เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 813 ใครจะไปรับไหว?
ตัวของซูย้าวเองนั้นรู้สึกมึนงง เห็นได้ชัดว่าเธอพูดเอ่ยเตือนซ้ำไปซ้ำมา และยังพูดท้วงขึ้นมาเอง พูดเตือนออกมาล่วงหน้า เขาเองก็ไม่คิดจะบังคับเธอ แต่ทำไมสุดท้ายเธอกลับยังใช้ใบหน้าอันงดงามมาถามเขาแบบนี้ละ?!
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าคับแค้นใจ การกระทำที่ต่อต้านเลยยิ่งเพิ่มขึ้นมา “ไม่ทำไม่ทำ ก็คือไม่ทำยังไงละ! ปล่อยนะ!”
ขณะที่ซูย้าวพูดอยู่ก็ออกแรงถีบเขาจากเท้าเล็ก นี่คือสิ่งที่เธอคาดการณ์เอาไว้ แต่ความจริงนั้น เธอไม่เพียงแต่ถีบไม่โดนเขา แต่กลับถูกผู้ชายจับเท้าเล็กไว้ได้อีกด้วย มือใหญ่เหนี่ยวรั้งข้อเท้าที่เล็กบอบบางของเธอเอาไว้ มือใหญ่เรียวยาวงดงามเหมือนหยกฉวยโอกาสนั้นเคลื่อนขึ้นมา……
เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาลังเลจากบนลงล่าง “เด็กดี ครั้งเดียวนะ ช่วยทำให้นอนหลับได้นะ ไม่ใช่เหรอ?”
ซูย้าวขมวดคิ้วพูดไม่ออก สบสายตากันและกันจากการมองเห็นที่พร่ามัว เธอมองทะลุเห็นความปรารถนาจากฝนดวงตา
เธอสูดหายใจเข้าลึก อยากจะพูดอะไรอีก แต่ว่าเห็นได้ชัดเหลือเกินจากการกระทำของเขาว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้
ทางด้านนี้ ทักษะของลี่เฉินซีนั้นยอดเยี่ยมอย่างมากมาแต่ไหนแต่ไร ถึงเธอจะมีใจต่อต้านขัดขืนยังไงก็คงหนีไม่พ้นการควบคุมของเขา ค่อยๆยอมจำนนไปเอง
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน การเดินทางอย่างเต็มที่และแสนยาวนานก็ได้สิ้นสุดลง ทั้งสองคนนอนอย่างอ่อนล้า ลี่เฉินซียกมือขึ้นมาลูบแก้มของเธอ ดวงตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ เห็นว่าเธอหลบเลี่ยงสายตา จึงเชยคางเธอขึ้นสูง บังคับให้เธอต้องจ้องมองมาที่ตัวเอง “เขินเหรอ?”
เธออายจนแก้มแดงก่ำ หลบสายตาเขาเล็กน้อย “ฉันไม่ได้หน้าหนาอย่างคุณนี่!”
เขาหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ ยื่นมือออกไปดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด ใช้นิ้วมือสวยสะอาดลูบไล้ไปทั่วผิวที่สวยงามของเธอ “เห็นไหม เรื่องแบบนี้ความจริงก็สวยงามและยอดเยี่ยมมากเลยนะ ไม่ใช่เหรอ?”
หลังจากนั้น เขาก็เอียงใบหน้าเล็กน้อย เบนสายตาลงมาจ้องมองเธอ “เมื่อกี้เจ็บหรือเปล่า?”
เธอกัดปากอย่างจนใจ ในใจไม่อยากจะสนใจเขา แต่ว่าไม่ว่าอย่างไรผู้ชายก็ไม่ยอมแพ้ เธอเองก็ทำได้แค่หลบเขาโดยการพลิกตัวหนี พูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “นิดหน่อยนะ แต่ว่าดีขึ้นมากแล้ว……”
ลี่เฉินซีโอบกอดเธอเอาไว้จากทางด้านหลังของเธอ มุดศีรษะไปบนหลังของเธอ “ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าผมจะอ่อนโยนหน่อย และพยายามฝึกลูกชายให้เร็ว……”
“เงียบไปเลย ฉันจะนอนแล้ว! ฝันดี!” ขณะที่เธอพูดอยู่นั้นก็ยัดศีรษะเล็กเข้าไปใต้หมอน และยังกระชากผ้าห่มมา ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรขึ้นมาได้ ถึงพูดขึ้นมาอีก “ตอนกลางคืนห้ามทำกับฉันอีกนะ ถ้ากล้าก่อกวนฉันนอนคุณก็ลองดู!”
ท่าทางดุร้ายแต่น่ารักแบบนั้น ทำให้ลี่เฉินซีค่อนข้างชอบใจเป็นอย่างมาก เขาลูบผมยาวของเธออย่างเบามือด้วยรักและทะนุถนอม จูบลงไปที่หัวของเธอ “โอเคโอเคโอเค รอเช้าพรุ่งนี้ละกัน เด็กดี……”
วิ่งเต้นมาทั้งวัน เกิดเรื่องขึ้นมากมายเกินไป การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ของซูหยวน ตัวตนถูกเปิดเผย คงกระทบจนตระกูลอู๋โกลาหลเป็นแน่ ค่ำคืนนี้คงจะมีคนอยู่ไม่นอนที่ข่มตาหลับไม่ลง
แต่ซูย้าวกลับไม่เหมือนกับพวกเขา ค่ำคืนนี้เธอนอนหลับอย่างสบาย ในฝันเหมือนว่าจะได้พบกับบิดา ยังคงเป็นใบหน้าที่อยู่ในความทรงจำ มองมาหาตัวเองด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย เธอกระโจนเข้าไปในอ้อมกอดของบิดา เล่าเรื่องความในใจมากมาย
ขณะกำลังฝันดีอยู่นั้นกลับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจนตกใจตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ตอนที่เธอลืมตาขึ้นด้านนอกท้องฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว เอียงศีรษะไปมองนาฬิกาปลุกที่อยู่บนตู้หัวเตียง เป็นเวลาเช้าเจ็ดโมงกว่าแล้ว และพอเธอหันกลับมา ก็เห็นผู้ชายที่กระเหี้ยนกระหือรือ กระ กระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข เธอผลักแขนยาวของเขาออกไปอย่างเบามือ “ลี่เฉินซี นี่คุณจะหยุดได้หรือยัง?”
“เมื่อคืนยังทำไม่พอหรือไง? คุณ……” เธออยากจะขวางอย่างมาก แต่จำใจกับความพร้อมของเขา ผลสรุปสุดท้ายก็ถูกเขาทำอย่างที่ต้องการอีกหนึ่งครั้ง
หลังจากผ่านไป ตอนที่ซูย้าวลงจากเตียงขาก็อ่อนไปหมด ยังคงเป็นลี่เฉินซีที่อุ้มเธอไปอาบน้ำ
ทั้งสองคนลงมาชั้นล่างทานอาหาร แม่บ้านออกไปซื้อวัตถุดิบทำอาหาร ในบ้านจึงเหลือแค่พวกเขาสองคน ลี่เฉินซีจิบนมเข้าไปหนึ่งคำ วินาทีต่อมายื่นมือมาประคองแก้มของเธอ ซูย้าวเดาออกว่าเขาต้องการทำอะไร ใช้ความเร็วหมุนตัวเบือนหน้าหนี หลีกเลี่ยงคำเรียกร้องของเขา
ผู้ชายคว้าน้ำเหลว แต่ในดวงตากลับปนไปด้วยรอยยิ้ม และถือโอกาสกุมมือเล็กของเธอ “ไม่รู้อย่างนั้นเหรอ? ยิ่งทำเป็นปฏิเสธปากไม่ตรงกับใจ ยิ่งทำให้คนอดใจไม่ไหวมากที่สุด”
ซูย้าวจ้องมองเขาอย่างอดทนไม่ไหว ส่ายหน้าไร้คำพูด ถอนหายใจ “ลี่เฉินซี นี่คุณอายุเท่าไหร่แล้ว?”
“สามสิบกว่าปีแล้ว อีกไม่นานก็จะก้าวเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว นี่อย่างยึดติดกับเรื่องแบบนี้ได้หรือเปล่า?”
เธอนั้นหมดคำจะกล่าวแล้ว ไม่ใช่บอกว่าผู้ชายพอถึงวัยก็จะไม่มีความสนใจเรื่องพวกนี้แล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมลี่เฉินซีคนนี้ดูเหมือนเด็กน้อยอายุยี่สิบตลอดกาล เหมือนจะอยู่ในระดับบ้าคลั่งแบบนี้!
เขา ปล่อยมือของเธอ คีบเสี่ยวหลงเปามาป้อนเธอ “สามีภรรยามีความสุขรักกันดี ไม่ใช่เรื่องธรรมดามากอย่างนั้นเหรอ?”
ธรรมดา?!
ซูย้าวเกือบจะสำลักนมจากคำพูดประโยคนี้ของเขา ต้องหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ด จากนั้นถึงจะหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างจนใจ”ตรงไหนที่มันธรรมดากันไม่ทราบ? คุณทำครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนวันๆเอาแต่คิดจะทำตลอดเวลา คุณ……”
ถ้าหากว่าเป็นบางครั้งบางคราว เธอเองก็รับได้อยู่แล้ว แต่นี่เหมือนว่าจะต้องการทุกวี่ทุกวัน เหมือนกับกินข้าว ในความคิดของเขาแทบอยากจะวันละสามครั้ง ไม่ตกหล่นสักครั้ง แล้วเธอจะไปทนไหวได้อย่างไร?
ซูย้าวยกมือกุมหน้าผาก เธอจำเขาตอนแรกได้ว่าไม่ได้เป็นแบบนี้นะ!
แต่ว่า ตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายังไม่ค่อยดี เธอเป็นคนใบ้คนหนึ่ง เขาคงจะรังเกียจเสียด้วยซ้ำ จะมาติดพันเธอได้ยังไง?
เขาถูกท่าทางโกรธเคืองของคนรักตัวน้อยกลั่นแกล้งจนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ทำได้เพียงยกมือขึ้นมาจับแก้มของเธอ ปลอบไม่หยุด “ทำมากหน่อยกับผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ก็เป็นตามธรรมชาติของคนนะ เอาละ ต่อไปผมจะเบามือหน่อย จะไม่ทำคุณเจ็บ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ทานมากหน่อย คุณดูผอมไป……”
ซูย้าวถอนหายใจ ไร้คำพูดอย่างต่อเนื่อง
เธอไตร่ตรองอย่างรอบคอบครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกว่าการตอบตกลงคบกับเขานั้นเป็นเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่เรื่องหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดเรื่องอย่างว่านี้ เธอเสวยสุขกับเขาไม่ไหวแล้ว!
แต่ถึงจะไม่คบกัน เขาก็คงติดพันรบกวนเธออยู่ทุกวัน เหมือนกับเดินไปที่ไหนก็เจอเขาไปหมด……
ช่างเถอะ เธอก็เหมือนซุนหงอคงที่ไปป่วนสวรรค์ ทำยังไงก็หนีไม่พ้นหุบเขาห้านิ้วอย่างคุณลี่ท่านนี้ไปได้ อดทนไปก่อนละกัน เวลาผ่านไปอีกสักหน่อยค่อยพูดอีกครั้ง
ทั้งสองคนทางอาหารเช้าเรียบร้อยจึงไปโรงพยาบาลด้วยกัน
การรักษาที่ผ่านไปสองวันนี้ ท่าทางของลี่หมิงดีขึ้นมาก ฟื้นขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่สามารถออกจากห้องผู้ป่วยดูแลกักโรคได้ และยังต้องได้รับการรักษา บนแขนเล็กที่ห้อยสายให้น้ำเกลือ มองเห็นซูย้าวและลี่เฉินซีทะลุผ่านหน้าต่างกระจก จึงโบกมือยิ้มร่าเริง ปากยังจะโกน “คุณพ่อ คุณแม่……”
ซูย้าวห่วงหาอาทรจนทำอะไรไม่ถูก ลี่เฉินซีจับมือของเธอเอาไว้ “เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพวกเราเข้าไปกัน”
ทั้งสองคนเพิ่งคิดที่จะไปเปลี่ยนชุดฆ่าเชื้อ ก็ถูกหลินโม่ป่ายที่มาได้จังหวะพอดีรีบมาขวางไว้ “ไม่ได้นะครับ ยังไม่ถึงสองวันดี คนในครอบครัวไม่สามารถเข้าไปในห้องผู้ป่วยได้จริงๆ”
การแพร่เชื้อของเชื้อโรคชนิดนี้รวดเร็วมาก อาการป่วยครั้งนี้ของลี่หมิงถือว่าค่อนข้างรุนแรง เพียงเพราะได้รับการรักษาทันเวลา ไม่อย่างนั้นคงอันตรายถึงชีวิต เขาซึ่งอยู่ในฐานะหมอและก็ยังเป็นผู้อำนวยการ จะต้องรับผิดชอบทั้งผู้ป่วยและคนในครอบครัว
“รออีกหน่อยนะครับ รอให้ผ่านไปสักห้าหกวันแล้ว ครอบครัวถึงจะสามารถเข้าไปในห้องผู้ป่วยได้ รอให้สถานการณ์ของหมิงเอ๋อคงที่ก่อนนะครับ ถึงจะสามารถออกจากห้องกักโรคได้ ถึงเวลานั้นพวกคุณก็มาเยี่ยมบุตรได้ตลอดเวลา” เขาพูดอีก
ซูย้าวรู้ดีถึงความรุนแรงของเชื้อโรคชนิดนี้ ถึงแม้ว่ายังมีความอาลัยอาวรณ์บุตรอยู่บ้าง แต่ก็สามารถทำได้เพียงทำตาม “ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
หลินโม่ป่ายจ้องมองเธอ “ไม่เป็นไรครับ คนในครอบครัวอย่างพวกคุณไม่สามารถเข้าไปได้ แต่พวกเราที่เป็นหมอสามารถเข้าไปได้ เด็กก็ฟื้นขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว พักรักษาตัวก็จะค่อยๆกลับมาเป็นปกติ มีสิ่งของอะไรที่อยากจะส่งให้เด็ก ผมสามารถช่วยส่งให้ได้ครับ”
ซูย้าวพยักหน้า ยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกลี่เฉินซีออกแรงแขนช้อนตัวเข้ามาในอ้อมแขน เธอตกใจไม่ทันตั้งตัวจนเกือบจะร้องออกไป ขณะที่หันไปมองเขาด้วยความตกใจอีกครั้ง ใบหน้าของผู้ชายก็เย็นชาบูดบึ้ง มองหลินโม่ป่ายอย่างเฉยเมย “ขอบคุณผู้อำนวยการหลินอย่างมากครับที่ดูแลเอาใจใส่เด็ก”
เพียงแค่ประโยคเดียว ความสัมพันธ์ของคนป่วยและครอบครัวนั้นก็ถูกแบ่งอย่างชัดเจน และสายตาเย็นชาของเขาเมื่อครู่ก็ได้เตือนหลินโม่ป่ายแล้วว่า อย่าล้ำเส้นอีกเป็นอันขาด เธอเป็นของตัวเขาแล้ว!
หลินโม่ป่ายใช้สายตาที่ค่อนข้างสับสนมองกลับมาที่เขา ค่อยๆหายใจลึก “ประธานลี่กล่าวหนักเกินไปแล้ว ระหว่างผมกับย้าวย้าวนั้นไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจกันเหมือนเป็นคนนอกแบบนี้”
เขาใช้ประโยคที่ยอดเยี่ยมแสดงถึงระดับความสัมพันธ์ของตัวเขากับซูย้าวอีกครั้ง
ระหว่างบุรุษสองคน ในเวลานั้นอยู่ในสภาวะตึงเครียด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว