เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 814 ต้องฟังฉันนะ
“พอแล้วน่า”
ซูย้าวเอ่ยปากได้ทันเวลาพอดี ไม่เพียงแค่ทำลายบรรยากาศตึงเครียดระหว่างพวกเขาสองคนออกไปอย่างสมบูรณ์แบบ ยังช่วยขจัดหัวข้อสนทนาที่ไม่สบายใจออกไปได้ด้วย
เธอคุยเรื่องปัญหาในการรักษาบุตรกับหลินโม่ป่าย จากนั้นจึงไปยืนอยู่ด้านนอกของห้องกักโรคเป็นเพื่อนหมิงเอ๋ออยู่สักครู่ เพราะว่าเด็กยังอยู่ในระหว่างการรักษา ร่างกายยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ จึงทำให้ง่วงเคลิ้มอยู่ตลอด ไม่นานก็หลับไป
นี่ถึงทำให้ซูย้าวค่อยเบาใจลงมาได้บ้าง อาการป่วยของหมิงเอ๋อถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี ภาวะดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับในระยะอันสั้น ก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนอีกรูปแบบหนึ่งละกัน ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรได้?
ตอนที่เธอกับลี่เฉินซีออกจากโรงพยาบาลอีกครั้ง เขาเอื้อมมือมาจับมือของเธอ “ไปบริษัทกับผมดีไหม? หรือว่ามีธุระอะไรต้องไปทำหรือเปล่า?”
ในความเป็นจริง เธอยังคงเป็นประธานกรรมการบริษัทของDouble Aceกรุ๊ปอยู่ และทางด้านเมืองAเองก็มีสำนักงานสาขาที่อยู่ภายใต้Double Ace ขอบเขตของกิจการค่อนข้างกว้าง ซูย้าวความจริงแล้วควรจะหาเวลาเอาใจใส่กิจการ แต่พอเธอคิดถึงหมิงเอ๋อที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่นเช่นนี้
เธอทำเพียงขมวดคิ้วเท่านั้น “ฉันอยากกลับบ้านไปพักผ่อนก่อน คุณไปบริษัทเองละกันนะ!”
แต่ว่า คำพูดประโยคพูดจบลง เธอก็หยุดชะงัก
จัดการความคิดเล็กน้อย เธอมองไปทางเขาด้วยสายตาเคร่งเครียด “คุณคงจะไม่ตัดสินใจให้ฉันเข้าไปช่วยคุณที่บริษัทลี่ซื่อหรอกนะ? เอาความคิดนี้ทิ้งไปให้หมด ฉันจะไม่ไปบริษัทลี่ซื่อและจะไม่ก้าวก่ายงานของคุณ เพียงแต่คุณต้องรามือจากโครงการเหมืองแร่คาลาเวอไรต์และเกาะอันเอ๋อร์ อย่างอื่นคุณจัดการดูแลเองก็โอเคแล้ว”
ถึงแม้ว่าทางด้านอานเจียเย้นนั้นคงจะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรมากนักเป็นการชั่วคราว แต่ใครจะไปรู้หลังจากนี้ละ? คนเราทุกคนทำได้เพียงอยู่กับปัจจุบัน ไม่มีใครรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า หรือจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้้ในอีกนาทีถัดไป จึงทำได้แค่ต้องตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนรอบด้าน ป้องกันการเกิดภัยอันตราย
ซูย้าวไม่อยากให้เป็นเพราะเรื่องงานจึงไปกระตุ้นอานเจียเย้นขึ้นมาอีก ดังนั้นนอกจาก Double Aceแล้ว เธอก็ไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับงานของใครก็ตามอีก ยิ่งเป็นของลี่เฉินซียิ่งไม่ได้
ผู้ชายจ้องมองเธอด้วยแววตาเงียบงัน คิ้วที่ดูงดงามขมวดขึ้นมาเล็กน้อย “ปัญหาเรื่องนี้พวกเราค่อยคุยกันทีหลัง คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ!”
ซูย้าวหลบตาลงเล็กน้อย มองมือใหญ่ที่แสนงดงามของผู้ชายที่กุมมือเล็กของตัวเองไว้แน่น ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “คุณฟังฉันเถอะ จากเรื่องของซูหยวนไม่ใช่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้เป็นอย่างดีเหรอ?”
ถ้าหากว่าเขารีบฟังเธอสักนิด อยู่ให้ห่างจากซูหยวน อย่างนั้น หมิงเอ๋อก็คงไม่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล และยังมีพวกเรื่องเล็กน้อยมากมายก็คงจะไม่เกิดขึ้นแน่
“สุดท้ายจะพูดกับคุณอีกรอบ โครงการเหมืองแร่คาลาเวอไรต์และเกาะอันเอ๋อร์ สองโครงการนี้ยังไงห้ามแตะเด็ดขาด และอย่าแม้แต่จะคิด ถึงคุณอยากจะใช้เรื่องนี้ต่อกรกับอานเจียเย้นก็ไม่ได้เด็ดขาด!”
เธอรู้จักอานเจียเย้นเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะรู้จัก แต่บ่อยครั้งที่ซูย้าวคิดว่าตัวเองรู้จักเพียงแค่เส้นขนเส้นหนึ่งเท่านั้นเอง อานเจียเย้นจะทำอะไรอย่างเป็นรูปธรรมนั้น เธอเองก็ไม่อาจคาดเดาล่วงหน้าได้ และยิ่งเป็นสองโครงการนี้ แท้จริงแล้วเป็นกับดักหรือว่าเป็นเรื่องปกติ เธอเองก็ไม่มีวิธีที่จะพิจารณาได้
อย่างเดียวที่สามารถทำได้ คือรู้สึกถึงความอันตราย จากนั้นก็หลบเลี่ยง
ลี่เฉินซีเงียบไม่พูดอะไรมาโดยตลอด ทำเพียงเดินเป็นเพื่อนไปตามถนน มองซูย้าวโบกแท็กซี่ให้หยุด ขณะที่เธอขึ้นรถจึงรั้งเธอเอาไว้ “ปัญหาเรื่องซูหยวน ไม่ใช่ว่าผมไม่ยอมฟังคุณนะ แต่ผมก็มีแผนการของผมอยู่ อยู่ดีๆคุณก็ออกหน้าจัดการทำเอาแผนการของผมเละไปหมดก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องครั้งนี้ คุณอย่าเข้าไปยุ่งเลย หลังจากเรียบร้อยแล้วผมจะอธิบายให้คุณฟัง ตกลงนะ?”
เขาพยายามพูดสิ่งดีๆน่าฟัง ท่าทีที่อ่อนโยนเช่นนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ซูย้าวรู้จุดนี้ดีและก็ไม่อยากโต้เถียงกับเขาจนเกินไปเลยพยักหน้าอย่างขอไปที “เรื่องแผนการของคุณฉันไม่เข้าไปยุ่งก็ได้ แต่ว่าเรื่องที่ฉันพูด คุณเองก็ต้องจำไว้ให้ดี จะต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบก่อนที่จะทำอะไรลงไป ศัตรูในครั้งนี้ของคุณ น่ากลัวกว่าที่คุณคิดจินตนาการเอาไว้มาก”
ลี่เฉินซีค่อยๆยกริมฝีปากขึ้นยิ้มเป็นประกายสดใส มือใหญ่ลูกหัวเธออย่างตามใจ “คุณนี่เป็นพวกผิดเป็นครูสินะ แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ชาย คุณเป็นเด็กดีกลับไปพักผ่อนเถอะ! ตอนเย็นรอผมกลับไปทานข้าวด้วยกันนะ”
เธอพยักหน้าเล็กน้อยตอบรับ จากนั้นก็ขึ้นรถไป
ซูย้าวเองก็ไม่ได้ตรงกลับบ้านใหญ่ และให้รถแล่นพาไปที่สถานีตำรวจ เพราะว่าเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์ของซูหยวน และเรื่องราวต่างๆมากมายที่พัวพันเกิดขึ้นเพิ่มเติมนั้น นอกจากจะเกี่ยวข้องกับตระกูลอู๋เป็นอย่างมากแล้ว ยังเกี่ยวพันกับลี่หมิงด้วย เธอในฐานะแม่ของลูกเองก็จะต้องให้ความร่วมมือกับทางตำรวจในการช่วยให้การลงบันทึกรายละเอียดของคดี
หลังจากลงบันทึกเรียบร้อย เธอจึงหาโอกาสที่เหมาะสม เอ่ยปากถาม “ขอโทษนะคะ พอจะทราบที่มาของเชื้อโรคเยอนิเซียหรือยังค่ะ?”
เพราะว่าตัวลี่หมิงเองก็ไม่ได้สัมผัสสัมผัสสัตว์ป่ามาก่อน และยิ่งไม่เคยเหยียบเข้าไปในทุ่งหญ้าป่าลึก เส้นทางการติดเชื้อนี้ยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปอีก
ตำรวจอาชญากรรมที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ ใบหน้าแสดงออกถึงความจริงจัง “เรื่องแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการนั้น เพราะว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องได้เสียชีวิตไปแล้ว พบตัวอย่างเชื้อแบคทีเรียบางส่วนอยู่ที่ที่พักของเธอ นอกเหนือจากนั้นก็ยังหาอย่างอื่นไม่พบ ส่วนเรื่องได้รับมาจากที่ไหนยังอยู่ในกระบวนการสืบสวนของพวกเรา”
หยุดไปสักครู่จึงพูดต่อ “ถ้ารู้ข่าวคราวจะรีบติดต่อแจ้งกับทางสมาชิกในครอบครัวทันทีอย่างแน่นอนครับ”
เด็กเล็กขนาดนั้น อยู่ดีๆติดเชื้อโรคเยอนิเซียแบบนี้ ผู้รับผิดชอบในคดีเองก็เข้าอกเข้าใจเช่นเดียวกัน หวังว่าจะสามารถสืบหาเรื่องราวทั้งหมดให้กระจ่างเพื่อให้สมาชิกในครอบครัวรู้สึกสบายใจ
ซูย้าวพยักหน้าขอบคุณ จากนั้นก็ออกจากสถานีตำรวจ
ด้านนอก เธอยังไม่เรียกรถ และมีอารมณ์อยากจะเดินเล่นไปตามถนน ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ ความคิดในสมองฟุ้งซ่านไปหมด เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดขึ้นไปเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าซูหยวนจะมีความแค้นฝังลึกกับเธอ จุดนี้เธอเข้าใจเป็นอย่างดี เธอเองก็คงเชื่อว่าตัวของซูหยวนเองจะทำเรื่องพวกนี้ออกมาได้ แต่ว่าแหล่งที่มาของเชื้อแบคทีเรียละ จะอธิบายได้อย่างไร?
ถ้าหากว่าซูหยวนซื้อมาจากช่องทางอื่นมา ถ้าอย่างงั้น พอทางตำรวจตรวจสอบชัดเจนเรียบร้อยแล้ว จะต้องเจอเบาะแสแน่นอน และคงใช้สิ่งนี้ในการกวาดล้างทุกการเชื่อมโยงให้สิ้นซาก
ความจริงเห็นกันอยู่ชัดเจนว่าไม่ใช่เช่นนั้น ถ้าอย่างนั้น ซูหยวนไปได้ตัวอย่างเชื้อโรคเยอนิเซียนี้มาจากไหน?
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว และเป็นสิ่งที่ซูย้าวเต็มใจเชื่อมากที่สุดและเป็นข้อสันนิษฐานเดียวที่ดูสมเหตุสมผล นั่นก็คืออานเจียเย้น
แต่ว่าตอนที่เธอโทรศัพท์ไปหาอานเจียเย้น เห็นชัดว่าเขาดูเหมือนจะไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย พอดูวิธีจัดการกำจัดซูหยวนหลังจากนั้น รู้สึกว่าสัมผัสได้ว่าเหมือนเส้นตายของเขาอยู่ หรือจะเป็นไปได้ว่า……
ทันใดนั้นเธอคาดเดาอย่างใจกล้า เท้าหยุดเดินอย่างฉับพลัน ความคิดนี้เปรียบเสมือนเมล็ดพืช ที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจ แตกหน่อโผล่พ้นดินภายในชั่วพริบตา ค่อยๆฟื้นตัวแข็งแรง
ซูย้าวค่อนข้างยากที่จะเชื่อ แต่ก็คงยังสับสนและแปลกใจหลังจากนั้น เธอเองก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ในเวลาเดียวกันก็รีบร้อนหาสถานที่สงบ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดติดต่อหาโทรศัพท์ของหลินโม่ป่าย
“โม่ป่าย นางพยาบาลและคุณหมอเจ้าของไข้ของหมิงเอ๋อเป็นใครอย่างนั้นเหรอ? สามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาแต่ละคนให้ฉันสักชุดได้หรือเปล่า?” ซูย้าวรีบร้อนพูด
หลินโม่ป่ายตกตะลึงเล็กน้อย ตามจิตใต้สำนึกดวงตาเคลื่อนตัวออกจากผู้ใต้บังคับบัญชาที่กำลังรายงานการทำงานของตัวเอง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปทางหน้าต่าง “ทำไมอยู่ดีๆต้องการพวกนี้ได้?”
ข้อมูลส่วนบุคคลและเอกสารของผู้ใต้บังคับบัญชาตัวเอง ในกรณีทั่วไปเขาไม่ยินยอมที่จะเปิดเผยไม่ว่าเป็นใครก็ตาม ถึงอีกฝ่ายจะเป็นซูย้าว เขาก็จำเป็นจะต้องถามให้ชัดเจน
“ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวมันผิดปกติ หมิงเอ๋ออาจจะตกอยู่ในอันตราย!” ซูย้าว “ฉันรู้ว่าทำแบบนี้อาจจะดูไม่ค่อยเหมาะสม แต่ว่าฉันรับรองได้ว่าจะเอาข้อมูลของพวกเขาออกไปเปิดเผย ขอร้องคุณละนะ เอาข้อมูลส่วนบุคคลของนางพยาบาลและหมอเจ้าของไข้ให้ฉันเถอะนะ”
เธอต้องการที่จะตรวจสอบโดยละเอียดสักรอบ ถ้าหากบอกว่าการติดเชื้อโรคอย่างกะทันหันครั้งนี้ของหมิงเอ๋อเป็นอานเจียเย้นที่ควบคุมลงมือ ถ้าอย่างนั้น จุดประสงค์ของเขาก็คงเป็นการบังคับให้ลี่เฉินซีกับฉันพาเด็กย้ายกลับเมืองA ทำแบบนี้จะเพื่ออะไรได้อีกละ?
ซูย้าวจำได้ไม่มีวันลืม มากกว่าสองปีก่อนหน้านี้ jokeเคยออกคำสั่งกับอานเจียเย้น เวลานั้นเขายังเรียกชอลพุซมาที่นี้ ให้พาหมิงเอ๋อไป!
หรือจะบอกว่า จนถึงตอนนี้ อานเจียเย้นยังอยากที่จะลงมือกับเด็กนี้อยู่อีก?!
ทางด้านฝั่งหลินโม่ป่ายนั้นไตร่ตรองอยู่สักพัก สุดท้ายก็ตกลง “เอาเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการสักครู่จะส่งไปให้คุณ แต่ยังต้องการทำอะไรอีกหรือเปล่า? ฉันจะช่วยคุณเอง”
ซูย้าวขมวดคิ้ว แล้วพูด “เรื่องอื่นยังไม่ต้อง โม่ป่าย ห้องพักคนไข้ของหมิงเอ๋อจะต้องมีกล้องวงจรปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนะ นอกจากพยาบาลและหมอเจ้าของไข้แล้ว ไม่อนุญาตให้ใครเหยียบเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยได้ พนักงานรักษาความปลอดภัย นางพยาบาล ถึงจะเป็นคนแก่หรือเด็กธรรมดา ก็จะต้องตรวจสอบอย่างเข้างวด ไม่ว่าใครก็ไม่มีข้อยกเว้น!”
อานเจียเย้นเวลาทำเรื่องอะไรก็จะโหดเหี้ยมและเด็ดขาดมาก ถึงจะเป็นคนชราแก่หง่อม หรือว่าจะเป็นเด็กน้อยร้องขออาหาร ก็สามารถถูกเขาบีบบังคับมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด จะชะล่าใจไม่ได้เด็ดขาด!