เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 769 ความรู้สึกเหมือนไล่ล่า?
ภายในห้องมืดสนิท แสงไฟในค่ำคืนสลัวๆ บัดนี้ช่างเงียบเสียจนเข็มหล่นลงพื้นก็คงได้ยิน
ท่ามกลางความเงียบนี้เอง จู่ๆ อานเจียเย้นกล่าวเอ่ยปากพูดขึ้นน้ำเสียงของเขาต่ำทุนดุจดั่งมีพลังแม่เหล็ก เขาใช้ภาษาอังกฤษ อันมีเสน่ห์และสดชื่น พูดออกมาว่า
“ทำไมคุณถึงคิดไปเองแบบนั้นล่ะ?”
ซูย้าวชะงักลงเล็กน้อยเธอหัวเราะออกมาอย่างยากจะอธิบาย “คิดไปเองเหรอคะ พวกนี้เป็นเพราะฉันคิดไปเองหรือไง?”
เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย ใบหน้าอันหล่อเหลาผิวขาวผ่องอิ่มเอม ประกอบกับแว่นตากรอบบางที่สันจมูกของเขา บัดนี้ดูเหมือนเขาเป็นสุภาพบุรุษ ที่แม้แต่การแสดงสีหน้าออกมายังดูไร้เดียงสา
ผู้ชายคนนี้นี่ แสดงเก่งมากจริงๆ ……
ซูย้าวหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่อเขาไม่อยากจะพูดออกมาให้ชัดเจน ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องเป็นเธอที่พูดมันออกมา “แม้ว่าฉันจะไม่แน่ใจว่าทำไมเมื่อสองปีก่อนคุณถึงต้องพามาฉันมาที่นี่ แต่ว่าดูจากสถานการณ์ทุกสิ่งตอนนี้แล้ว คุณกล้าสาบานหรือเปล่าว่าทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย?”
มันจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยได้อย่างไร?
พูดให้ถูกต้องก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้อานเจียเย้นเป็นคนจัดฉากขึ้นมา รวมถึงการพาเธอออกมาจากที่นั่น จากนั้นก็ส่งเธอกลับไป จวบจนบัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมและแผนการของเขา
แม้ว่าจะวางแผนค่อนข้างซับซ้อนและแยบยล แต่ก็มีตัวแปรเกิดขึ้นตลอด นั่นก็คือการที่ซูย้าวหนีการแต่งงานมา เรื่องนี้อยู่เกินความคาดหมายของอานเจียเย้น
แต่ว่าโดยรวมก็ไม่ได้ส่งผลกระทบเท่าไรนัก เนื่องจากลี่เฉินซีไม่ยอมวางมือโดยเด็ดขาด อีกทั้งเข้ามาพัวพันกับเธอกว่าเดิม
อานเจียเย้นก้มหน้าลง เขาเลือกที่จะใช้ความเงียบเป็นคำตอบ
ซูย้าวมองไปที่เขา “ทำไมล่ะคะ? คุณต้องการอะไรกันแน่ ต้องการแค่ความสนุกเหรอ ความรู้สึกที่เหมือนกับการตามไล่ล่าทำให้คุณตื่นเต้นมากหรือไง?”
มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ทำทุกสิ่งอย่างที่ต้องการ เป็นผู้บงการที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง และคอยดูหุ่นเชิดที่อยู่บนเวที มันมีความสุขมากนักหรือไง?
ถ้าเป็นแบบนั้น จากที่ซูย้าวคิดดูแล้ว คนคนนี้คงจะมีความผิดปกติทั้งด้านบุคลิกภาพและสภาพจิตใจ มันเหมือนจะถึงขีดจำกัดที่เกินจินตนาการแล้ว
สายตาอันลึกล้ำของอานเจียเย้นสะท้อนผ่านเลนส์แว่นตาออกมา มันลึกล้ำคลุมเครือ ส่วนคำพูดที่ออกมาจากปากเขาแฝงไปด้วยความเยาะเย้ย “ความรู้สึกของการไล่ล่าเหรอ?”
ซูย้าวแสร้งทำเป็นแสดงท่าทางคลุมเครือต่อเขา แต่ที่จริงแล้วเธอโกรธมาก และแทบจะทนไม่ไหวที่จะเข้าไปท้าดวลกับเขา แต่คำพูดของเธอกลับนุ่มนวล “นี่ไม่ใช่งานอดิเรกของคุณเหรอคะ?”
ทำไมถึงบอกว่าเขามีความผิดปกติทางบุคลิกภาพอย่างร้ายแรงแบบนี้น่ะเหรอ ที่จริงซูย้าวไม่ใช่จิตแพทย์ เธอไม่ค่อยได้ทำอะไรเกี่ยวกับแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่เธอมีหลักฐานและประสบการณ์ส่วนตัว
สองปีมานี้ เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่กับอานเจียเย้น ดังนั้นเขาได้ทำอะไรลงไปบ้างเธอรู้ดีอยู่แก่ใจ
เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับบริษัทที่จะพัฒนาและเติบโต ต้องการผนวกเข้ากับบริษัทอื่น ซื้อบริษัทอื่นและการแข่งขันการทางการค้าต่างๆ สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องธรรมดามากแต่มีอยู่อย่างเดียวที่อยู่เหนือความเข้าใจของทุกคน
นั่นคือบริษัทที่อานเจียเย้นผนวกด้วยกันนั้น ไม่เพียงแต่เขาจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้มละลาย แต่ขณะเดียวกัน ตระกูล เพื่อนหรือภรรยาในครอบครัวก็จะถูกทำลายด้วย
เขาจะเดินเกมอย่างระมัดระวัง จากนั้นลากคนที่เกี่ยวข้องเข้ามา ส่วนตนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มองจากมุมไกล คอยวงการด้วยเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ จากระยะไกล เดินถลำลึกเข้าไปทีละขั้นตอนทีละก้าว ท้ายที่สุดแล้วจะไม่เพียงแค่สูญเสียบริษัทหรือชื่อเสียง แต่ยังทำร้ายญาติในทางอ้อมหรือโดยตรง แม้แต่เพื่อนหรือครอบครัวก็อาจจะถูกรังเกียจ จบลงด้วยความเกลียดชัง
มันเหมือนกับเกมล่าสัตว์ และเขาเป็นนักล่าที่มีกลยุทธ์อันยอดเยี่ยม
นอกจากนี้ เขายังเชื่อในหลักการอย่างลึกซึ้งว่าหากจะตัดหญ้าก็ควรจะถอนโคน แต่ละครั้งที่เขาออกไล่ล่า ญาติและเพื่อนของอีกฝ่ายหนึ่งก็จะต้องหายไปไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
เขาแตกต่างจากคนที่มีลักษณะนิสัยแปลกๆ โดยทั่วไป คนอื่นมักจะล่าผู้ที่อ่อนแอกว่า มักจะโจมตีผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่า ส่วนเขาชื่นชอบที่จะโจมตีผู้แข็งแกร่ง
ผู้ที่มีครอบครัวอบอุ่น มีความปรองดอง นักธุรกิจมั่งคั่ง ผู้ที่หยั่งรากลึก ผู้ที่สูงส่งดุจกษัตริย์ ผู้ที่มีคนรับใช้มากมาย พวกหัวหน้าขององค์กรต่างๆ เหล่านี้มักจะเป็นเป้าหมายที่เขาจะโจมตี ดังนั้นเกมที่ออกแบบโดยอานเจียเย้นครั้งนี้ น่าจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว ส่วนลี่เฉินซีก็คือเป้าหมายของเขา
สายตาของอานเจียเย้นดูมืดมนลงเล็กน้อย รอยยิ้มอันน่าหลงใหลปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาและพูดออกมาอย่างเฉยเมยว่า “ก่อนหน้านี้การที่พาตัวคุณกลับมาไม่ใช่ความตั้งใจของผม แต่เป็นความตั้งใจของคุณเพ้ย ผมเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น”
ซูย้าวชะงักลง ที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเธอเดาไม่ออกแต่เธอไม่แน่ใจเท่านั้น “เนื่องจากคุณคือลูกสาวของอานโล๋ ดังนั้นคุณเพ้ยจึงต้องการที่จะพาคุณกลับมา แต่ที่จริงคุณก็น่าจะรู้ว่าเขาต้องการทำอะไร” อานเจียเย้นไม่ได้อธิบายมันออกมา แต่ด้วยความฉลาดของซูย้าว ส่วนที่เหลือเธอจึงสามารถเดาได้
คำพูดเหล่านี้อานเจียเย้นไม่ได้หลอกเธอ มันเป็นเรื่องจริง
เมื่อสองปีก่อน เมื่อคดีนั้นได้โผล่พ้นน้ำขึ้นมา ซูย้าวคนนี้ก็ได้ปรากฏกายขึ้นอย่างสมบูรณ์ หลังจากที่เพ้ยหยู่เจี๋ยตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ก็ได้ให้อานเจียเย้นหาวิธีพาเธอกลับมา
เหตุผลก็คือเธอเป็นลูกสาวของอานโล๋ ถือว่ามีความพัวพันในไซต์เครือญาติของเพ้ยหยู่เจี๋ยด้วย และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เขาสนใจในพรสวรรค์และความสามารถด้านธุรกิจของเธอที่มีมาแต่กำเนิด
ด้านการค้านั้น เธอมีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย
เพ้ยหยู่เจี๋ยชอบรวบรวมผู้ที่มีความสามารถมาไว้ด้วยกัน และนำมาใช้เป็นประโยชน์ แต่ว่าซูย้าวไม่ว่าจะเป็นก่อนความจำเสื่อมหรือหลังความจำเสื่อม เธอก็มักจะพยายามสร้างเกราะป้องกันตนเองจากเพ้ยหยู่เจี๋ยคนนี้เป็นอย่างดี เธอไม่อาจทำตามคำสั่งของเขาได้อย่างเด็ดขาด ถ้าเป็นเช่นนี้สิ่งที่รอคอยเธออยู่ก็คงจะมีจุดจบเดียวนั่นก็คือความตาย
ก่อนหน้าที่เพ้ยหยู่เจี๋ยจะจากโลกนี้ไป เขาเคยพยายามส่งคุณจะไปจัดการกับเธอเสีย แต่ทุกครั้งก็จะถูกอานเจียเย้นเข้าไปช่วยเอาไว้ ทำให้เธอหลีกเลี่ยงจากอันตรายอย่างสุดขีดได้สำเร็จโดยบังเอิญ
ซูย้าวพิงหลังไป เธอใช้หมอนวางไว้ตรงด้านหลังแล้วเองตัวลง ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรงว่า “การที่คุณอยู่ในมือของเพ้ยหยู่เจี๋ย แต่คุณกลับมาช่วยชีวิตฉันเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง คุณปกป้องฉัน เรื่องนี้ฉันต้องรู้สึกขอบคุณคุณมาก แต่ว่าทำไมคุณถึงต้องทำอย่างนี้ล่ะ?”
“พี่คะ” ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะเรียกเขาว่าพี่ “ช่วยปล่อยไปได้ไหม ปล่อยลี่เฉินซีและลูกไปได้ไหมคะ?”
อานเจียเย้นมองดูเธอด้วยสายตาอันลึกล้ำและรอยยิ้มอันเข้มข้น “ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้เมื่อสองปีก่อน……”
เขาไม่ได้พูดต่อ แต่ถ้าสามารถมีเครื่องไทม์แมชชีนที่ย้อนเวลากลับไปได้ และสามารถกลับไปเมื่อสองปีก่อน จะแก้ไขอะไรได้บ้าง?
ครั้งแรกที่เข้าพบกับซูย้าว เขารู้สึกว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ไม่ได้รู้สึกสนใจเธอแม้แต่น้อย แต่หลังจากที่ได้รู้จักกัน วินาทีที่เธอ ยอมเอาตัวเองเข้าแลกเพื่อปกป้องความปลอดภัยของเด็กๆ จึงทำให้เขาตกใจไม่น้อย และทำให้นึกถึงแม่บุญธรรมที่ล่วงลับไปแล้วของตน
เขาเห็นความรักของแม่จากเธอ ทำให้เกิดความสงสารขึ้น
ดังนั้นระหว่างที่พาเธอกลับมา และระหว่างที่แพทย์กำลังรักษา เพ้ยหยู่เจี๋ยพบว่าไม่อาจจะนำเธอมาใช้ได้และจำเป็นต้องจัดการ เขาจึงได้พยายามเข้าไปรั้งและปกป้องเธอเอาไว้ ไม่ลังเลที่จะต่อต้านพ่อบุญธรรมของเขา
ในตอนนั้นเขารู้สึกว่า ถ้าอานเจียเย้นตัวจริงมีชีวิตอยู่บนโลก เนื่องด้วยมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดเขาคงทำแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม?
ในตอนนั้น ความตั้งใจเดิมของเขาก็คือต้องการที่จะทำตามความตั้งใจของแม่บุญธรรมและอานเจียเย้นตัวจริง จึงได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้และไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใด
แน่นอนว่าด้วยความสัมพันธ์นี้ตัวเขาเองก็อยากจะเก็บเธอเอาไว้ใช้ เนื่องจากว่าในอนาคตหากต้องการจะจัดการกับลี่เฉินซี ตัวเธอจะเป็นไพ่ใบสำคัญ
แต่ว่าหลังจากได้ใกล้ชิดกันเป็นเวลานาน แต่ละวันแต่ละคืนเรื่องราวมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ไม่อย่างงั้นคำว่ารักคงจะไม่เกิดขึ้นหรอกมิใช่หรือ?
“ถ้าหากว่าพี่ชายของคุณ อานเจียเย้นตัวจริงยังอยู่ บางทีเขาอาจจะปล่อยคุณไป” ดวงตาของอานเจียเย้นค่อยๆ มืดมนลง รอยยิ้มที่ริมฝีปากของเขาลึกขึ้นกว่าเดิม “น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่”