเธออยู่ ๆ ก็ถูกเด็กน้อยคนนี้ตกไปเสียแล้ว เธออุทานขึ้นอย่างไม่รู้ตัวว่า “เด็กน้อยน่ารักจัง!”
“ใช่ไหมล่ะ?” โม่หว่านหว่านยิ้มออกมาอย่างมีความสุข พอพูดถึงลูก เธอก็มีประเด็นให้สนทนาเพิ่มอีกเยอะเลย “ลูกชายฉันน่ะ แน่นอนว่าต้องน่ารักอยู่แล้ว เหมือนกับเจิ้งเอ๋อแล้วก็ซีซีตอนเด็ก ๆ เลยใช่ไหม? เธอคงไม่รู้ล่ะสิ ตอนนี้เขาเริ่มจำหน้าคนได้แล้วนะ ทุกวันนี้แทบจะไม่ยอมให้แม่บ้านอุ้มเลย เอาแต่ติดฉันตลอด…..”
โม่หว่านหว่านเหมือนถูกกดสวิตช์ให้พูด คำพูดมากมายพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ส่วนซูย้าวก็ได้แต่พยักหน้ารับเงียบ ๆ โดยแทบจะไม่ได้ตอบอะไรเลย
ถึงแม้เมื่อก่อนทั้งสองจะเป็นเพื่อนสนิทที่มีเรื่องให้คุยไม่จบไม่สิ้น แต่ปัจจุบันก็ห่างเหินกันมากว่าสองปีแล้ว อีกอย่างความทรงจำของซูย้าวก็ยังไม่ทันได้ฟื้นคืนมา อยู่ ๆ จะให้สนิทสนมกับเธอเลย เกรงว่าคงจะเป็นไปไม่ได้
โม่หว่านหว่านเองก็รู้สึกถึงความกระอักกระอ่วนในการสนทนาเช่นกัน แม้ตัวเธอจะไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ก็เพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่ “อยู่ ๆ ก็ติดต่อฉันมา มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
ในที่สุดก็เข้าสู่เรื่องสำคัญ ซูย้าวเงียบลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะเหลือบตามองไปทางเธอ “คือคุณโม่ เมื่อก่อนเราเป็นเพื่อนสนิทกันมาก ๆ เลยใช่ไหม?”
โม่หว่านหว่านกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเผยสีหน้าที่เหลืออดออกมา “เพื่อนสนิทมาก แต่เธอช่วยเปลี่ยนวิธีเรียกฉันได้ไหม? อย่าเรียกคุณโม่เลย แค่หว่านหว่านก็พอ”
ซูย้าวก็พยักหน้ารับอย่างให้ความร่วมมือ “OK หว่านหว่าน ถ้าเราเป็นเพื่อนสนิทกันขนาดนั้น เธอคงจะรู้จักซูย้าวดีมากเลยใช่ไหม?”
โม่หว่านหว่านตอบกลับทันที “ใช่ รู้จักดีมาก แบบมากที่สุด รู้จักดียิ่งกว่าที่ลี่เฉินซีรู้จักเธอด้วยซ้ำ!”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง……” ซูย้าวถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายผ่านหน้าจอโทรศัพท์ “งั้นก่อนหน้านี้ ซูย้าวมีคู่อริบ้างไหม?”
“คู่อริ?”
อาจเพราะอยู่ ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา โม่หว่านหว่านเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เธอเลยทวนคำพูดอีกฝ่ายซ้ำสองคำด้วยความประหลาดใจ แต่ผ่านไปสักพัก เธอก็ทำท่าครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเบา ๆ “ไม่มีนะ เธอเป็นคนดีกับทุกคน ไม่เคยไปล่วงเกินใคร แต่ว่า……”
แต่พูดยังไม่ทันจบ โม่หว่านหว่านที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ ทันใดนั้นเธอก็เหมือนสัมผัสได้ถึงบางอย่าง
“คู่อริน่ะ ถ้าจะให้พูดก็คงไม่มีหรอก แต่ถ้าพวกที่ความสัมพันธ์กับเธอไม่ค่อยดี ก็มีอยู่บ้างไม่กี่คน” โม่หว่านหว่านพูดขึ้น
แววตาของซูย้าวเย็นยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย “พวกเขาเป็นใครเหรอ?”
โม่หว่านหว่านเปิดโหมดใช้ความคิดอีกครั้ง ก่อนจะชูนิ้วขึ้นนับพร้อมกับเอ่ยชื่อทีละคนไปด้วย “หานฉ่ายหลิง หลินหวั่นหญิง หลินจิ้งซู ซูหยวน แล้วก็ลู่จื่อซี”
ซูย้าวฟังชื่อที่โม่หว่านหว่านพูดออกมาทั้งหมด แววตาเธอหม่นแสงลง ก่อนจะมีความคิดบางอย่างผุดขึ้น “ทำไมมีแต่ผู้หญิงล่ะ? แล้วคุณลู่ ก็ถือเป็นหนึ่งในนั้นเหรอ?”
เธอจำได้แค่ว่าลู่จื่อซีเคยตกหลุมรักลี่เฉินซี แต่ระหว่างเธอกับหล่อน ไม่น่าจะถือว่าเป็นคู่อริกันนะ!
โม่หว่านหว่านยิ้มออกมาเบา ๆ เธอปรายตามองอย่างมีเลศนัย “แน่นอนว่าต้องนับสิ เป็นเรื่องจริงที่หล่อนเคยแอบชอบลี่เฉินซี คนคนนี้น่ะ เพื่อความรักแล้ว ยอมทำได้หมดทุกอย่างอยู่แล้ว ต่อให้ไม่นับหล่อนเป็นคู่อริของเธอ แต่ก็รับประกันไม่ได้อยู่ดีว่าสักวันเธออาจจะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างก็ได้?”
พอพูดแบบนี้แล้ว ก็ดูมีเหตุผลอยู่เหมือนกัน
ต่อมา โม่หว่านหว่านก็พูดขึ้นอีกว่า “ส่วนหลินจิ้งซูกับหลินหวั่นหญิง พวกหล่อนมีปัญหากับเธอเกี่ยวกับเรื่องงานอยู่ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะหลินหวั่นหญิง รายนี้เอาแต่จ้องจะตะครุบเธอตลอด จนเรื่องคดีของจู้สือกรุ๊ปเมื่อสองปีก่อนเกิดขึ้น เธอเลยต้องโทษจำคุกตั้งแต่นั้นมา บางทีตอนนี้หล่อนอาจจะไม่ได้เกลียดเธอแล้วก็ได้มั้ง?”
นั่นก็เป็นเพราะซูย้าว โอวหยางเช่อถึงได้ไม่ลงรอยกับหลินหวั่นหญิง เขาเอาเรื่องทั้งหมดไปแจ้งตำรวจ ส่งผลให้หล่อนต้องได้รับโทษ จนสุดท้ายก็ถูกตัดสินให้จำคุก
ถ้าจะบอกว่าไม่มีความแค้นเลย คงเป็นไปไม่ได้
“ด้านหลินจิ้งซู หล่อนคอยสนับสนุนให้หลินโม่ป่ายขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลินมาตลอด แม้ผลลัพธ์จะไม่ได้เป็นอย่างที่หวังก็ตาม ซึ่งระหว่างพวกเธอก็มีเรื่องไม่ถูกใจกันอยู่บ้างในตอนแรก แต่หลังจากนั้นก็สามารถคลี่คลายลงได้ เพราะงั้นจะบอกเป็นคู่อริก็คงไม่ได้”
โม่หว่านหว่านยังคงคิดต่อ “สุดท้ายสำคัญที่สุด คือหานฉ่ายหลิงกับซูหยวนสองคนนี้ พวกหล่อนชอบลี่เฉินซีทั้งคู่ ยังไงก็ต้องเกลียดเธอเป็นธรรมดา เคยทำร้ายเธอมาก็ไม่น้อย แต่หานฉ่ายหลิงน่ะอยู่ในคุกมานานแล้วนะ เห็นว่าถูกจำคุกตั้งสิบปี ส่วนซูหยวนก็…….”
เธอลากเสียงยาว ส่วนซูย้าวพอได้ยินชื่อ “ซูหยวน” สองคำนี้ ความคิดของเธอก็สั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างที่ซับซ้อนอยู่ภายในแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้
“ฉันได้ยินว่าตอนแรกซูหยวนย้ายไปอยู่ปารีส แล้วก็เจอกับผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่าเจี่ยงหลิน เขาเป็นประธานของป้าหลินกรุ๊ป ไม่รู้ว่าถึงตอนนี้แล้วทั้งคู่จะแต่งงานกันรึยัง”
โม่หว่านหว่านพูดสิ่งที่เธอพอจะรู้ออกมาจนหมด จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “ทำไมอยู่ ๆ ถึงมาถามคำถามแบบนี้ล่ะ?”
ซูย้าวเองก็รีบดึงตัวเองออกมาจากความคิดที่กำลังสับสน ก่อนจะตอบกลับไปง่าย ๆ ว่า “ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัยนิดหน่อยน่ะ เลยลองถามดู”
“น้อยไปน่ะสิ” คิดว่าโม่หว่านหว่านยังไม่รู้จักเธอดีพอรึไง? ประเด็นที่อ่อนไหวขนาดนี้ มีที่ไหนกันที่จะมาถามเล่น ๆ
น้ำเสียงของโม่หว่านหว่านเปลี่ยนไปทันที เธอถามขึ้นอีกครั้ง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม? หรือเธอรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ?”
แต่ซูย้าวยังคงส่ายหน้าเป็นการตอบกลับอย่างไม่รู้ตัว เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจริง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่มีหลักฐานมายืนยัน อีกอย่าง ชื่อแต่ละคนที่โม่หว่านหว่านพูดออกมา นอกจากลู่จื่อซีแล้ว ที่เหลือเธอก็แทบจะไม่เคยเจอหน้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย
“ไม่มีอะไรจริง ๆ ใช่ไหม ฉันอาจจะคิดมากไปเองก็ได้!” ซูย้าวยิ้มออกมาอย่างนิ่งเรียบ “เอาล่ะ เธอดูแลลูกน้อยของเธอดี ๆ เถอะ รอฉันกลับไปเมือง A ก่อน ว่าง ๆ จะเข้าไปหา”
ขณะที่พูด หญิงสาวก็ไม่เปิดโอกาสให้โม่หว่านหว่านได้กล่าวคำล่ำลา เธอกดตัดสายทันทีหลังพูดจบ ความคิดของเธอตอนนี้ว่างเปล่า เธอทิ้งตัวลงบนเตียงอ่อนนุ่ม ในสมองมีหลายความคิดผสมผสานไปมา ซึ่งก็หวังว่าเธอจะคงจะคิดมากแล้วก็อ่อนไหวไปเอง ไม่อย่างนั้น……