เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 711 ให้เวลาเขาระบายอารมณ์สักหน่อย
การเผชิญหน้ากันตรงประตูทางเข้านั้นจบลงด้วยไม่ดีนัก
โม่หว่านหว่านได้แต่ตกตะลึง ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ถูกลู่ส้าวหลิงบังคับให้ขึ้นรถและขับตรงออกไป
ระหว่างทางกลับบ้านนั้น ลู่ส้าวหลิงหันไปมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับด้วยท่าทางเป็นกังวล เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วพูดว่า “ผมบอกคุณตั้งกี่ครั้งแล้วนะว่านี่คือเรื่องระหว่างพวกเขาสองคน คุณอย่าเข้าไปพัวพันด้วย แต่คุณก็ไม่ยอมฟังผมเลย!”
โม่หว่านหว่านพยายามทำตัวให้หลุดออกมาจากห้วงแห่งความคิดอย่างไม่เต็มใจนัก จากนั้นนำมือขึ้นลูบผมยาวถึงเอวของเธอก่อนจะส่ายหน้าว่า “ฉันไม่สนใจ ต่อให้พวกคุณหยิบยกเหตุผลขึ้นมาอ้างจนล้นฟ้าฉันก็ไม่เชื่อ!”
“ฉันไม่เชื่อแน่ว่าซูย้าวจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเธอเองแบบนี้โดยไร้เหตุผล ต่อให้เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมี และเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนตัวตนใหม่ ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับลี่เฉินซี ตอนที่ฉันไปเดินช้อปปิ้งกับเธอ รอยยิ้มบนใบหน้านั้นมาจากความจริงใจ เธอเพียงต้องการอยู่กับลี่เฉินซีอย่างมีความสุขเท่านั้นจริงๆ!”
การที่โม่หว่านหว่านเชื่อใจซูย้าวนั้นก็ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
ลู่ส้าวหลิงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “โธ่ ภรรยาแสนซื่อบื้อของผม ทำไมคุณถึงเข้าใจอะไรยากแบบนี้? ผมบอกแล้วไงว่าเธอไม่ใช่ซูย้าว เรื่องความทรงจำนั้นดูเหมือนจะไม่สำคัญ แต่ที่จริงแล้วมันสำคัญมากๆ!”
“ก่อนหน้านี้เคยเกิดอะไรขึ้น เคยรักใครบ้าง เคยเป็นห่วงเป็นใยใครบ้าง จู่ๆก็กลับมาลืมเสียหมด เธอเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าเธอจะทำอะไรขึ้นมันก็อาจเป็นไปได้ทั้งนั้น!”
เรื่องราวเหล่านี้เขาพูดตลอดทุกวันเป็นเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาจนปากแทบจะฉีกถึงหู แต่ว่าโม่หว่านหว่านก็ยังไม่ยินยอมจะรับฟัง แม้กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวซูย้าวไม่เคยคลอนแคลน
“ใช่ สิ่งที่คุณพูดมันอาจจะดูว่ามีเหตุผล แต่ความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจนั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปแน่!” โม่หว่านหว่านมองเขาจากมุมด้านข้างแล้วพยายามโต้เถียงด้วยเหตุผล “นี่คือเหตุผลที่ง่ายที่สุด ส่วนลึกในใจของเธอยังคงมีความเมตตา ไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน!”
“หากว่าซูย้าวกลายเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตแบบนั้นจริงๆ แล้วทำไมเรื่องในวันนั้น เธอจะต้องหาข้ออ้างให้คนรับใช้และพ่อบ้านออกไปจากบ้านให้หมด? ทั้งที่เธอไม่จำเป็นต้องไปสนใจว่าพวกเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร!”
เรื่องนี้ลู่ส้าวหลิงก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
แต่หลังจากที่เขาพิจารณาครุ่นคิดแล้วจึงทำได้เพียงพูดออกมาว่า “ถ้าเธอจำใจจริงๆ ทำไมถึงไม่ยอมพูดเหตุผลออกมา? คุณมองไม่ออกหรือไง? คุณคิดว่าลี่เฉินซีอยากจะทำแบบนี้เหรอ? เขาเองก็อยากจะฟังสิ่งที่เธอพูดออกมาทุกสิ่งอย่าง!”
ลู่ส้าวหลิงเป็นเพื่อนกับลี่เฉินซีมานานหลายปีแล้ว เขาจะไม่รู้จักได้ลี่เฉินซีเป็นอย่างดีเชียวหรือ?
ตอนนี้ลี่เฉินซีทรมานทั้งคนอื่นและตนเอง ที่จริงแล้วเขาไม่อยากจะใช้วิธีนี้นักหรอก และไม่อยากจะปฏิบัติต่อเธอด้วยทัศนคติแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงพยายามส่งทั้งคนและทรัพยากรมากมายออกไปเพื่อค้นหาเธอจากทั่วทุกมุมโลกโดยไม่สนใจเรื่องใด เพียงเพื่ออยากฟังความจริงจากปากของเธอเท่านั้นเอง!
โม่หว่านหว่านพูดไม่ออก เธอได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วพยายามครุ่นคิด “บางทีเรื่องมันอาจจะใหญ่เกินกว่าที่พวกเราจินตนาการได้ ดังนั้นซูย้าวจึงไม่อาจพูดทุกอย่างออกมาทั้งหมดในตอนนี้! แต่ถึงอย่างไรเสียฉันก็ยังเป็นกังวลนะคะ เมื่อสักครู่คุณไม่ได้สังเกตเห็นหรือไง? เห็นได้ชัดว่าเธอป่วยนะ! และป่วยหนักด้วย!”
“จอดรถ คุณจอดรถเดี๋ยวนี้! ฉันจะกลับไปรับเธอ ตอนนี้ลี่เฉินซีเป็นบ้าไปแล้ว ถ้าให้เธออยู่ที่นั่นอีกต่อไปไม่รู้ว่าเขาจะทรมานเธออย่างไร!”
โม่หว่านหว่านยิ่งคิดยิ่งไม่วางใจ เมื่อเห็นว่าลู่ส้าวหลิงไม่ฟังที่เธอพูดจึงได้ปลดเข็มขัดนิรภัยออก ยื่นมือไปที่ประตูรถ “ถ้าคุณไม่จอดรถ ฉันจะกระโดดลงไปแล้วนะ!”
ลู่ส้าวหลิงชะงักลงทันใด จากนั้นเขาก็รีบล็อกประตูรถโดยเร็วพัน ก่อนจะเร่งเครื่องรถให้เร็วขึ้น “ที่รัก คุณบ้าไปแล้วหรือไง? เพื่อซูย้าวแล้วตอนนี้ชีวิตคุณก็ไม่สนใจเหรอ?”
“ฉันบอกแล้วไงว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในโลกนี้ของฉัน หรือจะพูดให้ถูกก็คือเธอเป็นเหมือนกับน้องสาวแท้ๆของฉัน รีบจอดรถเดี๋ยวนี้! มือของโม่หว่านหว่านไม่หยุดนิ่ง เธอกำลังจะดึงเบรกมือขึ้น โชคดีเหลือเกินที่ลู่ส้าวหลิง เหลือบมาเห็นทันจึงได้รั้งเธอเอาไว้
เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองดูเธอด้วยดวงตาอันเย็นชา “คุณวางใจเถอะครับ ลี่เฉินซีรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร เขาจะไม่ทำร้ายเธอแน่!”
แต่ว่าโม่หว่านหว่านก็ยังรู้สึกไม่วางใจดังเดิม ท้ายที่สุดแล้วลู่ส้าวหลิงเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้บอกว่า “ผมจะบอกความจริงกับคุณให้ก็ได้ เขาพาซูย้าวกลับมาได้หลายวันแล้ว ตอนนั้นเขายังโมโหอยู่จึงได้จับเธอเอาไว้ที่ถ้ำสำราญมังกร คิดไม่ถึงว่าที่นั่นจะมีคนทำร้ายเธอ อีกทั้งยังลงไม้ลงมือทุบตีเธอ ดังนั้นลี่เฉินซีจึงได้รับเธอกลับมา!”
“หากว่าเขาไม่สนใจเธอแล้วจริงๆ เขาจะไปยุ่งเรื่องของเธออีกทำไม?”
เดิมทีลู่ส้าวหลิงไม่อยากจะพูดเรื่องเหล่านี้ออกมา แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภรรยาของตนคนนี้เขาเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร จากนั้นจึงได้พูดขึ้นอีกว่า “คุณอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขาเลย อีกอย่างตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นมาขนาดนั้น ตามปกติเฉินซีรักและทะนุถนอมลูกๆของเขาขนาดไหน คุณก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ คุณควรให้เวลาเขาสักพักในการระบายอารมณ์โกรธหน่อย ไม่ได้หรือไง?”
เมื่อเขาพูดจบ โม่หว่านหว่านก็ได้หยุดโมโหลงชั่วขณะหนึ่ง
เธอก้มศีรษะลงเล็กน้อย จากนั้นครุ่นคิดอย่างรอบคอบ “คุณพูดเองนะ คุณแน่ใจใช่ไหมว่าเขาจะไม่ทำร้ายซูย้าว ถ้าเป็นเหมือนในตอนนั้นที่เขารังแกเธอซ้ำแล้วซ้ำ ฉันไม่สนใจแล้วนะว่าคุณจะรั้งฉันไว้อย่างไร ฉันจะต้องพาเธอออกมาให้ได้!”
ใบหน้าอันหล่อเหลาของลู่ส้าวหลิงมืดมนลง “คุณ……เพื่อเพื่อนคนหนึ่ง คุณยอมสละสามีและลูกอย่างนั้นเหรอ!”
โม่หว่านหว่านยักไหล่ “อย่างไรเสียพวกผู้ชายก็ไม่ใช่ของดีอะไร ก็เป็นพวกไม่จริงใจ ฉันไม่สนหรอก!”
เขารู้ดีว่าเธอกำลังจงใจทำให้เขาโกรธ เพียงแต่การที่นำเขาไปเปรียบเป็นสิ่งของ ยิ่งฟังทำไมมันยิ่งรู้สึกอึดอัดใจ?!
……
ในเวลาเดียวกันอีกด้านหนึ่ง เมื่อลี่เฉินซีเข้าไปในคฤหาสน์แล้วซูย้าวก็เดินตามเข้าไปในห้องรับแขกด้วย
ชายหนุ่มเดินตรงขึ้นไปด้านบน ส่วนเธอนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นดังเดิม
ผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดเขาก็เดินออกมาจากห้องหนังสืออีกครั้ง เขาเหลือบตาลงมองด้านล่างอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร และพบว่าซูย้าวกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น ใช้ผ้าเช็ดพื้นและฟองน้ำขัดพื้นอย่างรุนแรง
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน ผู้หญิงคนนี้นี่…..
บาดแผลบนร่างกายของเธอติดเชื้ออักเสบ เมื่อทำท่าเช็ดพื้นซ้ำไปซ้ำมา ทำให้แผลเกิดอาการเจ็บปวดมากขึ้น จนเธออดไม่ได้ต้องยืดตัวขึ้นเป็นครั้งคราว เลิกเสื้อผ้าขึ้นมาดูบาดแผลพบว่ามีเลือดไหลออกมาอีกแล้ว จึงหยิบสำลีมาเช็ดคราบเลือดออก
การกระทำเช่นนี้ทำให้ดวงตาเย็นชาของเขามืดมนลง จากนั้นเดินตรงลงมาข้างล่างโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะใช้วิธีที่ค่อนข้างดุดัน นั่นก็คืออุ้มเธอขึ้นมาแล้วโยนลงบนโซฟา จากนั้นแย่งสำลีในมือของเธอโยนใส่ถังขยะอย่างแรง
จู่ๆเขาก็ก้มตัวลงมาบีบคางของเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มเย็นชาว่า “คุณต้องการอะไรกันแน่? นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ดีหรือไง? ทำไมต้องร้องกลับมาด้วย แล้วยังมาทำท่าทางเหมือนจะเป็นจะตายแบบนี้ อยากเสแสร้งทำให้ผมสงสารอย่างนั้นเหรอ?”
ดวงตาอันสดใสเป็นประกายของเธอแปดเปื้อนไปด้วยความเหนื่อยล้า ขนตาเรียวยาวของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “เปล่า”
เธอก็เพียงไม่อยากให้ตนเองอยู่ว่าง เพราะทันทีที่สมองของเธอว่างเปล่า เรื่องของลูกทั้งสองคนก็เข้ามาครอบงำสติของเธอทั้งหมดทันที
เจิ้งเอ๋อและหมิงเอ๋อเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง พวกเขาวิ่งเข้าไปในทะเลเพลิงนั้น ไม่กลัวบ้างหรือไง? อีกอย่าง วินาทีที่พวกเขาได้รับบาดเจ็บ คิดดูเถิดว่าจะเจ็บปวดเพียงใด!
แม้เธอจะบอกอยู่เสมอว่าเธอเองไร้ความรู้สึก และปฏิบัติต่อเด็กทั้งสองคนนั้นเหมือนกับคนแปลกหน้า แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ไม่อาจปิดบังความรู้สึกของตนเอาไว้ได้ ความเจ็บปวดที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจมันเข้ามาครอบครองครั้งแล้วครั้งเล่า
“เปล่า อย่างงั้นเหรอ?” ลี่เฉินซีย้ำคำพูดของเธอออกมาอย่างหนักแน่นอีกครั้ง นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องดุจหยก ค่อยๆเลื่อนลงมาสัมผัสไปที่เอวอันบอบบางของเธอ ก่อนจะกดลงไปตรงบาดแผลด้วยแรงอย่างหนักหน่วง แล้วตอนนี้ล่ะ?”
ใบหน้าของเธอแสดงถึงความเจ็บปวดและขาวซีดทันใด คิ้วที่แข็งแกร่งของเธอขมวดเข้าหากันอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะกัดฟันแน่นพยายามอดทนตอบกลับไปว่า “ฉัน ฉันไม่เป็นไร”
“เหรอ ไม่เป็นไรเหรอ” เขาตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบาจากนั้นกดบริเวณแผลให้แรงขึ้นไปอีก
ซูย้าวกัดฟันอดทนด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้ร่างกายของเธอสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ สีหน้าบิดเบี้ยวเนื่องจากความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแต่ยังคงฝืนทนพูดว่า “ฉัน ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ……”
ใบหน้าอันเย็นชาของลี่เฉินซีดูมืดมนลงไปกว่าเดิม ผู้หญิงคนนี้นี่จะทำตัวอ่อนแอสักหน่อยไม่ได้หรือไง?มันจะตายหรือไงกัน? เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เธอร้องโอดโอยว่าปวดท้องหรือหิวข้าว แล้วเขาจะทำอะไรเธอล่ะ!
ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกเขาคงไม่บอกเรื่องที่ลูกทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บกับเธอหรอก!
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นเปิดเสื้อของเธอขึ้นมา ใช้มือข้างหนึ่งดึงผ้าก๊อซที่ปิดแผลของเธอเอาไว้ออก พบว่าเลือดได้ไหลออกมาไม่น้อย นิ้วมือของเขาก็ดีออกไปทำให้เส้นไหมที่เย็บไว้ยังไม่ติดกันฉีกออก
ใบหน้าอันเจ็บปวดของซูย้าวแทบจะขาวซีดไร้เส้นเลือด เธอมองมาที่เขาอย่างเหลือเชื่อ ความเจ็บปวดนี้มันเกินกว่าความเจ็บปวดธรรมดาที่สามารถอดทนได้ แม้เธอจะไม่อาจทนกับความเจ็บปวดได้อีกต่อไปแต่ก็พยายามกลั้นไว้ไม่ให้พูดอะไรออกมาสักคำ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากความเจ็บปวดที่มากเกินจะทนไหวมันราวกับคลื่นทะเลอันบ้าคลั่ง เข้ามาครอบคลุมสติสัมปชัญญะของเธอเอาไว้ ดวงตาจึงมืดมนลงทันใด เธอหมดสติล้มลงในอ้อมกอดของเขา