เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 712 ยืมดาบฆ่าคน
เมื่อตอนที่ซูย้าวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นตอนเช้าของอีกวันรุ่งขึ้นแล้ว
เธอถูกแสงแดดแผดเผาส่องเข้ามา ก่อนจะลุกขึ้นนั่งช้าๆแล้วยกมือขึ้นบังแสงแดดเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ รู้สึกว่าร่างกายของเธอดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย หลังจากลองวัดอุณหภูมิที่หน้าผากดูแล้วก็พบว่าไข้ของเธอดูเหมือนจะลดลง
บาดแผลตรงช่องท้องยังคงมีอาการเจ็บปวด เธออดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นนั่งเปิดชายเสื้อขึ้นมาดู พบว่าที่บาดแผลนั้นมีผ้าก๊อซปิดเอาไว้เป็นสีขาวผ่อง
เธอเปิดผ้าก๊อซออกอย่างระมัดระวัง เห็นว่าบาดแผลด้านในถูกเย็บเข้าหากันอีกครั้ง ทั้งยังถูกทายาเอาไว้ด้วย ตอนนี้แม้ว่าจะเจ็บปวดบ้างเล็กน้อยแต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากเลยทีเดียว
ซูย้าวปิดผ้าก๊อซลงไปอีกครั้งแล้วมองไปรอบด้าน ข้างในห้องนั้นเรียบง่ายมาก แม้แต่เตียงก็เป็นเพียงไม้แข็ง ถึงตอนนอนจะดูแข็งไปสักหน่อยแต่ผ้าปูที่นอนก็สะอาดสะอ้านทีเดียว
ที่นี่น่าจะเป็นห้องที่แย่ที่สุดในบ้านของหลังนี้แล้ว!
ไม่ต้องคิดเธอก็รู้ว่าใครเป็นคนเย็บแผลให้กับเธอ เพียงแต่ตอนนี้หัวใจของเธอก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
ดังนั้นเธอจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้งและปล่อยตัวให้ว่างเปล่า จ้องมองไปที่เพดานด้วยดวงตากลมโต การที่เรื่องราวกลายเป็นแบบนี้ มันขัดกับความต้องตั้งใจตั้งแต่แรกของเธอ
คำพูดของลี่เฉินซีที่เคยพูดนั้น ยังคงดังก้องอยู่ในใจของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ‘เรื่องของพวกเราทำไมต้องลากลูกๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?’
นั่นน่ะสิ เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องระหว่างเธอกับเขา และเธอก็พยายามเตรียมการอย่างพิถีพิถัน เธอทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะปกป้องความปลอดภัยของพ่อลูกทั้งสี่คนนี้ แต่มันกลับกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?
เมื่อคิดถึงลี่เจิ้งที่บางทีอาจจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้วก็ได้ ส่วนขาของลี่หมิงอาจจะไม่สามารถใช้ได้ไปอีกตลอดชีวิต เด็กทั้งสองคนเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ก็ต้องมาเผชิญหน้ากับความทุกข์ทนเหล่านี้แล้ว
หรือว่านี่จะเป็นการลงโทษจากสวรรค์มายังเธอ? แต่ทำไมต้องมาลงที่เด็กๆด้วย?
เธอหลับตาลงด้วยความยากลำบาก ก่อนจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก “ซูย้าว ถ้าเป็นซูย้าวเธอจะทำอย่างไรนะ?”
สองปีมานี้ที่เธอสูญเสียความทรงจำไป เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ไม่เคยคิดหวังจะรื้อฟื้นความทรงจำทั้งหมดกลับมา
เพราะอย่างไรเสียอานหว่านชิงก็ไม่ใช่ซูย้าว เธอไม่สามารถที่จะวางตัวอยู่ในตำแหน่งคิดแทนพวกเขาได้ แม้แต่การที่เธอพยายามวางแผนมาอย่างดิบดีทุกสิ่งอย่าง ท้ายที่สุดแล้วก็ยังนำเด็กๆเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
เธอครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็ได้พยายามลุกขึ้นจากเตียง ค้นหาทั่วห้องแต่ก็ไม่พบชุดผู้หญิงที่เหมาะสมเลยสักชุด ในที่สุดเธอจึงทำได้เพียงถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่เอาไว้ออก ซักมือและบีบจนแห้งก่อนจะใส่เข้าไปในเครื่องอบผ้า
ระหว่างรอเสื้อผ้าอยู่นั้น เธอสวมชุดนอนค่อนข้างหลวมโคร่งของลี่เฉินซี ยืนอยู่ตรงระเบียงชั้นสองแต่เพียงคนเดียว นำมือทั้งสองข้างจับไปที่ราวบันไดและมองออกไปดังด้านล่างอย่างไร้จุดหมาย
สายตาบังเอิญมองไปเห็นคฤหาสน์หลังด้านข้างตรงชั้นสอง ภาพบรรยากาศที่ดูคุ้นเคยแทรกเข้ามา ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังกอดทารกน้อยและกล่อมให้หลับ รอยยิ้มของเธอยังคงอ่อนโยนดั้งเดิมและละเอียดอ่อนมาก
ซูย้าวขมวดคิ้วเข้าหากัน ที่แท้คฤหาสน์หลังด้านข้างนี้ก็คือบ้านของสองสามีภรรยาลู่ส้าวหลิงและโม่หว่านหว่านนั่นเอง
เธอเฝ้าดูอยู่เนิ่นนาน สังเกตพฤติกรรมของโม่หว่านหว่านทุกย่างก้าว เธออดที่จะสงสัยไม่ได้ว่านั่นก็คือรอยยิ้มที่แม่มีต่อลูกอย่างงั้นสินะ?
แน่นอนว่าเธอไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตอนที่ต้องเลี้ยงลูกเลย แม้แต่สัญชาตญาณพื้นฐานแบบนี้เธอก็รู้สึกว่ามันแปลกใหม่
เธอหรี่ตาลงและกำลังจะหันหลังกลับ ก็พบว่าที่ชั้นล่างมีคนเข้ามาส่งอาหาร ซึ่งตรงไปยังลานบ้านข้างเธอ
เมื่อมองไปยังในมือของคนส่งอาหาร ท้องของซูย้าวก็ส่งเสียงดังออกมา ‘จ๊อกๆ’ เธอก้มหน้าลงอย่างช่วยไม่ได้แล้วบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “เวลาแบบนี้ยังจะรู้สึกหิวอีกเหรอ ช่างไร้หัวใจจริงๆเลยฉัน……”
เธอถอนหายใจอย่างเย้ยหยัน เมื่อเสื้อผ้าแห้งแล้วเธอก็เปลี่ยนชุดเดินลงไปด้านล่าง
ทันใดนั้นเอง กริ่งที่ประตูดังขึ้น
เธอเดินออกไปเปิดประตู พบโม่หว่านหว่านถืออาหารมาหลายอย่าง “คิดไม่ถึงใช่ไหมล่ะ? ฉันอยู่ที่ข้างๆบ้านเธอเอง!”
ทุกครั้งที่โม่หว่านหว่านพบเธอก็จะทำท่าทางดูสนิทสนมกันมาก ดูเหมือนเธอจะไม่คำนึงเรื่องว่าซูย้าวจะรื้อฟื้นความทรงจำมาได้หรือไม่ ในสายตาของเธอนั้นซูย้าวก็คือซูย้าวไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป
เธอพูดพลางถือของเหล่านั้นเข้าไปในห้องนั่งเล่น โม่หว่านหว่านวางอาหารเหล่านั้นลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันไปทางซูย้าวพูดว่า “เมื่อหลายวันก่อนแม่ของส้าวหลิงไม่สบาย พวกเราเลยย้ายไปพักที่บ้านหลังเก่า ตอนนี้หายดีแล้วจึงได้ย้ายกลับมา
ต่อจากนี้ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็ไปหาฉันนะ” ในขณะที่โม่หว่านหว่านพูด เธอยื่นมือออกไปทางหล่อน “หิวแล้วใช่ไหม ฉันทำซุปไก่มา……”
เธอลากเสียงออกมายาวโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นจึงได้เปลี่ยนคำพูดว่า “เอ่อ ฉันสั่งมา แต่กับข้าวอย่างอื่นฉันเป็นคนทำเองนะ!”
เนื่องจากการเคี่ยวซุปไก่ต้องใช้เวลานาน อีกอย่างโม่หว่านหว่านเห็นว่าร่างกายของซูย้าวดูผิดปกติไป สีหน้าของเธอดูไม่ดีนัก จึงกำชับให้ใส่ยาจีนลงไปด้วยเพื่อจะได้ซุปไก่ตุ๋นสมุนไพรบำรุงร่างกาย
ซูย้าวมองไปที่เธออย่าเงียบสงบ สายตาสอดส่องไปยังอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ซุปร้อนมีควันลอยกรุ่น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าท้ายที่สุดก็พูดเพียงว่า “ขอบคุณค่ะ”
“จะมาเกรงอกเกรงใจฉันทำไมล่ะ?” ซูย้าวเบ้ปากมองดูเธอ ก่อนจะลากเธอให้นั่งลงแล้วส่งตะเกียบให้
ในเวลาเดียวกันนั้น ริมถนนที่อยู่ไม่ไกลออกไป มีรถสีแดงคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง ชายหนุ่มถอดชุดพนักงานส่งอาหารออก เปิดประตูรถแล้วนั่งลง
“เอาของไปส่งให้แล้ว ว่าแต่ ไอ้นั่นไม่ใช่ยาพิษสักหน่อย จะทำให้เธอตายได้เหรอ?” ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ณ ตำแหน่งคนขับ ซูหยวนที่ผมยาวประบ่าใช้มือข้างหนึ่งขยับแว่นตาดำของเธอ แล้วยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน
“อีกอย่าง คนที่คุณจะจัดการคือผู้หญิงแซ่อานไม่ใช่หรือไง? จะเอาไอ้นั่นใส่อะไรลงในอาหารของคุณนายลู่ทำไมกัน? ผู้ชายคนนั้นถามคำถามขึ้นติดต่อกัน
ซูหยวนรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น จึงได้เหลือบตาไปมองชายหนุ่มพูดว่า “แกจะไปเข้าใจอะไร?”
เมื่อพูดจบ เธอก็โยนธนบัตรจำนวนหนึ่งให้อีกฝ่าย กำชับเขาและไล่ลงไปจากรถ
เมื่อชายคนนั้นจากไปแล้ว ซูหยวนก็มองเข้าไปด้านในบ้านทั้งสองหลังในระยะไกลผ่านแว่นกันแดดของเธออย่างมีเลศนัย โม่หว่านหว่านได้โทรศัพท์ไปยังร้านอาหารจีนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ เธอกำชับให้เคี่ยวซุปไก่ด้วยไฟอ่อน ทั้งยังให้แพทย์แผนจีนออกใบสั่งยาที่ดีที่สุดใส่ลงไปด้วย การที่เธอพยายามถึงเช่นนี้คิดว่าเธอต้องการจะดื่มเองอย่างงั้นเหรอ?
จากที่ซูหยวนรู้จักกับโม่หว่านหว่าน เดาว่าซุปนี้เธอต้องนำไปให้ซูย้าวร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างแน่นอน
โอกาสในการยืมมีดทำร้ายคนอื่นเช่นนี้ ถ้าเธอไม่นำมันมาใช้ก็คงจะเสียแรงเปล่าที่เธอพยายามวางแผนอย่างรอบคอบมาเนิ่นนานขนาดนี้ไม่ใช่หรือไง?
ใบหน้าของเธอยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันดุจผู้ชนะ เธอพิงไปยังที่นั่งคนขับอย่างเฉยชาจากนั้นนอนรอรถพยาบาล คาดไม่ถึงว่าระหว่างที่เธอกำลังนอนรอรถพยาบาลอยู่นั้นกลับได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งขึ้น
เมื่อมองไปยังหน้าจอที่ปรากฏหมายเลขโทรศัพท์ ดวงตาของเธอก็เป็นประกายแวววาวและรีบรับโทรศัพท์ทันทีด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “เฉินซี มีอะไรเหรอคะ? โทรหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“อืม มาโรงพยาบาลหน่อย” น้ำเสียงของลี่เฉินซีดูต่ำทุ้มไม่ได้แสดงถึงความผิดปกติใด
ดังนั้นชูหยวนจึงไม่ได้สงสัยในเรื่องนี้ แม่ว่าลี่หมิงเด็กคนนั้นจะเกินความคาดหมายของเธอไปเล็กน้อย แต่ก็เป็นเพียงแค่เด็ก แม้จะพูดอะไรออกไปคนอื่นก็คงไม่เชื่อ
อย่างไรเสียตอนที่เกิดเหตุการณ์ระเบิดขึ้น เธอเป็นคนเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเขาออกมา เธอเป็นถึงผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือชีวิตเอาไว้ ด้วยเหตุนี้เองต่อให้เด็กคนนั้นพูดจนปากฉีกถึงหูลี่เฉินซีก็คงไม่เชื่อหรอก!
ซูหยวนตอบตกลง จากนั้นสตาร์ทรถมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลทันที
ในขณะเดียวกัน เมื่อลี่เฉินซีวางสายลงเขาก็เหลือบตาไปตรงหน้าต่างที่อยู่ข้างบันไดด้วยสายตาลึกล้ำ “ไปสืบมาได้เรื่องยังไงบ้าง?”
หวางอี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างโน้มตัวลงเล็กน้อย “ดูเหมือนอู๋หยานจะไม่มีอะไรผิดปกตินะครับ แต่ประธานลี่โปรดวางใจได้ คนของเรากำลังจับตามองเธออยู่ แล้วก็ยังมีเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่ง เช้าวันนี้คุณโม่ได้ติดต่อไปที่ร้านอาหารจีนเพื่อทำซุปบำรุงร่างกาย และช่างบังเอิญเหลือเกินที่คุณอู๋ก็เดินทางไปที่ร้านนั้นด้วย ท่านว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?”
เรื่องบังเอิญเหรอ?!
ลี่เฉินซีได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา
นับจากตอนนั้นที่หานฉ่ายหลิงเสแสร้งแกล้งทำเป็นช่วยเจี่ยงเวินอี๋และลี่เจิ้งออกมาหลายต่อหลายครั้ง ลี่เฉินซีก็ได้ใช้อดีตเป็นประสบการณ์ เขาจะเชื่ออีกได้อย่างไร?
อีกอย่างในตอนนั้นที่เกิดเหตุระเบิดไฟไหม้ขึ้น มีพนักงานกู้ภัยจำนวนมากมายแต่กลับละเลยเด็กอายุเจ็ดขวบเพียงคนเดียว งั้นเหรอ? และบังเอิญเหลือเกินที่มีเพียงอู๋หยานเท่านั้น เข้าไปแบกลี่หมิงออกมาจากเปลวไฟด้วยตนเอง มันเป็นเรื่องบังเอิญเหรอ?
หากว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ก็คงจะเป็นเรื่องบังเอิญที่ถูกใครบางคนวางแผนวาดการเอาไว้!