เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 731 นายมองเธอเป็นอะไรกันแน่
บ้านหลังนี้ อยู่หลังคฤหาสน์ตระกูลลี่ที่มอดไหม้ เขาเลือกอยู่ตามใจ
เพราะว่าลี่เจิ้งกับลี่หมิงได้รับบาดเจ็บ ได้เข้าโรงพยาบาล ส่วนซีซีก็ถูกเขาจัดการส่งให้ไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ ดังนั้นที่นี่จึงแทบจะเหลือแค่เขาคนเดียว ไม่ได้จัดเตรียมพี่เลี้ยงหรือแม่บ้านอะไรไว้
ในเวลานี้ มีคนมาเยี่ยม กริ่งประตูดังขึ้นในคฤหาสน์ที่ว่างเปล่า ดังก้องครั้งแล้วครั้งเล่า
ลี่เฉินซีขมวดคิ้ว ขยับตัวลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็ห่มผ้าให้ซูย้าว แล้วถึงสวมเสื้อคลุม ลงมาชั้นล่าง
ด้านนอกประตู เขาเปิดประตูออก ก็เห็นเพ้ยส้าวหลี่ในชุดสูทรองเท้าหนัง มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเผยความโมโห แววตาที่เยือกเย็น ตกลงมาที่เขาราวกับน้ำแข็งคมกริบ
เพ้ยส้าวหลี่หน้าตาก็ไม่ได้ดูแย่ กระทั่งสามารถใช้คำว่าหล่อเท่มาอธิบายได้ เพียงแต่เขามักจะมีท่าทีดูถูกคนที่สมบูรณ์แบบ แม้แต่รูปร่างยังแฝงความชั่วร้าย ทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์สัตว์นรกได้ง่ายๆ
ตอนนี้ ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน มีธรณีประตูกั้นไว้ เพ้ยส้าวหลี่จ้องมองไปที่เสื้อเชิ้ตที่เปิดอยู่ของลี่เฉินซี แววตาจมดิ่ง แต่ระงับไว้แล้วพูดอย่างเย็นชา “ฉันมารับเธอ เธอล่ะ?”
ลี่เฉินซีจับคำว่า ‘รับ’ในคำพูดของเขาได้ ความสนิทสนมไร้ช่องว่าง ราวกับว่าทั้งสองกลายเป็นคู่หมั้นกันจริงๆ
เขาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นพิงขอบประตูด้านข้าง พูดแค่ “น่าเสียดาย เมื่อกี้เธอเหนื่อยเกินไป หลับไปแล้ว”
ลี่เฉินซีไม่พูดอะไร เพียงแค่ใช้คำว่า ‘เมื่อกี้เหนื่อยแล้ว’มาบรรยาย ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทำอะไรไป ชายโสดหญิงโสด อยู่ในห้องเดียวกัน เพ้ยส้าวหลี่มีหรือจะเดาไม่ได้?!
เขาหรี่ตาลง ยิ้มด้วยความโกรธ “งั้นหรอ งั้นตอนนี้ฉันมาแล้ว รับเธอกลับบ้านค่อยนอนต่อ”
รอยยิ้มบนใบหน้าลี่เฉินซีไม่เปลี่ยน เลิกคิ้วเบาๆ “ไม่ได้ เธอมักจะอารมณ์เสียตอนตื่น นอนแล้วจะส่งเสียงดังไม่ได้”
“ไม่เป็นไร”เพ้ยส้าวหลี่นิ่งๆ พยายามรักษารอยยิ้มเย็นชาอย่างเต็มที่ จงใจพูด “ความอารมณ์เสียตอนตื่นของชิงชิงมีไว้สำหรับคนนอก ไม่เป็นกับฉัน……”
ขณะที่พูด เขาก็จะก้าวเข้ามา แต่ลี่เฉินซีไม่หลบตัว และไม่ปล่อยให้ไป ชัดเจนว่าไม่อยากต้อนรับแขก ท่าทางไม่อยากให้เขาเข้าประตู
“ใช่แล้ว เธอไม่ชอบพบเจอคนนอก แต่ประธานเพ้ยดูเหมือนจะลืมความสัมพันธ์ของฉันกับเธอไปแล้ว?”ลี่เฉินซีเตือนอย่างมีความหมาย
เพ้ยส้าวหลี่ร่างเบา มองมาที่เขาอีกครั้งด้วยความสนใจ “ความสัมพันธ์อะไร?”
ลี่เฉินซีมองไปที่เขา พูดเน้นที่ละคำ “ความสัมพันธ์แบบสามีภรรยาไง”
“สามีภรรยา?”เพ้ยส้าวหลี่ได้ยินคำที่บาดหูสองคำ ขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง “ก็เหลือแค่ในนามเท่านั้น! ไม่งั้นประธานลี่คืนนี้จะชี้แจงต่อหน้านักข่าวยังไง?”
ใบหน้าที่น่ามองของลี่เฉินซีมืดมนลง แขนยาวที่ขวางอยู่ไม่ขยับ แต่ไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระต่อ พูดแค่ “นั่นเป็นเรื่องระหว่างฉันกับเธอ เพ้ยส้าวหลี่ ฉันรู้ว่านายสนใจในตัวเธอมาตลอด แต่มันถึงเวลาต้องหยุดแล้ว!”
เพ้ยส้าวหลี่เองก็ใช้สายตามืดมนคล้ายๆ กันมองไปที่เขา โต้กลับ “มีสิทธิ์อะไร? เป็นเพราะความสัมพันธ์ในการแต่งงานที่ไร้ประโยชน์นั่นระหว่างพวกนาย? หรือว่าเป็นเพราะโรคความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ที่นายมีต่อเธอ?”
“ลี่เฉินซี นายเห็นเธอเป็นอะไร?”
คำพูดนี้ เพ้ยส้าวหลี่ก็เคยถามเขาในปีนั้น ในใจเขา ซูย้าวคืออะไรกันแน่?
เป็นแค่ภรรยาที่เหมาะแก่การแต่งงาน สุจริตรู้หน้าที่ ปฏิบัติตนตามครรลองครองธรรมและเป็นแม่ของลูกหรอ?
ถ้าหากว่าเป็นแค่นี้ สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว มันน่าเวทนาเกินไปหรือเปล่า!
“เพียงเพราะนายเคยทำร้ายซูย้าว บีบบังคับให้เธอไปจากนาย นายเลยรู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ อยากที่จะกลับใจและชดใช้ ดังนั้นห้าปีผ่านไปพอเธอกลับมา นายก็ไล่ตามเธออย่างหน้าไม่อายทันที โชคร้ายที่เธอเกิด ‘อุบัติเหตุ’ขึ้นต่อหน้านายอีกครั้ง นายก็รู้สึกไม่พอใจ เมื่อเธอกลับมาอย่างปลอดภัย ก็ยังจะพัวพันต่อ?”
เพ้ยส้าวหลี่ยิ้มเยาะอย่างไม่ปิดบัง ฟันสีขาวที่น่ามองเรียบร้อยเป็นระเบียบ ท่าทางที่เขายิ้มออกมา ก็เหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ แต่เพราะความเย็นเยือกในแววตา ความหมายทั้งหมดจึงเปลี่ยนไป
“อย่างนายมันไม่เรียกว่ารักเลย นายไม่เคยถามว่าที่เธอต้องการคืออะไรกันแน่ ใช้เพียงแค่ความครอบครอง กับอำนาจ บังคับกักขังเธอก็เท่านั้น!”
เพ้ยส้าวหลี่หายใจเข้าลึกๆ เบาๆ พูดต่อ “ตอนนั้นทำกับซูย้าวแบบนั้น ตอนนี้ก็ทำกับอานหว่านชิงแบบเดียวกัน!”
ในอดีต เขาใช้การแต่งงานกับซูย้าว ทรมานทำร้ายเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ เขาก็ลงมือบีบบังคับอานหว่านชิงด้วยทะเบียนสมรสอีก มีความสัมพันธ์นี้แล้ว ก็ทำอย่างที่เคยทำอีก
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ในสายตาของเพ้ยส้าวหลี่ ก็เป็นเพียงวิธีการที่น่ารังเกียจถึงขีดสุดเท่านั้น ยังจะเรียกมันว่าความรัก ภายใต้หน้ากากที่มีอำนาจสูงสุด ช่างไร้ยางอาย
ลี่เฉินซีฟังเขาพูดเยอะขนาดนี้ ร่างเงาเยือกเย็นน่ากลัว ก็มีความเกลียดชังไหลออกมาทีละน้อย “ใช่ ฉันมีความรู้สึกครอบครองเธอ แล้วยังชอบใช้วิธีบีบบังคับกักขังเธอ แต่แล้วมันจะทำไม?”
“นายก็แค่คนที่ยืนดูอยู่ข้างๆ และเป็นคนนอก มีคุณสมบัติอะไรมาแสดงความคิดเห็น ในความสัมพันธ์ส่วนตัวของฉันกับเธอ?”
ลี่เฉินซียอมรับ ว่าตนมีหลายจุดที่ทำไม่เหมาะสมจริงๆ ไม่ว่าจะในปีนั้น หรือว่าตอนนี้ มีหลายครั้ง ที่ไม่พิจารณาถึงความรู้สึกของเธอเลย มันถึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสอง ไม่เคยได้รับการคลี่คลายเชิงคุณภาพมาก่อน!
แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็เป็นเรื่องของเธอกับเขา ควรจะปกป้องรักใคร่เธอยังไง ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาสั่งสอนชี้แนะ
ดวงตานกฟินิกซ์ที่แคบยาวของลี่เฉินซีค่อยๆ หรี่ลง โกรธขึ้นมาทันที “นายแค่ต้องจำไว้ ไม่ว่าเธอจะชื่ออะไรสกุลอะไร ความทรงจำของเธอ ในชีวิต ในร่างกาย แม้แต่เลือด ก็มีร่องรอยของฉันมาตั้งนานแล้ว เธอเป็นของฉัน นี่เป็นความจริงที่ชั่วชีวิตนี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงอีก!”
“เพ้ยส้าวหลี่ อย่าฝืนอะไรที่ไม่มีวันเป็นจริงอีก!”
พูดจบ ลี่เฉินซีก็จะปิดประตูส่งแขก แต่เพ้ยส้าวหลี่กลับก้าวมาขวางประตูใหญ่ด้วยรองเท้าหนัง แล้วพูด “สำนวนนี้ของนาย มีไว้แค่สำหรับซูย้าวคนก่อน แต่เธอ ตอนนี้เป็นอานหว่านชิง”
“คืนนี้ฉันสามารถไม่รับเธอไปชั่วคราว แต่พรุ่งนี้เธอก็จะเป็นเด็กดีมาหาฉัน รู้ไหมว่าทำไม? เพราะเธอยอมรับฉันตั้งนานแล้ว ว่าชั่วชีวิตนี้ เธอเป็นของฉัน!”
พูดจบ เพ้ยส้าวหลี่ก็ไม่อยู่ต่อ หมุนตัวอย่างสง่างาม ตรงไปขึ้นรถ แล้วจากไป
ลี่เฉินซีเองก็ปิดประตูใหญ่ลงเสียงดัง’ปัง’ รูปร่างที่คมชัดของเขาเผยความซับซ้อน ค่อยๆ กำหมัดแน่น ส่งเสียงเบาๆ
แล้วความจริงก็พิสูจน์ได้ว่า เพ้ยส้าวหลี่พูดถูกแล้วจริงๆ
เพราะลี่เฉินซีอยู่กับซูย้าวมาทั้งคืน กลางดึกก็ป้อนยาแก้ไข้และยาแก้อักเสบให้เธอ เดิมทีอยากที่จะดูแลเธอต่อ แต่เมื่อโรงพยาบาลโทรศัพท์มา ว่าร่างกายของลี่เจิ้งเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว เขาก็จำเป็นต้องปลีกตัวไป แล้วพอเขาไป เธอก็ตื่นพอดี
ซูย้าวลืมตาขึ้น เป็นไข้สูงมาทั้งคืน ร่างกายในตอนนี้จึงยังคงเหนื่อยล้า ความปวดเมื่อยที่คลุมเครือ ลามไปทั่วทุกข้อกระดูก
เธอลุกขึ้นนั่งจัดการอารมณ์ จากนั้นก็บังคับให้ตัวเองปีนลงจากเตียง ล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้า จัดเก็บข้าวของ แล้วก็จากไป
การไปครั้งนี้ เธอตรงไปที่บริษัทเพ้ยซื่อกรุ๊ป ยืนยันคำพูดนั้นของเพ้ยส้าวหลี่จริงๆ
แล้วเพ้ยส้าวหลี่ก็เหมือนเดาได้แต่แรกแล้วว่าเธอจะมา ดังนั้นจึงรอเธออยู่ในออฟฟิสตลอดช่วงเช้า เพราะเมื่อซูย้าวมาถึงก็ใกล้จะกลางวันแล้ว เลขาเองก็จัดเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว วางเรียงอยู่บนโต๊ะ
เขาเดินมาจากหลังโต๊ะทำงาน “มา กินอะไรก่อนสิ”
ซูย้าวกวาดตามองอาหารบนโต๊ะ ไม่มีความอยากอาหาร แต่ก็กินไปสองสามคำ เพ้ยส้าวหลี่แทบจะไม่ได้กินอะไร แต่กลับดูแลเธออยู่ตลอดทั้งขั้นตอน คีบอาหารต่างๆ นานาให้เธออย่างระมัดระวัง จนกระทั่งเห็นว่าเธอเกือบจะอิ่มแล้ว ถึงวางตะเกียบลง เอนตัวไปด้านหลัง จุดบุหรี่
เธอเองก็กินข้าวในชามเสร็จแล้ว วางตะเกียบกับชามลง เช็ดปาก แล้วพูดขึ้น “ไม่อยากพูดอะไรหน่อยหรอ?”
“เธอหมายความว่ายังไง?”เขาเลิกคิ้วเบาๆ
เธอเอนตัวไปด้านหลัง พิงพนักโซฟา สุ่มหยิบหมอนอิงข้างๆ มาไว้ในอ้อมกอด “ฉันเดาว่านายน่าจะมีคำถามบางอย่างอยู่นะ ถามมาเถอะ!”
เพ้ยส้าวหลี่ได้ฟังก็ยิ้ม รอยยิ้มจางๆ ที่ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ยังมีรสชาติที่ชัดเจน มองไปที่แววตาของเธอ กลับเผยความลึกลับ “เธอคิดว่าฉันจะอยากรู้ ว่าทำไมเธออยากแต่งงานกับฉันกะทันหัน?”