เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 767 ลูกไม่ปวดใจแต่พ่อปวด
“คุณคิดว่ายังไงล่ะครับ?”
ใบหน้าอันหล่อเหลาของลี่เฉินซี บริเวณมุมปากของเขาเผยอรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย มันช่างเฉียบคมประกอบกับดวงตาอันลึกล้ำดุจทะเล ทำให้คนที่พบเห็นแทบจะต้องจมอยู่ในความอ่อนโยนนั้น
ซูหยวนตะลึงในทันใด จู่ๆ ลำคอของเธอก็แน่นเสียจนพูดอะไรไม่ออก เธอไม่แน่ใจว่าลี่หมิงพูดอะไรกับเขาบ้าง และเขาจะเชื่อมากน้อยเพียงใด แต่ตอนนี้เธอรู้สึกถูกกระทำโดยผิดปกติ
เธอก้มศีรษะลงด้วยความรู้สึกทำตัวไม่ถูก เธอไม่อยากให้ชายหนุ่มสังเกตเห็นความตื่นตระหนกดวงตาของเธอจึงทำได้เพียงหัวเราะออกมาเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อน เนิ่นนานทีเดียวกว่าเธอจะพูดออกมาว่า “บางทีก็อาจจะใช่มั้งคะ ยังไงเสียหมิงเอ๋อก็ยังเล็กมาก แม้เขาจะฉลาด แต่…… แต่ถึงยังไงก็เป็นเพียงแค่เด็ก”
ลี่เฉินซีมองไปที่เธอด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ “นั่นสินะครับหมิงเอ๋อยังเล็กมากดังนั้นประโยคอะไรที่เขาพูดออกมาก็คงจะเชื่อไป ทุกอย่างไม่ได้เหรอใช่ไหมครับ?”
ประโยคนี้เป็นคำบอกใบ้ที่ชัดเจนเหลือเกิน
ดวงตาของซูหยวนหดลงอย่างรวดเร็ว จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าสูญเสียความสามารถในการสื่อสารไป ก่อนจะพยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือและยิ้มออกมาอย่างเขินอายไม่ได้พูดอะไรอีก
“คุณอู๋ครับ ผมจำได้ว่าตอนนั้น วิชาเอกของคุณคือการออกแบบแฟชั่นใช่ไหม?” จู่ๆ ลี่เฉินซีก็เปลี่ยนเรื่องพูด
ประโยคเมื่อครู่ของเขาทำให้เธอมึนงงไปหมด ไม่ได้สติกลับคืนมาเธอก็พยักหน้าแล้วตอบว่า “อ๋อ ใช่ค่ะทำไมเหรอคะ?”
อู๋หยานตัวจริงนั้นเคยเรียนแฟชั่นดีไซด์มาก่อน อีกทั้งเป็นดีไซเนอร์ชั้นเลิศ เธอได้รับรางวัลระดับนานาชาติมามากมาย ดังนั้นซูหยวน ก็พอจะรู้เรื่องบ้าง
เนื่องจากว่าหากจะเข้าไปแทนที่ใครสักคน ก็จะต้องเข้าใจในทุกๆ แง่มุมของคนคนนั้นและมั่นใจในทักษะต่างๆ ไม่อย่างนั้นก็คงจะถูกเปิดโปงไม่ช้าก็เร็วแน่
ดวงตาอันดูหนักอึ้งของลี่เฉินซีไม่ได้แสดงความรู้สึกพิเศษใดๆ ออกมา เพียงแค่พูดว่า “ช่วงนี้พอจะว่างไหมครับ ถ้าเป็นไปได้ไปปารีสเป็นเพื่อนผมสักหน่อยสิ?”
“คะ?” ซูหยวนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุนงง ดวงตาของเธอเป็นประกาย “ปารีสเหรอคะ?”
เขาเอื้อมมือมาโอบไหล่ของหญิงสาวจากนั้นพาเธอเดินไปด้านหน้า “มีงานแฟชั่นโชว์จะจัดขึ้นที่นั่น และมีอีกสองกิจกรรมที่ต้องเข้าร่วม แต่ว่าถ้าคุณอู๋เต็มใจเดินทางไปด้วยกันก็ถือว่าเป็นการท่องเที่ยวพักผ่อนจิตใจว่ายังไงครับ?”
ซูหยวนกะพริบตา เธอตั้งตารอโอกาสที่ได้อยู่สองต่อสองกับเขามานับหลายครั้ง อีกอย่างการเชิญชวนในครั้งนี้เป็นเขาที่ริเริ่มขึ้นมาก่อนเธอจะปฏิเสธได้อย่างไร?
เมื่อมองไปยังหญิงสาวที่พยักหน้าตอบรับเขาอยู่ตอนนี้ ริมฝีปากของลี่เฉินซีก็เผยอโค้งขึ้น เขาพูดเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมจะให้คนส่งคุณอู๋กลับไปก่อนเพื่อเตรียมตัว เราจะเดินทางกลางคืนนี้ได้ไหมครับ?”
“คืนนี้? เร็วจังค่ะ”
แต่ความลังเลของเธอก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอรีบพยักหน้าตอบรับว่า “แน่นอนว่าได้สิคะ ช่วงนี้ฉันไม่มีธุระอะไร ถ้าหากได้ไปกับคุณล่ะก็คงจะดีมากเลยละค่ะ”
“ครับ” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลกลมกล่อมราวกับเสียงจากธรรมชาติ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงคำธรรมดาทั่วไปแต่ก็มักทำให้ผู้ฟังเกิดกระตุ้นจินตนาการได้เสมอ
ซูหยวนเองก็ถูกคำพูดเชิงวาทศิลป์ของเขาเช่นนี้ ทำให้รู้สึกดุจลอยอยู่บนเมฆ ความหวานเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็วจนทำให้เธอไม่ทันตั้งตัวรู้สึกเหมือนกับเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่
ลี่เฉินซีจัดการให้ใครบางคนส่งเธอกลับไปจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยของลี่เจิ้ง
เป็นไปอย่างที่ลี่หมิงพูด เด็กคนนี้ตื่นขึ้นตั้งนานแล้ว ร่างกายของเขาค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ละวันนอกจากเวลาที่นอนหลับแล้วก็ไม่ได้ตกอยู่ในอาการโคม่าสะลึมสะลืออีก
มีพยาบาลสาวสองคนนั่งอยู่ข้างเตียงสนทนาพูดคุยหัวเราะกับเจ้าหนู แต่ลี่เจิ้งกลับทำสีหน้านิ่งเงียบตลอดเวลา ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีความสุขสักเท่าไหร่ เขาเพียงแค่นั่งอยู่นิ่งๆ ไม่พูดอะไรฟังเสียงของพยาบาลสองคนคุยกัน
เมื่อพยาบาลเห็นลี่เฉินซีเดินทางมาจึงได้พากันลุกขึ้นเดินจากไป ภายในห้องผู้ป่วยจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคนพ่อลูก ลี่เฉินซีก้าวเข้ามานั่งที่ข้างเตียงแล้วถามว่า “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ได้ลงจากเตียงมาขยับร่างกายบ้างหรือเปล่า?”
ลี่เจิ้งเอนกายลงบนเตียง เขานำขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง ใบหน้าอันขาวผ่องได้รูปเอนศีรษะออกไปด้านนอกหน้าต่าง ดูเหมือนกับไม่สนใจหรือไม่ได้ยินคำพูดของพอเมื่อสักครู่
“เจิ้งเอ๋อ” ลี่เฉินซีเอ่ยปากเรียกชื่อเขา
แต่ว่าเขาก็ยังคงมีท่าทางดังเดิม ใบหน้านั้นยังคงไม่แยแสไร้ปฏิกิริยาใดๆ เพียงแต่ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียวจึงได้พูดออกมาว่า “แม่ผมอยู่ที่ไหน?”
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างกายของเด็กน้อยใช้มือโอบเขาเข้ามา “ทำไมล่ะ เห็นหน้าพ่อไม่ดีใจหรือไง อ้าปากก็จะถามถึงแต่แม่ตลอด ลืมแล้วหรือไงว่าปกติพ่อรักเราขนาดไหน?”
ลี่เจิ้งผละออกจากมือของเขาอย่างรังเกียจ บางทีอาจจะเป็นเพราะเด็กคนนี้เริ่มโตแล้วจึงไม่ได้ชอบทำตัวออดอ้อนเหมือนเด็กๆ อีกต่อไป เขาพูดเพียงแค่ว่า “แม่ผมได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”
ลี่เฉินซีชะงักลง ดวงตาของเขาดูมืดมน “ทำไมถามแบบนั้น?”
“เหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนั้น แม่ของผม…… เธอได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?” เจ้าหนูยังคงถามต่อไปอย่างไม่ลดละ ดูเหมือนว่าลี่เจิ้งที่เพิ่งตื่นจากการ นอนหลับเป็นเวลานานค่อยๆ ฟื้นคืนสติอย่างช้าๆ และค่อนข้างจะกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
ลี่เฉินซีจึงผ่อนแรงลงและปล่อยเขา “แม่ไม่เป็นไร เธอแข็งแรงปลอดภัยดี”
“แล้วแม่ผมล่ะ ทำไมเขาไม่มาหาผม?” ลี่เจิ้งถามขึ้นอีกครั้ง
ใบหน้าอันหล่อเหลาของลี่เฉินซีเผยถึงความเบื่อหน่ายออกมาแล้วพูดว่า “ในใจในหัวของลูกมีแต่แม่คนเดียวหรือไง? เธอวุ่นอยู่ไม่มีเวลามาตอนนี้”
ลี่เจิ้งฟังคำตอบของเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นแค่ข้ออ้าง ดังนั้นใบหน้าของเขาจึงมืดมนลงทันที กลับไปเป็นสถานะไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อยดังเดิม
ลี่เฉินซีรู้สึกหมดหนทางกับเขาจริงๆ จึงทำได้เพียงพูดว่า “จริงๆ พ่อไม่ได้โกหก แม่มีธุระต้องจัดการอีกมากไหมตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้กำลังบินไปที่มาดริด”
เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาของลี่เจิ้งก็ขยับเขยื้อนเล็กน้อย “แม่ไปที่นั่นทำไม ซีซีอยู่ที่นั่นเหรอ?”
เขายิ้มแล้วตอบว่า “แม่ยุ่งอยู่กับงาน ก็แม่เข้มแข็งกล้าหาญและเป็นคนบ้างานขนาดไหนไม่รู้หรือไง?”
“แต่ว่าผมกับลี่หมิงนอนป่วยอยู่แบบนี้นะ!” ลี่เจิ้งอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมา ในช่วงที่เขาอาการโคม่านั้น เรียกได้ว่าทั้งร่างกายแทบจมอยู่ในขุมนรกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด แต่มีเพียงร่างเดียวที่มักปรากฏไปมาอยู่ต่อหน้าเขาก็คือ ซูย้าว
เขาพยายามไล่ตามแม่ฟังเสียงเรียกของแม่จึงได้พยายามลืมตาขึ้นในที่สุด
แต่เมื่อเขาตื่นฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ กลับไม่พบแม้แต่ร่างเงาของซูย้าว แต่ละวันคนที่อยู่เป็นเพื่อนเขาที่นี่มีเพียงพยาบาลพี่เลี้ยงหรือบางครั้งก็มีลุงหวาง ดูเหมือนกับว่าเขากับลี่หมิงกลายเป็นเด็กน้อยที่ถูกทอดทิ้งไม่มีทั้งแม่ และไม่มีความรักจากพ่อ
ลี่เฉินซีมองเห็นความผิดหวังในดวงตาของเจ้าหนูน้อย จึงได้ดึงเขาเข้ามาไว้ในอ้อมกอดด้วยความเห็นอกเห็นใจ “แม่เขารู้ว่าลูกกับหมิงเอ๋อป่วย แม่ก็เอาแต่โทษตัวเอง ตอนที่ลูกยังไม่ได้สติคืนมานั้นเธอเดินทางมาตั้งหลายครั้ง แต่ละครั้งเธอได้แต่กุมมือลูกเอาไว้แล้วร้องไห้ไม่หยุด”
“เจิ้งเอ๋อ” น้ำเสียงของลี่เฉินซีลากยาว เขามองไปทางลูกชายคนโตด้วยแววตาลึกล้ำ “ลูกไม่ปวดใจเหรอ?”
ลี่เจิ้งตกตะลึงเขาไม่รู้ว่าควรจะต่อไปอย่างไร และลี่เฉินซีก็ไม่ได้ให้เวลาเขาในการตอบ แต่พูดต่อไปว่า “ต่อให้ลูกไม่ปวดใจ แต่พ่อก็รู้สึกปวดใจแทน เพราะเธอคือภรรยาของพ่อ ทุกครั้งที่เธอเดินทางมาดูลูกกับลี่หมิงเห็นว่าทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บ เธอก็ร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนพ่อเป็นทุกข์ทนใจ เลยได้หาข้ออ้างให้เธอปลีกตัวไปจากที่นี่”
“ครับ?” ลี่เจิ้งดูเหมือนไม่เชื่อเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วมองดูพ่ออย่างประหลาดใจ “พ่อทำไมทำแบบนี้ ยังไงก็น่าจะรอผมตื่นขึ้นมาคุยกับแม่สองสามคำหน่อยไม่ได้หรือไง?”
เขาลูบหัวของเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก รออีกสักพักนะ ถ้าแม่จัดการธุระเสร็จแล้วพ่อจะไปพาเธอมาเอง”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งว่า “รอให้ลูกกับหมิงเอ๋อหายดีแล้ว ด้านของแม่ก็คงจะจัดการธุระเสร็จเช่นกัน พวกเราห้าคนพ่อแม่ลูกยังต้องใช้ชีวิตอยู่อีกนาน อนาคตยังอีกยาวไกล เจิ้งเอ๋อไม่ต้องรีบร้อนกังวลไปเข้าใจไหม?”
ที่จริงแล้วลี่เฉินซีแทบไม่ค่อยมีความอดทนขนาดนี้มาก่อน เขาต้องพยายามรวบรวมเรื่องโกหกพูดกับเด็กๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ว่าทุกคนล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา จะให้เขาทำอย่างไรได้ล่ะ?
เจิ้งเอ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย “ก็ได้ครับ ถ้าแม่ไม่เป็นอะไรผมก็วางใจแล้ว”
“แหม ลูกชายคนโตของพ่อนี่เก่งที่สุดเลย” ลี่เฉินซีเอ่ยชมเข้ามาประโยคหนึ่ง จากนั้นใช้แขนโอบลูกชายเข้ามาหอมไปที่แก้ม แต่ว่าลี่เจิ้งเริ่มโตแล้วเขาจึงเอี้ยวตัวหลบไม่หยุด ด้วยเหตุนี้สองคนพ่อลูก จึงเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้น
ไม่รู้ว่าลี่หมิงได้ยินเสียงหรืออย่างไร เขาเองก็รีบวิ่งเข้ามา จากนั้นลี่เฉินซีจึงพาลูกชายทั้งสองคนเล่นอย่างสนุกสนานพักหนึ่ง ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมา