เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 727 ฆ่าเชื้อโรคให้
บรรดานักข่าวที่อยู่รอบๆ ต่างพากันตกตะลึงเนื่องจากกิริยาท่าทางของทั้งสองคนนี้ แสงแฟลชส่องสว่างเกิดเจ้ากะพริบรัวๆ เสียงฮือฮากันไปต่างๆนานา ดังขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เพ้ยส้าวหลี่ค่อยๆปล่อยเธอออก นิ้วมืออันเรียวยาวของเขาสัมผัสไปที่ริมฝีปากเธอ ดวงตาอันลึกล้ำมองไปที่เธอแล้วพูดว่า “ครับ เราแต่งงานกันเถอะ”
ใบหน้าของซูย้าวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มบางเบาอ่อนโยน ดูไม่ออกถึงความผิดปกติไป จากนั้นก็ให้ความร่วมมือกับเขาในการให้สัมภาษณ์นักข่าว ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในโรงแรมด้วยกัน
แขนอันเรียวยาวของเพ้ยส้าวหลี่โอบไปที่เอวบอบบางของเธอ ขณะที่เดินผ่านลี่เฉินซีไปนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาก็เผยอยิ้มขึ้น รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและเยือกเย็น อีกทั้งเป็นท่าทางของผู้ได้รับชัยชนะ แต่ที่หางตาของเขากลับเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยันซึ่งเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องคาดเดา
ซูย้าวแสร้งทำเป็นไม่เห็น และปล่อยให้ชายหนุ่มโอบเอวของเธอเดินตรงเข้าไปด้านใน
ซูหยวนยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิม เมื่อมองเห็นทั้งสองคนมีท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมกันเช่นนั้น จึงได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขบขันว่า “มิน่าล่ะ ทำไมคุณอานถึงไม่อยากแต่งงานกับคุณ ที่จริงแล้วหัวใจของเธอมีแต่คุณชายเพ้ยนี่เอง”
เมื่อเธอพูดจบก็เอื้อมมือไปโอบแขนของชายหนุ่ม แล้วแทรกตัวเข้าไปในอ้อมอกของเขาอย่างสนิทสนม “เอาละค่ะเฉินซี คุณอย่าคิดมากไปเลย ผู้หญิงแบบนั้นไม่ควรค่าหรอกค่ะ”
ใบหน้าของลี่เฉินซีเต็มไปด้วยความมืดมนเยือกเย็น นิ้วมือซึ่งกำหมัดเอาไว้แน่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ก็กำแน่นขึ้นไปอีก แต่เขากลับพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้แล้วยิ้มขึ้นให้ความร่วมมือกับซูหยวน ก่อนจะพาเธอเดินเข้าไปด้านใน
งานเลี้ยงเพื่อการกุศลเช่นนี้ในสังคมชั้นสูงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไร แต่ละครั้งที่จัดงานขึ้นก็จะเป็นในรูปแบบเดิมๆ อาทิเช่นการเปิดประมูลสิ่งของมูลค่าสูง จากนั้นก็เป็นรายนามของบริษัทต่างๆ ที่มอบเงินบริจาคให้แก่องค์กร พวกเขาใช้วิธีเช่นนี้ในการหาเงินเป็นข้ออ้าง จากนั้นหยิบยกประโยชน์บางส่วนออกมา ก่อนจะมอบเกียรติคุณให้แก่ทุกคน สร้างชื่อเสียงด้านความมีน้ำใจเมตตาอารี
งานเลี้ยงการกุศลนั้นได้เริ่มขึ้นก่อนหน้าแล้ว บรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานยืนจับกลุ่มสนทนาเรื่องธุรกิจ เต็มไปด้วยรอยยิ้มเสียงหัวเราะอย่างมีชีวิตชีวา
ในค่ำคืนนี้เพ้ยส้าวหลี่อารมณ์ดีเป็นที่สุด ดังนั้นเขาจึงได้บริจาคเงินก้อนโตให้แก่มูลนิธิอย่างใจกว้าง ซึ่งทำให้คนจำนวนไม่น้อยตกตะลึงและเอ่ยชื่นชมเขา เขาจูงมือซูย้าวขึ้นไปบนเวทีและประกาศแก่ทุกท่านให้รับรู้ถึงงานแต่งงานทั้งสองคน ซึ่งทำให้บรรยากาศนั้นปรับเปลี่ยนทิศทางของหัวข้อสนทนาไปอย่างสิ้นเชิง
ชุดราตรีอันงดงาม ประกอบกับไฟที่หรูหรา
ซูย้าวเดินวนไปมากับเพ้ยส้าวหลี่อยู่หลายรอบจนใบหน้าเธอแทบจะแข็งคืออยู่แล้ว แม้ว่าเธอตั้งใจจะทำเช่นนั้นก็ตาม แต่เมื่อสถานการณ์เกิดขึ้นจริงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าน่าเบื่อและใจลอย
เธอหยิบไวน์มาแก้วหนึ่งจากบริกร ท่าทางการดื่มไวน์หมดภายในแก้วเดียวของเธอ ทำให้เพ้ยส้าวหลี่ที่บังเอิญสังเกตเห็นเข้ามาห้ามแล้วแย่งแก้วไวน์จากมือเธอไป “ดื่มให้น้อยๆหน่อย”
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบา จากนั้นก็หยิบน้ำส้มจากบริกรส่งไปให้ในมือเธอ “ตอนที่อารมณ์ไม่ดีมักจะดื่มมากเกินโดยไม่รู้ตัว คุณคอไม่แข็งสักเท่าไหร่ ดื่มน้ำผลไม้แทนเถอะ!”
คำพูดสองสามประโยคนั้นทำให้ซูย้าวชะงักลงทันใด สายตาอันดูถูกมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ เป็นไปดังนั้น เพ้ยส้าวหลี่เพียงยิ้มออกมายกมือขึ้นลูบไปที่หัวของเธอ “คิดว่าผมมองไม่ออกจริงๆหรือไง ว่าคุณจงใจทำแบบนั้น?”
ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานก็เป็นเรื่องจอมปลอม การสารภาพรักก็เป็นเรื่องโกหกเช่นกัน มันเป็นเพียงฉากหนึ่งที่ถูกจัดขึ้นมา เพื่อตบตาคนอื่น และกระตุ้นอารมณ์ของใครบางคนเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เขาตามจีบเธอมาเนิ่นนานแต่เธอก็ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย จู่ๆหัวใจของเธอจะเปลี่ยนแปลงไปกลับกลายมาเป็นรักเขาได้อย่างงั้นเหรอ?
เพ้ยส้าวหลี่ไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่เขาก็ยินดีจะให้ความร่วมมือ ต่อให้รู้ว่าเป็นเพียงแค่การแสดง แต่เผื่อเธอแล้วเขาก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะทำมัน
ขนตาเรียวงอนของซูย้าวกะพริบ เธอก้มหน้าลงมองดูแก้วอันประณีตในมือของตน น้ำผลไม้สีเหลืองส้มสะท้อนให้เห็นใบหน้าอันงดงาม เธอพยายามยิ้มขึ้นเล็กน้อยอยากจะทำให้ตนเองดูเป็นธรรมชาติสักหน่อย “ในเมื่อคุณมองออกก็เปิดโปงออกมาเถอะ”
เธอต้องการใครสักคนมาร่วมแสดงฉากนี้ด้วย แต่คนคนนั้นจะต้องไม่ใช่ลี่เฉินซี และแน่นอนว่าจะเป็นหลินโม่ป่ายที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนคนนั้นไม่ได้
แม้ว่าเธอสูญเสียความทรงจำไป แต่ถึงอย่างไรเธอก็มองออกว่าหลินโม่ป่ายเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง ไม่ควรถูกเธอนำมาเล่นกับความรู้สึกตามอำเภอใจเช่นนี้
หากเปรียบเทียบกันแล้ว เพ้ยส้าวหลี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
เดิมทีเขาก็ไม่ได้เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์งดงาม อีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับอานเจียเย้น ทั้งยังเป็นคนในตระกูลเพ้ย เนื่องจากเหตุผลนานาประการจึงทำให้เธอจำเป็นจะต้องเลือกเขา
เพ้ยส้าวหลี่มองไปยังเธอด้วยความเบื่อหน่ายขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง”
ซูย้าวเหลือบตามองไปที่เขาและไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่หยิบน้ำผลไม้แก้วนั้นแล้วเดินอ้อมไปจากเขา
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเธอก็ไม่ชอบงานเลี้ยงเช่นนี้อยู่แล้ว เธอมักรู้สึกว่าแต่ละคนล้วนสวมหน้ากากอันจอมปลอมเสแสร้งทำเป็นคนดีเข้าหากัน มองไปทางใดก็เจอแต่ความไม่จริงใจ
แม้ว่านี่จะเป็นสังคม ที่ผู้บรรลุนิติภาวะทุกคนคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การรวมตัวของชนชั้นสูง เหล่านี้ มักทำให้เธอ เชื่อมโยงไปกับคำว่า ‘ไร้ศีลธรรมจรรยาเฉกเช่นสัตว์เดรัจฉาน’ ‘ขยะสังคม’ อีกทั้ง ‘ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง’ เหล่านี้ขึ้นมา
ที่จริงก็ไม่ใช่เพราะเธอเกลียดชังคนรวยแต่อย่างใด ซูย้าวในอดีตก็เติบโตมาในแวดวงนี้ตั้งแต่เล็ก จนกระทั่งเธออายุได้ยี่สิบกว่าปี แม้แต่ปัจจุบันถึงเธอจะกลายเป็นอานหว่านชิง แต่ความทรงจำอันจอมปลอมเหล่านั้นก็ไม่อาจจะห่างหายไปจากวงการประเภทนี้ได้เลย แต่แม้เป็นเช่นนั้นเธอก็ยังรู้สึกว่าไม่อาจหลอมรวมเข้าไปได้อยู่ดี
นี่อาจจะเป็นเสมือนกับกำแพงล้อมกัน ที่คนอยู่ด้านนอกกำแพงพยายามเบียดเสียดกันจะต้องการข้ามเข้ามา ส่วนคนที่อยู่ในกำแพงนั้นกลับพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อต้องการที่จะได้ออกไปด้านนอกแล้วใช้ชีวิตอย่างเช่นคนธรรมดา
ในขณะที่พยายามใช้ชีวิตของตนเอง ก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาคนอื่นและอยากจะเป็นเหมือนชีวิตของพวกเขา นี่คือสิ่งที่ทุกคนเคยประสบมาแล้วทั้งนั้น
ซูย้าวเดินผ่านผู้คนมากมายท่ามกลางห้องโถงใหญ่ที่ส่งเสียงอื้ออึงจอแจ ตรงออกไปจนกระทั่งสุดทางเดินและพบกับ ดาดฟ้า
ท่ามกลางความเงียบสงบไร้ซึ่งผู้คน หน้าต่างของดาดฟ้าถูกเปิดออกทำให้สายลมพัดโชยมาอ่อนๆ มีร่างของชายหนุ่ม กำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เขามองไปยังรถรามากมายบนท้องถนนอันยาวเหยียด บุหรี่ตัวหนึ่งถูกเขาจุดขึ้นและถือไว้ในมือซึ่งอันงดงามดุจหยก
ในขณะที่ซูย้าวบังเอิญเหลือบสายตาไปพบเข้ากับลี่เฉินซี ฝีเท้าของเธอก็หยุดลงทันใด เธอต้องการจะปลีกตัวออกห่างจากเขา แต่ก็ล้มเลิกความคิดนั้น
ไม่ว่าต่อไปอนาคตจะไปในทิศทางไหน เธอก็ยังจะต้องพบกับเขาอีกอยู่ดี อย่างเช่น เรื่องแม่ของเขา และเรื่องเอกสารการหย่าร้างของทั้งสองคน หรือเรื่องลูก……
เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าแล้วเดินตรงเข้าไปข้างเขา อาจเป็นเพราะลมในยามค่ำคืนจึงทำให้เธอรู้สึกว่าช่างหนาวเย็น จึงได้เดินตรงไปที่หน้าต่างแล้วปิดมันลง ขณะเดียวกันก็หันหลังกลับใช้ดวงตาอันงดงามคู่นั้นมองไปที่เขา “รีบจัดการเรื่องเอกสารเถอะค่ะ!”
นี่คือวิธีการแก้ไขเพียงอย่างเดียวที่เร็วที่สุดเท่าที่เธอจะคิดได้
ร่างอันสูงใหญ่ของลี่เฉินซีไม่ขยับเขยื้อน เขาไม่แม้แต่จะหันมาสบตากับเธอ เพียงยกบุหรี่ไปตรงริมฝีปากแล้วสูบมันเข้าไป จากนั้นจึงค่อยๆหันหลังกลับมา ใบหน้าอันหล่อเหลาก้มลงเล็กน้อย ควันบุหรี่พ่นลงไปที่ใบหน้าของเธอ
ควันบุหรี่นั้นทำให้ผู้สูดดมเข้าไปสำลัก ซูย้าวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันและพยายามหลีกเลี่ยง แต่กลับถูกชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งเข้าไปรั้งเอาไว้ไม่ให้เธอขยับเขยื้อน เธอพยายามดิ้นรนและขัดขืนอย่างไม่พอใจ “ลี่เฉินซี คุณ……”
ยังไม่ทันพูดจบ เขาได้ใช้ปากคาบบุหรี่เอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเข้ามาบีบคางของเธอด้วยแรงไม่มากไม่น้อย นิ้วมือของเขา ค่อยๆเลื่อนลงไปจนกระทั่งถึงริมฝีปากเธอ ก่อนจะสัมผัสมันไปมา ดวงตาอันลึกล้ำนั้นภายใต้หมอกควันช่างดูมืดมิดและยากจะคาดเดา “เขามีอะไรที่ผมให้คุณไม่ได้?”
ซูย้าวตกใจ เธอยังไม่ทันจะตอบโต้อะไรกลับมา ชายหนุ่มก็ได้ปล่อยเธอออกแต่มืออีกข้างที่อยู่ตรงเอวเธอนั้นยังไม่ได้ผละจากไป ท่าทางต่อมากลับเป็นการที่เขาเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูซึ่งวางอยู่บนโต๊ะด้านข้าง เขาหยิบมันมาแล้วเช็ดไปที่ปากของเธอ
ครั้งนี้เขาใช้กำลังค่อนข้างมากจนเธอไม่อาจจะดิ้นหลุดพ้นและก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลย เขาจงใจเช็ดไปที่ริมฝีปากของเธอด้วยแรงมหาศาล จากนั้นยังเช็ดไปที่ฟันของเธอด้วยแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซูย้าวรู้สึกอึดอัดใจเป็นที่สุด ไม่เพียงแต่ถูกแรงของเขาบีบบังคับเอาไว้อย่างเดียว แต่ที่ผ้าขนหนูนั้นมีกลิ่นแอลกอฮอล์ซึ่งเธอรู้สึกรับไม่ไหวจนแทบจะสำลัก ระหว่างที่พยายามดิ้นสะบัดออก เธอก็รู้สึกทนไม่ไหวทำท่าทางเหมือนจะอ้วกออกมา ท้ายที่สุดแล้วเธอพยายามรวบรวมแรงทั้งหมดผลักเขาออกไป พยายามดิ้นหนีจากผ้าขนหนูซึ่งเต็มไปด้วยแอลกอฮอล์ผืนนั้น เธอถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะพูดขึ้นว่า “ลี่เฉินซี คุณทำอะไรอยู่เนี่ย!”
“คุณจูบของสกปรกมา ผมก็แค่ช่วยคุณฆ่าเชื้อโรคที่ปากเท่านั้นเอง!” น้ำเสียงของลี่เฉินซีต่ำทุ้มและเร่งรีบ เขาพูดขึ้นกลบประโยคท้ายของเธอ