เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 787 อย่าโลภมาก
“รับ รับผิดชอบ?”
เสียงประหลาดใจของซูย้าวดังขึ้นอย่างติดๆ ขัดๆ อาจไม่ได้ตกตะลึงจนเกินไป ดูเหมือนทำตัวไม่ถูกมากกว่า “แต่ละวันคุณคิดอะไรอยู่กันแน่? ฉันต้องรับผิดชอบอะไร? เห็นได้ชัดว่ามันเป็นความปรารถนาของคุณ!”
“ครั้งแรกที่ฉันแต่งงานก็เพราะความประสงค์ของคุณย่าลี่ แต่คุณก็ยอมรับว่าคุณเพิ่มเงื่อนไขการแต่งงานลงไปในพินัยกรรมเอง ซึ่งหมายความว่าคุณต้องการให้ฉันแต่งงานกับคุณ”
ซูย้าวอธิบายอย่างจริงจังและโบกมือ “ความคิดริเริ่มที่จะแต่งงานในครั้งที่สอง แน่นอนว่าฉันบอกว่าไม่อยากแต่งงาน แต่คุณก็ยังทำตามอำเภอใจ โทษฉันเหรอ?”
ในตอนท้ายเธออดไม่ได้ที่จะเผยอริมฝีปากขึ้นอย่างเย็นชา มันเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย “ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่บอกให้คุณรับผิดชอบฉัน คุณจัดฉากทั้งสองครั้ง ฉันเองก็กลายเป็นว่าแต่งงานครั้งที่สามด้วย!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ดวงตาสีดำสนิทของลี่เฉินซีก็ดูลึกล้ำ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เอื้อมมือออกไปสัมผัสแก้มของเธออย่างช้าๆ นิ้วของเขาลูบไล้ผิวที่อ่อนนุ่มของเธอเบาๆ “ผมรับผิดชอบได้ คุณก็แค่แต่งงานกับผมอีกครั้ง”
คิ้วที่น่าเกรงขามของซูย้าวขมวดแน่น จิตใต้สำนึกของเธอทำให้ร่างของเธอหลีกเลี่ยงพันธนาการของมือเขา “ไม่! อย่าแม้แต่จะคิด!”
ตอนนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ เธอจะมีเรี่ยวแรงที่ไหนมาพูดเรื่องการแต่งงานกัน?
แม้ว่าด้านของอานเจียเย้นจะไม่มีค่อยมีข่าวอะไรออกมานัก แต่ใครจะรู้ได้ว่าคนคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ เขาอาจจะทำบางสิ่งขึ้นมาโดยไม่คาดคิดก็ได้นี่?
ความรู้สึกที่เหมือนถูกกระทำนี้ทำให้เธอรู้สึกวิตกกังวลตลอดเวลา มันเหมือนหนามบนหลังของเธอ มันกระสับกระส่าย ไม่มีอารมณ์จะกินข้าว เธอจึงต้องหาวิธีจัดการกับมันโดยเร็วที่สุด……
รถมาถึงโรงพยาบาลอย่างช้าๆ หวางอี้เลือกจอดรถในลานจอดด้านนอก ซูย้าวลงจากรถพร้อมกับลี่เฉินซีและเดินเข้าไปโรงพยาบาล
ในห้องผู้ป่วย VVIP ชั้นบน ลี่เจิ้งสวมผู้ป่วยลายตารางสีขาวอ่อน เขาเอนตัวลงนอนบนเตียงในโรงพยาบาลสีขาวบริสุทธิ์ กำลังจ้องไปยังคอมพิวเตอร์ ดูเหมือนกำลังเล่นเกมและสวมชุดหูฟังBluetooth พลางใช้มือที่เรียวยาวและยืดหยุ่นกดลงบนแป้นพิมพ์อย่างอิสระ
การที่ลี่เฉินซีและซูย้าวเดินทางมาทำให้เจ้าหนูตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากตื่นตระหนกอยู่ไม่กี่วินาที เขาก็ค่อยๆ ถอดหูฟัง Bluetooth ออกและย้ายคอมพิวเตอร์ออกไปจากมือ มองไปทางซูย้าวและพึมพำคำหนึ่งว่า “แม่……”
“เจิ้งเอ๋อ ลูกแม่!” ซูย้าวเองก็ดูเหมือนพยายามดิ้นให้หลุดจากความมึนงงของเธออย่างรวดเร็ว ความทรงจำตื่นขึ้นอย่างกะทันหัน เธอเชื่อมโยงมันกับใบหน้าที่ขาวซีดอ่อนโยนของเด็กคนนี้ จากนั้นเธอก็วิ่งเข้าไปหาเขา
ซูย้าวนั่งลงข้างเตียงเอื้อมมือไปจับมือเล็กๆ ของลี่เจิ้ง มองดูมือน้อยของเขาอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นมองไปที่ใบหน้า “ลูกแม่ โตขึ้นมากเลย!”
เธอจำได้ขึ้นใจว่าตั้งแต่ลี่เจิ้งยังเป็นทารกอายุไม่กี่เดือน เขานั้นน่ารักมากมือและเท้าเล็กสีขาวนวลเหมือนรากบัว นอนอยู่ในอ้อมแขนของเธอ มักพูดพล่ามเพียงว่า ‘หม่าม้า’ ถ้าวางเขาลงก็จะใช้ขาคลานไปยังที่อื่น
ลี่เจิ้งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงชั่วพริบตา บัดนี้เขาอายุสิบขวบแล้ว
ซูย้าวตื่นเต้นมาก เธอจับมือเล็กๆ ของลูกชายเอาไว้แล้วกดที่สัมผัสไปที่แก้ม น้ำตาเอ่อล้นมาที่ใต้ตา “แม่จำได้ว่าตอนที่ลูกยังเด็กนั้นพูดยังไม่ค่อยชัด ผ่านไปไม่นาน เจิ้งเอ๋อของแม่โตขนาดนี้แล้ว ให้แม่ดูหน่อยสิว่าแผลไฟไหม้ดีขึ้นแล้วหรือยัง? ทิ้งรอยแผลเป็นไว้หรือเปล่า……”
ขณะที่เธอพูด เธอก็จับศีรษะเล็กๆ ของลูกชายเอนไปมาเพื่อสำรวจดู เพราะเจิ้งเอ๋อได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ เธอกังวลว่าจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนศีรษะเล็กๆ ที่สวยงามของลูกชายของเธอ
คำพูดของซูย้าวและการกระทำเหล่านี้ทำให้ลี่เจิ้งสับสนตกตะลึง
เด็กน้อยค่อยๆ ปล่อยมือของซูย้าวออก ความประหลาดใจที่ไม่อาจบรรยายได้ผุดขึ้นมาในดวงตาของเขา เนิ่นนานกว่าจะพูดขึ้นได้ว่า “แม่ แม่เป็นอะไร?”
เขาไม่ใช่ว่าจู่ๆจะโตขึ้นในทันทีชั่วข้ามคืนเสียเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าสองแม่ลูกไม่ได้พบกันอีกเลยหลังจากหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาเพิ่งได้พบกันเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเอง ทำไมถึง……
ซูย้าวไม่ได้อธิบายอะไร เธอแค่เอื้อมแขนออกไปกอดเขาแน่นในอ้อมแขนของเธอ “แม่ไม่เป็นไร แม่แค่คิดถึงเจิ้งเอ๋อ……”
“เอ่อ……” ลี่เจิ้งกะพริบตาอย่างงุนงง ดวงตาที่งุนงงของเขาจ้องไปที่ลี่เฉินซีแทนคำถาม
ลี่เฉินซีที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองสองแม่ลูกอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานานก่อนจะพูดว่า “เจิ้งเอ๋อก็คิดถึงแม่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้แม่กลับมาแล้ว มาดีใจเหรอครับ?”
ลี่เจิ้งตกใจและพูดออกไปตรงๆ โดยไม่ได้คิด “แน่นอนว่าผมมีความสุข ก็แค่……”
เขารู้สึกว่าซูย้าวดูตื่นเต้นมากเกินไป แต่หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้วก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ตามคงจะดีถ้าให้แม่อุ้มเขาไว้แบบนี้
ดังนั้นเจ้าหนูจึงไม่พูดอะไร เขากอดซูย้าวแน่น ซุกศีรษะของตนไว้ในอ้อมแขนของเธอ “แม่ครับ ผมก็คิดถึงแม่เหมือนกัน แม่อย่าจากไปไหนอีกเลยได้ไหมครับ?”
ร่างของซูย้าวแข็งทื่อ เธอพยายามลดความซับซ้อนในดวงตาลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเธอก็พยักหน้าเห็นด้วยกับลูกชาย “ครับ แม่จะไม่จากไปไหนอีกแล้ว แม่ไม่อยากไปไหนอีกแล้ว!”
ลี่เจิ้งหัวเราะขึ้นทันที เผยให้เห็นฟันขาวสองแถวยิ้มอย่างสดใส “ถ้าอย่างนั้นแม่เห็นแก่เราและให้อภัยพ่อด้วย ใช่ไหมครับ?”
ดวงตาของซูย้าวจมดิ่งลง
ที่ด้านข้าง ลี่เฉินซีมองดูลูกชายของเขาด้วยดวงตาที่ลึกล้ำเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ลี่เจิ้งเป็นคนที่เขาเลี้ยงดูมา ทั้งสองสนิทกันมาก และมักจะนึกถึงเขาอยู่เสมอ
ลี่เจิ้งเห็นว่าซูย้าวพูดไม่ออก เขาจึงทำตัวเหมือนเด็กๆ ขี้อ้อน แต่ที่จริงแล้วเขาก็ยังคงเป็นเด็ก เขาจับมือเธอแล้วส่ายไปมาเบาๆ “แม่ครับ ยกโทษให้พ่อเถอะ พ่อน่าสงสารมาก ไม่มีใครรักใครดูแลพ่อเลย พ่อไม่ได้ออกเดตมานานขนาดไหนแล้วก็ไม่รู้ พ่อน่าสงสารมากจริงๆ คงจะเหงามาก แม่อย่าโกรธพ่อเลยนะครับ……”
หัวใจของซูย้าวหนักอึ้งเพราะทำตัวไม่ถูก เธอมองไปยังลูกชายของเธอด้วยรอยยิ้มและพูดเพียงว่า “เจิ้งเอ๋อ ลูกยังเด็กอยู่ ในตอนนี้ ลูกคงจะไม่เข้าใจเรื่องระหว่างพ่อกับแม่ แต่ไม่ว่ายังไงพ่อกับแม่ก็รักลูก”
ลี่เจิ้งกะพริบตา “แม่จะอยู่กับเราไหม?”
“แน่นอน!” ซูย้าวยกมือขึ้นและบีบแก้มสีขาวของลูกชาย “แต่ต้องรอให้แม่จัดการธุระให้เสร็จเสียก่อน หลังจากนั้นเราและหมิงเอ๋อจะอยู่ด้วยกัน”
ในชีวิตที่แตกสลายของเธอ มีญาติไม่กี่คนและเหลือเพียงลูกสามคนนี้เท่านั้น หากวันหนึ่ง เธอสามารถมีชีวิตที่เรียบง่ายอยู่กับลูกๆ ใช้ชีวิตธรรมดาๆ นั่นคงจะเป็นความหรูหราและความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ
หวังว่าความฝันจะเป็นจริงขึ้นมาได้
ลี่เจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจับมือซูย้าวตอบกลับ “แล้วทำไมไม่พาพ่อไปด้วยล่ะ? แม่ครับ อย่าโกรธพ่อของผมเลย เขารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว!”
เมื่อซูย้าวได้ยินลูกชายของเธอพูดถึงลี่เฉินซีแบบนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “บอกแล้วไงครับว่าเรื่องส่วนตัวของพ่อและแม่ เจิ้งเอ๋อ เกิดเป็นคนไม่ควรโลภมาก บางครั้งระหว่างพ่อกับแม่ก็ต้องเลือกได้แค่คนเดียว”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ลี่เฉินซีที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยิ่งพูดไม่ออก เขาวางมือบนไหล่ของเธออย่างอดไม่ได้ “ที่ว่าการเลือกเพียงคนเดียวหมายความว่าอย่างไร?”
นี่มันเหตุผลบ้าบออะไรกัน!
ซูย้าวไม่อยากอธิบายอะไร ได้แต่ดันมือใหญ่ของชายหนุ่มที่วางไว้บนไหล่ออกไปอย่างหมดความอดทน สายตายังคงเพ่งเล็งไปที่เด็กน้อยซึ่งเป็นเลือดเนื้อของเขา เธอยิ่งดูก็ยิ่งชอบ อยากให้เวลาหยุดลงเพียงแค่นี้จริงๆ อยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ตลอดไป
ลี่หมิงก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากห้องผู้ป่วย เขาจึงรีบวิ่งไป ทันทีที่เขาผลักประตูเข้าไปเห็นซูย้าว เด็กน้อยตกใจครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของเขาก็แดงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาเอามือขยี้จมูกแล้ววิ่งเข้าไปพูดว่า “แม่ครับ……”
“แม่! ในที่สุดแม่ก็กลับมาแล้ว!” ลี่หมิงรีบวิ่งเข้าไปจับที่คอของซูย้าวแน่น “แม่ครับ ผมคิดถึงแม่จะตายอยู่แล้ว ถ้าแม่ยังไม่มาอีก พวกเราคิดว่าแม่คงไม่ต้องการพวกเราแล้วแน่ๆ……๐
ซูย้าวแปลกใจเล็กน้อย เธอมองดูลูกชายตัวน้อยที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขน ช่างดูน่าสงสารเหลือเกิน ราวกับว่ามีความคับข้องใจมากมาย เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกลำบากใจและสงสารเด็กๆ แต่ก็ได้แต่ใช้สายตาอันเยือกเย็นมองไปทางลี่เฉินซี
นึกไม่ออกเลยว่าที่ผ่านมาเขาดูแลลูกๆ อย่างไรในช่วงที่เธอไม่อยู่ จึงทำให้ลูกๆ ดูน่าสงสารขนาดนี้…..