เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 722 ติดหนี้บุญคุณฉัน
ทันใดนั้น จู่ๆ เรี่ยวแรงอันทรงพลังของชายหนุ่มก็โอบรัดเอวอันเรียวบางของเธอเอาไว้อย่างหนาแน่น เขาใช้โอกาสนี้ดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ซูย้าวที่ยังไม่ได้ตั้งตัวจึงหล่นลงมาจากโต๊ะและทับไปบนร่างกายของชายหนุ่มซึ่งท่าทางมองไปแล้วไม่ค่อยสุภาพเท่าไรนัก
ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังพลอยทำให้ชายหนุ่มยืนไม่มั่นคงเสียหลัก ทั้งสองจึงได้ล้มลงไปที่พื้นในเวลาเดียวกัน
แต่เธอทับอยู่บนร่างกายของเขา จึงไม่ทำให้เจ็บอะไรมาก
หลังจากที่ล้มลงไปแล้ว หัวใจอันวุ่นวายของเธอก็สั่นเทา แม้ห้องจะมืดสนิทเธอก็ยังจำอีกฝ่ายหนึ่งได้และพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ลี่เฉินซี คุณบ้าไปแล้วหรือไง?!”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างรู้สึกรำคาญ เขาพลิกร่างกายกลับโดยกดเธอเอาไว้ด้านใต้ มือข้างหนึ่งวางไว้ที่ศีรษะ เพื่อไม่ให้ ศีรษะของเธอกระทบกับพื้น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งบีบแก้มของเธอเอาไว้ “ผมหรือคุณกันแน่ที่บ้าไปแล้ว? คุณทำอะไรลับๆล่อๆ?”
ลับๆล่อๆ……
เธอรู้สึกสับสนเล็กน้อยและพูดตามเขาออกมาก่อนจะหยุดคิด จากนั้นนิ่งเงียบถอนลมหายใจออกมา สายตามองไปยังรูปภาพที่มีชื่อเสียงภาพนั้นที่แปะอยู่บนผนังพูดว่า “ฉันหรือคุณกันแน่ที่ทำอะไรลับๆล่อ?”
ซูย้าวพูดพลางพยายามผลักชายหนุ่มออกไป “คุณสร้างกลไกอะไรมากมายในบ้านขนาดนี้ คุณหวาดระแวงหรือมีงานอดิเรกประเภทนี้คะ?”
ที่รูปภาพนั้นมีกลไกอยู่ ซึ่งเธอก็ค้นพบเข้าโดยบังเอิญ ในวันนั้นเธอกลับมาพักผ่อนที่ห้องแต่ก็ยังไม่อาจจะหลับตาลงจึงได้ จึงเดินไปรอบห้องและสังเกตเห็นได้ว่าในภาพชิ้นนี้มีบางอย่างผิดปกติไป เมื่อพิจารณาดูดีๆจึงได้ค้นพบกับกลไกนี้ที่ซ่อนไว้
ลี่เฉินซีจึงผละออกจากเธอแล้วลุกขึ้นยืน ดวงตาอันลึกล้ำมองไปที่เธอพูดว่า “ต่อให้ผมหวาดระแวงผมก็ไม่รู้สึกผิดหรอกนะ ส่วนถ้าผมจะมีงานอดิเรกอะไรแบบนี้ก็ไม่ได้ทำมันขึ้นมาเพื่อคุณหรอก เพราะตัวคุณในตอนนี้แค่เห็นผมก็อยากจะอ้วก!”
ซูย้าวนั่งอยู่ที่พื้นมองไปยังเขาอย่างเย็นชา เธอเต็มไปด้วยความโมโหแต่ก็พยายามพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “ฉันต้องขอขอบคุณคุณด้วยละกันค่ะ!”
ดวงตาของชายหนุ่มเกร็งขึ้นอีกครั้งก่อนจะทิ้งท้ายว่า “อย่าสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีกล่ะ อาหยานกำลังพักผ่อนอยู่อย่าไปรบกวนเธอ!”
อาหยานอีกแล้ว!
เมื่อซูย้าวได้ยินชื่อสองคำนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักอึ้งในดวงใจ ความโกรธที่อธิบายไม่ถูกได้ทวีเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ก็พยายามไม่พูดอะไรออกมา เธอเพียงมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งเดินออกไปจากห้องและรีบวิ่งไปล็อกประตูจากด้านใน
เป็นเช่นนี้ทั้งค่ำคืนจึงทำให้เธอนอนไม่หลับ เธอเดินสำรวจไปรอบห้อง ในที่สุดก็ค้นพบประตูลับอีกสองแห่ง ประตูแรกสามารถเชื่อมต่อไปยังห้องนอนข้างๆ อีกประตูหนึ่งเชื่อมต่อไปยังห้องหนังสือ
ดวงตาอันโกรธแค้นของเธอหรี่ลง ลี่เฉินซีคนนี้นี่เขาจะติดตั้งประตูลับแปลกๆเหล่านี้ไว้ในบ้านของตัวเองทำไมมากมายขนาดนั้น?!
ท่ามกลางความคิดที่สับสนวุ่นวาย ในที่สุดจนกระทั่งรุ่งเช้าเธอก็ได้หลับตาลงแต่ตื่นขึ้นอีกในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเช้าแล้ว แต่เธอก็เกิดอาการง่วงเหงาหาวนอนด้วยความเหน็ดเหนื่อย หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยเดินลงมาจากห้องเธอมองผ่านหน้าต่างห้องรับแขก ชั้นล่างพบว่าที่ลานบ้านนั้นชายหนุ่มในชุดสูทสวมรองเท้าหนัง กำลังประคองเอาใจใส่สาวสวยขึ้นรถ
ชายหนุ่มทำท่าทางดูแลเธออย่างดี ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความพออกพอใจ มองไปแล้วภาพของทั้งสองคนที่แสดงความรักต่อกันไปมาช่างเป็นภาพที่งดงามจริงๆ แต่ทำไมเมื่อซูย้าวมองไปแล้วกลับรู้สึกว่ามันขัดตาเหลือเกิน?
เธอเฝ้ามองดู จนกระทั่งรถที่ทั้งสองคนนั่งแล่นออก ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงแล้วนึกอยู่ในใจว่า อู๋หยาน ผู้หญิงคนนี้มีดีตรงไหนจึงทำให้เขาชื่นชอบมากขนาดนี้?
ซูย้าวขมวดคิ้วเข้าหากัน หากไม่ใช่เพราะการคาดเดาและลางสังหรณ์ของเธอที่ว่าอู๋หยานกับเจียงจี้เซิงมีความคลุมเครือกันนั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือภูมิหลังของตระกูลก็นับว่าเหมาะสมกับลี่เฉินซีมาก หรือเธอจะ……
ในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ประตูทางเข้าก็ถูกผลักออกพบหวางอี้เดินตรงเข้ามา
“คุณอานครับ นี่คือบัตรธนาคารของคุณและโทรศัพท์มือถือ ประธานลี่กำชับให้ผมส่งมาให้คุณ” หวางอี้นำโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ของเธอวางเอาไว้บนโต๊ะ
ซูย้าวมองไปที่สิ่งของเหล่านั้นแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน นั่นหมายความว่าลี่เฉินซียินดีรับข้อเสนอที่เธอยื่นไปเมื่อคืน และการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ก็เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ตอนนี้ความคิดของเธอหนักอึ้ง แต่ก็ยังไม่ได้เข้ามาขัดขวางสิ่งที่เธอต้องการจะทำต่อไป ซูย้าวเพียงเอ่ยขอบคุณเขาจากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมมาสวมหยิบกระเป๋าของเธอเดินจากบ้านไป
เธอนั่งรถแท็กซี่ออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โทรศัพท์ออกไปสองสาย เนื่องจากว่าโทรศัพท์มือถือไม่ได้เปิดใช้เป็นเวลานานดังนั้นเมื่อเปิดเครื่องขึ้นพบว่าแบตเตอรี่เหลือน้อยเต็มทน หลังจากที่เธอโทรศัพท์อยู่สองสายเรียบร้อยแล้วมันก็ปิดเครื่องลงทันที
สถานที่แรกที่เธอไปก็คือห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง เธอซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นเดียวกันใหม่อีกหนึ่งเครื่องและซิมการ์ดก่อนจะเดินออกมาก้มลงมองดูเวลา โบกแท็กซี่อีกคันไปยังที่อีกแห่งหนึ่ง
อาจจะเป็นเพราะสถานที่ที่เธอเลือกค่อนข้างห่างไกลจึงทำให้ใช้เวลานานอยู่บนท้องถนน ตอนที่เธอไปถึงก็เห็นร่างร่างหนึ่ง นั่งอยู่ที่ศาลาริมทะเล ร่างสูงใหญ่เหยียดตรงของชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างมีเสน่ห์และหล่อเหลา ขาข้างหนึ่งยื่นลงมาที่พื้น ในปากคาบบุหรี่เอาไว้
มองไปดูไม่น่าไว้วางใจ นี่คือ ความรู้สึกที่เจียงจี้ฉีมีให้กับคนอื่นเมื่อพบเห็น
ซูย้าวเดินตรงเข้าไป เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งเห็นเธอก็รีบดับบุหรี่ในมือลง ลุกขึ้นยืนพูดว่า “ทำไมคุณเพิ่งมาเอาตอนนี้ ผมรอคุณมาตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าแล้วนะ”
“รถติด” เธออธิบายอย่างแผ่วเบาจากนั้นลากเก้าอี้ตัวข้างๆออกมานั่งลงรินน้ำชาให้กับตัวเอง เธอดื่มมันเข้าไปอยู่สองอึก
เจียงจี้ฉีนั่งลงที่เก้าอี้อีกครั้ง เขาเอนตัวไปทางเธอแล้วมองด้วยความสนอกสนใจ “ติดต่อหาผมมีเรื่องอะไรเหรอ?”
“คุณจำคดีครั้งสุดท้ายที่ฉันช่วยคุณได้ไหม?” เธอพูดเข้าเรื่องอย่างช้าๆ
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “แน่นอน ผมจำได้สิมีอะไรเหรอ?”
ซูย้าวใช้มือข้างหนึ่งกุมไปที่คาง สายตามองไปที่เขาอย่างแผ่วเบา “ถ้าคุณจำได้ งั้นก็หมายความว่าคุณติดหนี้บุญคุณฉันอยู่ครั้งหนึ่งใช่ไหม?”
เจียงจี้ฉีเข้าใจในคำพูดของเธออีกแง่หนึ่งจึงหรี่ตาลงมองแล้วพูดว่า “คุณมาหาผมเพื่อให้ช่วยเรื่องอะไรเหรอ?”
“ก็ทำนองนั้น” ซูย้าวไม่อยากจะพูดจาอ้อมค้อมอีกต่อไปจึงได้บอกออกไปตรงๆว่า “ช่วยตรวจสอบใครบางคนให้ฉันหน่อยยิ่งละเอียดเท่าไหร่ยิ่งดี”
เจียงจี้ฉีรีบถามกลับทันทีว่า “ใคร?”
“อู๋หยาน”
ซูย้าวขมวดคิ้วเข้าหากัน “ฉันมีลางสังหรณ์ว่า อู๋หยานที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้ไม่ใช่คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลอู๋อย่างแท้จริง น่าจะเป็นคนอื่นปลอมตัวมา ดังนั้นคุณต้องใช้เวลาระยะเวลาสั้นที่สุดในการสืบเรื่องนี้” เจียงจี้ฉีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกงุนงง แต่เมื่อเขาครุ่นคิดอยู่สักพักก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นจริงดังนั้น เพียงแต่เขาพูดออกมาว่า “คุณหมายความว่ามีคนทำศัลยกรรมและปลอมตัวเป็นอู๋หยาน จากนั้นนำอู๋หยานตัวจริงซ่อนเอาไว้
“หรือบางทีอาจจะตายแล้วก็ได้” ดวงตาของซูย้าวดูเยือกเย็น เรื่องเหล่านี้เธอจำเป็นต้องคิดไว้ล่วงหน้าทุกสถานการณ์ แม้จะพบเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็ต้องเตรียมตัวให้ดี
เจียงจี้ฉีตกตะลึงเล็กน้อย เขาทำท่าครุ่นคิดและรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะปฏิเสธเธอจึงได้ตอบตกลงพูดว่า “ก็ได้ ผมจะส่งคนไปตรวจสอบให้”
“คุณต้องไปสืบอย่างแยบยลที่สุดและต้องใช้เวลาสั้นที่สุดด้วย เพราะถ้าหากอู๋หยานตัวจริงยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เธอกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าเธอตายไปแล้วก็จะต้องหาศพของเธอให้เจอ ต้องหาหลักฐานให้พบว่าเธอถึงจะเป็นตัวจริง”
เมื่อพูดทุกอย่างออกมาเรียบร้อยแล้ว ซูย้าวก็ได้พูดชื่อหนึ่งขึ้นว่า “แล้วก็ช่วยฉันสืบเรื่องคนที่ชื่อซูหยวนให้หน่อย ไปสืบให้พบว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน และให้คนถ่ายรูปมาให้ฉัน”
อันดับแรกเรื่องที่เธอจำเป็นต้องรู้ให้แน่ชัดก็คืออู๋หยานในตอนนี้เป็นซูหยวนปลอมตัวมาจริงๆหรือเปล่า เมื่อสืบชัดเจนถึงตัวตนเรียบร้อยแล้วจึงจะสามารถจัดการเรื่องต่อไปได้
เจียงจี้ฉีพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็แค่สืบเรื่องคนแค่สองคนไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย คุณรอข่าวจากผมแล้วกัน”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็สนทนากันอีกสองสามประโยคแล้วแยกย้ายกันไป
ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง อู๋หยานกำลังขับรถกินลมอยู่ในเขตเมือง เธอมักจะเหลือบตามองดูกระจกหลังซึ่งพบว่ามีรถติดอยู่ยาวเหยียด ดวงตาสีดำเข้มของเธอก็ดูลึกล้ำ
ครุ่นคิดอยู่สักพักในที่สุดเธอก็ตัดสินใจขับรถเข้าไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแล้วลงจากรถเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต
อาจจะเป็นเพราะวันหยุดสุดสัปดาห์จึงทำให้คนภายในซูเปอร์มาร์เก็ตค่อนข้างแน่นหนา เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยฝูงชน เธอหยิบรถเข็นมาคันหนึ่งแล้วรีบซ่อนตัวเข้าไปในฝูงชน แทรกตัวเองให้หายไปจากสายตาที่ถูกจับจ้อง
ก่อนจะเดินวกไปวนมาอยู่เจ็ดแปดรอบแล้ววางรถเข็นนั้นไว้ หยิบกระเป๋าเดินลงไปด้านล่าง
เธอเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งที่ชั้นล่าง เมื่อเธอเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมาที่ริมถนนโบกรถแท็กซี่ ขับออกไปจากที่แห่งนั้น