เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 694 รู้สึกอย่างไร
อานเจียเย้นเผยรอยยิ้มลึก และเขายกมือขึ้นเพื่อปัดผ่านแก้มของเธออย่างสงบ นิ้วที่หยาบกร้านลูบผิวที่บอบบางของเธอเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ “อย่างไรเธอก็เลือกเขาสินะ”
เมื่อสองปีที่แล้ว เธอรู้ดีว่าเธอหนีไม่พ้น เพื่อปกป้องลูกของเธอและลี่เฉินซี เธอเสียสละตัวเอง เพื่อจากไปกับเขา สองปีต่อมา เธอเลือกที่จะเสียสละตัวเองอีกครั้งเพื่อผู้ชายคนนี้
อดีตก็เหมือนควัน ดูท่า สองปียังน้อยไป น้อยไป ที่จะทำให้เธอเปลี่ยน!
“ตอนนี้ยังคิดจะให้ฉันปล่อยเขาไปอีก ข้อตกลงนี่ ดูเหมือนจะไม่คุ้มค่า” เขากระซิบด้วยเสียงทรงเสน่ห์ที่เกินต้าน
ซูย้าวกะพริบตาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ผลักมือใหญ่ของชายหนุ่มออก ก่อนจะกลับมายืนตัวตรง “นั่นสินะ……”
เธอขมวดคิ้วครุ่นคิด และพูดออกมาทันที
อานเจียเย้นไม่ได้มองเธออีก แต่เอื้อมมือไปหยิบบุหรี่ เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมา วางบนริมฝีปากก่อนจะจุดไฟ เมื่อควันจากมวนบุหรี่พวยพุ่ง เขาก็หรี่ตาลง “ทำไมต้องเลือกเขา? เพราะว่ามีลูก เพื่ออันนี้ แม้แต่ความตายของมารดา ก็เลยกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคาอย่างนั้นสิ?”
ซูย้าวแสร้งทำเป็นพยักหน้าทันที “อา เกือบลืมแหนะ ยังมีเรื่องนี้”
แม้ตัวตนของจะเปลี่ยนไป และชื่อก็เปลี่ยนไปแล้ว แต่อานเจียเย้นไม่ได้คิดจะปกปิดความจริงที่ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาคือ อานโล๋ รวมถึงการเสียชีวิตของแม่โดย ‘บังเอิญ’ เมื่อเจ็ดปีก่อนซึ่งเขาได้เคยคุยกับเธอไปแล้ว
เป็นเรื่องยากที่จะค้นหาว่าใครคือฆาตกร แต่มีผู้ต้องสงสัย
เธอเดินเข้าไปหาเขา ใบหน้าของเธออ่อนแสงลง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอไม่ได้พูดอะไร แต่หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาแล้วโทรออก
คุยโทรศัพท์ได้ไม่นาน เธอก็วางสายไป
หลังจากนั้นสักพัก เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากชั้นล่าง ชายร่างกำยำสองคนลากเจี่ยงเวินอี๋มายังข้างหน้าของคนทั้งสอง
“คุณหนู” ชายคนหนึ่งเปิดปากพูด และในขณะเดียวกันก็ถอดหน้ากากสีดำบนศีรษะของเจี่ยงเวินอี๋ออก
จากเมือง A มาทางที่นี่ ระหว่างทางพลิกกลิ้งหลายตลบ เจี่ยงเวินอี๋ถูกควบคุมอย่างนี้ตลอดทาง พอที่จะพูดได้ว่าเลวร้าย ในเวลานี้ ในที่สุดเธอก็สามารถถอดหน้ากากออกได้ เธอพาลโกรธอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อมองเห็นซูย้าว เธอก็ตะลึงอีกรอบ
“เป็น เป็นเธอได้ยังไงกัน?” เจี่ยงเวินอี๋ยากที่จะเชื่อเธอพูดตะกุกตะกัก “เธอ……”
ความตกใจที่มากเกินไปทำให้เธอพูดไม่ออกไปโดยสิ้นเชิง นึกไม่ถึงว่าคนที่ลักพาตัวเธอมาคือซูย้าว!
ผู้หญิงคนนี้ มีแต่เรื่องที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงเสียจริง
เห็นได้ชัดว่าซูย้าวไม่สนใจปฏิกิริยาของเธอ เธอหันกลับมามองอานเจียเย้นต่อ “คนที่น่าสงสัยที่สุดคือเธอ เธอมีแรงจูงใจและเหตุผล และมีหลักฐานบางอย่างที่ไม่ใช่หลักฐานสำคัญ”
อานเจียเย้นคาบบุหรี่ด้วยใบหน้าเคร่ง แต่กลับไม่พูดอะไร
เจี่ยงเวินอี๋มึนงงเล็กน้อย เมื่อได้ยิ่งสิ่งที่เธอพูด เธอเดินเข้าไปหาซูย้าวโดยไม่รู้ตัว “นี่เธอกำลังพูดเรื่องอะไร? ใครคือคนที่น่าสงสัย?”
“แล้วก็ ทำไมเธอถึงลักพาตัวฉันมาที่นี่ เธอ……”
ซูย้าวหมุนกาย ไม่ให้เธอพูดอีกต่อไป ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองส่งสัญญาณให้เธอหยุดพูด “ชู่ คุณผู้หญิง ลืมแล้วเหรอคะ? ซูย้าวไม่อยู่นานแล้ว ตรงหน้าของคุณคืออานหว่านชิง”
เจี่ยงเวินอี๋มองอย่างตะลึงงัน “อะไรนะ อานหว่านชิง?”
หลังจากครุ่นคิดและตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างช่วยไม่ได้ “โอเค แม้ว่าเธอจะเป็นอานหว่านชิง แต่จับฉันมาที่นี่ทำไม? เฉินซีละ? เขาอยู่ที่ไหน……”
“คุณผู้หญิง คุณมีลูกชายที่ดีจริงๆ แต่ตอนนี้ เขาก็ปกป้องคุณไม่ได้!” ซูย้าวพูดอย่างไม่รีบร้อน เธอเหลือบตาไปมองมุมของเพดาน เป็นดังคาด ไฟสีแดงจากกล้องวงจรปิดกะพริบ
แม้ว่าที่นี่จะเป็นที่พักอาศัยส่วนตัว แต่ก็อาจเป็นสาเหตุการก่อกรรมทำชั่ว ตั้งแต่สมัยของเพ้ยหยู่เจี๋ย นอกจากบอดี้การ์ดที่คอยสอดส่อง24ชั่วโมงแล้ว ในบ้านก็เต็มไปด้วยสิ่งที่คอยเฝ้าระวังภัย ตอนนี้เจ้าของเปลี่ยนมาเป็นอานเจียเย้น ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก
เจี่ยงเวินอี๋ตกตะลึงอีกรอบ เธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกซูย้าวขัดจังหวะ “จำแม่ของฉันได้ไหม อานโล๋?”
ทันใดนั้น เจี่ยงเวินอี๋ก็ตะลึง เลือดฝาดบนใบหน้าของเธอค่อยๆ จางหายลงไปทีละน้อยจนซีดขาว เธอคิดเล็กน้อย ก่อนอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “อานโล๋ไม่ได้ตายเพราะฉันนะ ไม่ใช่จริงๆ มันเป็นการเข้าใจผิด มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลย……”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ ซูย้าวเดินไปข้างหลังเธอแล้ว ทันใด เธอก็คว้าเชือกจากบอดี้การ์ด ก่อนจะผูกไปยังคอของเจี่ยงเวินอี๋โดยตรง
พลันก็รัดคอของเธอ คอของเธอถูกรัดด้วยเชือกอย่างรุนแรง จนเธอไม่สามารถหายใจได้ เจี่ยงเวินอี๋ดิ้นรนตามสัญชาตญาณ แต่เนื่องจากอายุของเธอ เธอไม่สามารถไปถึงซูย้าวได้เลย การขัดขืนสองถึงสามครั้ง ก็ถูกเธอเตะลงไปกองอยู่บนพื้น
มือของซูย้าวไร้ความปรานีอย่างยิ่ง มีพละกำลังมาก บีบคอเธออย่างดุเดือด หลังจากนั้นไม่นานเจี่ยงเวินอี๋ก็สูญเสียการต่อต้านของเธอไปจนหมด ท้ายที่สุด ร่างกายของเธอก็ราวกับไม่มีกล้ามเนื้อและกระดูก เธอล้มลงและกระตุกอยู่บนพื้น
บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาทันที โน้มตัวลงเพื่อทดสอบชีพจรของเธอ ก่อนจะเงยหน้าเพื่อสบตาอานเจียเย้น พลันส่ายหัว เพื่อส่งสัญญาณว่าเธอได้ตายแล้ว
ซูย้าวใช้แรงมากเกินไป เชือกที่บาง เป็นเหตุให้รัดมือของเธอด้วย เธอโยนเชือกทิ้ง เธอเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกจากกระเป๋าเสื้อสูทของอานเจียเย้นที่นั่งอยู่บนโซฟา เพื่อมาพันมือของตัวเอง
หลังจากจัดการเรียบร้อย เธอจึงหันกลับมามองบอดี้การ์ดด้วยท่าทางเฉยเมย ก่อนจะโบกมือให้พวกเขานำศพลงไปข้างล่าง ซูย้าวหันไปมองอานเจียเย้นอีกครั้ง “กล้องวงจรเมื่อกี้จบภาพแล้ว ความแค้นของแม่พวกเรา ถือว่าได้ถูกชำระแล้ว”
อานเจียเย้นมองมายังเธอด้วยท่าทางสงบเงียบ ตั้งแต่ต้นจนจบ ใบหน้าของเขาเย็นชาไร้การตอบสนอง เขาจ้องมองคนที่ไร้ลมหายใจข้างหน้าตัวเอง โดยไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความประหลาดใจและตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนกระทั่งเติบใหญ่
“พอใจไหม?” ซูย้าวยักไหล่ไปทางเขา นัยน์ตายิ้มดั่งเช่นเคย “คุณรู้สึกอย่างไร เมื่อมองเห็นปีศาจที่คุณสร้างขึ้นมาเองมากับมือ?”
จากนั้นเธอก็เหลือบมองไปยังกล้องวงจรปิดที่มุมเพดานในระยะไกล “จากวิดีโอนี้ ถือว่าฉันเป็นฆาตกรตัวจริง ข้อตกลงนี้ถือว่าคุ้มค่าไหม?”
สีหน้าเย็นชาอยู่บนใบหน้าของอานเจียเย้นมานาน ในที่สุดเขาก็เผยรอยยิ้ม ที่ดูบางเบาและเยือกเย็น เขาดับบุหรี่ในมือ จากนั้นก็เอาศอกหนุนเข่า แล้วกวักมือเรียกเธอด้วยมือข้างหนึ่ง “มานี่สิ”
ซูย้าวทำตามที่เขาบอก เธอเดินไปข้างๆ เขา มือที่แข็งแรงของเขาจับมือของเธอ ก่อนที่จะลากเธอมานั่งด้านข้าง และยกมือขึ้นเชยคางของเธอขึ้น ดวงตาล้ำลึกจับรวมตัวกันแน่นของเขามองไปที่เธอ ก่อนที่จะจางหายไปในที่สุด “ฉันพอใจมาก”
เขาได้สนิทสนมกับผู้หญิงหลายคน อย่างไรตัวตนและรูปลักษณ์ของที่นี่ ต้องการผู้หญิง ก็ค่อนข้างง่ายจริงๆ สมเหตุสมผลแล้ว
แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหน ที่ยอมรับเขาด้วยใจจริงเหมือนเธอ ทั้งในด้านดีและไม่ดี
ไม่รู้ว่าเริ่มต้นจากตรงไหน เธอเป็นเหมือนแสงที่ส่องมาบนสภาพแวดล้อมที่เน่าเสีย สกปรก และมืดมนของเขา ดังนั้นไม่ว่าจะทุ่มเทเท่าไหร่ เสียสละอย่างไร เขาก็อยากจะจับเธอเอาไว้ ไม่ให้จากไป
“แต่รู้ไหม? คุณไม่ใช่สิ่งที่ผมสร้างขึ้นมา แต่คุณเต็มใจเอง” เขาพูดเสียงเบา
ซูย้าวหลับตาลงเล็กน้อย ขนตาเรียวยาวของเธอปกคลุมความมืดมิดที่อยู่ใต้ดวงตาของเธออย่างสมบูรณ์ ก่อนจะถามขึ้นอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “ฉันเองเหรอ?”
แล้วเธอก็ยิ้มอีกครั้ง “เหมือนจะใช่ แต่ก็ไม่สำคัญแล้ว สัญญากับฉันมาสิ ว่าคุณจะไม่แตะต้องเขาและเด็กๆ อีกต่อไป”
อานเจียเย้นมองเธอ และหรี่ตาลงช้าๆ “ทำทุกอย่างเพื่อเขา ที่รัก เพราะผมอ่อนโยนมาตลอดใช่ไหม ถึงลืมตัวตนของผมไป ยังจะกล้ามาต่อรองกับผม!”
ประโยคสุดท้าย อานเจียเย้นเพิ่มความดังของเสียง มือของเขาก็กระชับแน่นขึ้นทันที มืออีกข้างหนึ่งรั้งไหล่ของเธอไว้โดยตรง ก่อนจะผลักกายลงไป ……