เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 829 เธอจะทำยังไงนะ?
เวลาประมาณตลอดทั้งบ่าย โม่หว่านหว่านแทบจะหาข้ออ้างต่างๆ ไปทั่ว จึงบังคับดึงซูย้าวฆ่าเวลาอยู่ที่สกีรีสอร์ท
รอตอนกลางคืนทั้งสองคนกลับถึงโรงแรม ซูย้าวเกาะแขนเล็กๆ ของโม่หว่านหว่านไว้ “หว่านหว่าน แกเหนื่อยหรือไม่ล่ะ?”
โดยจิตใต้สำนึกโม่หว่านหว่านตอบกลับโดยตรง “ไม่เหนื่อยอยู่แล้ว ยังอยากจะไปเดินเที่ยวที่ไหนอีก? ฉันจะไปเป็นเพื่อนแก!”
ซูย้าวกลับจ้องมองเธอยิ้มนุ่มนวลหนึ่งที “ไม่ไปเดินเที่ยวแล้ว ถ้าหากทำได้ล่ะก็ ฉันอยากจะให้แกช่วยฉันสืบอีกสักหน่อย……”
มากน้อยเธอก็ยังคงมีความสงสัยเล็กน้อย มักจะรู้สึกว่าสกีรีสอร์ทนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นขนาดนั้นเลย โดยเฉพาะบัญชีภายในต่างๆ เหล่านั้น มักจะรู้สึกมีปัญหาเล็กน้อย
ใบหน้าโม่หว่านหว่านกำลังหยุดชะงักงัน มีความอึดอัดเล็กน้อยหลบซ่อนความคลุมเครือที่อยู่นัยน์ตา ตอนที่คิดจะหาคำพูดอะไรมาปฏิเสธ ทั้งกระจายความสนใจของเธอไปด้วย ซูย้าวเอ่ยปากพูดอีกแล้วว่า “ครั้งนี้ช่วยฉันสืบค้นคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของประธานหลี่สักหน่อย ถ้าหากมีความต้องการอะไรล่ะก็ ฉันจะมาช่วยแกเอง”
“เอะ……” ในชั่วขณะโม่หว่านหว่านไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี สองจิตสองใจลังเลไปสักพัก จึงพูดว่า “อย่างนั้น ย้าวย้าวเอ่ย แกดูสิวันนี้ดึกขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่พวกเรา……”
คำพูดของเธอยังพูดไม่จบ หางตาก็เหลือบมองเห็นผู้ชายทั้งสองที่กำลังคุยเล่นในห้องโถงใหญ่ที่อยู่ไกลๆ สวมใส่ชุดสูทรองเท้าหนัง ทั้งตรงทื่อรูปร่างดีอีก ไม่ว่าที่ไหนเวลาใด ล้วนเป็นการคงอยู่ที่หล่อเลี้ยงตาและดึงดูดตา
“นั่นคือลี่เฉินซีเหรอ?” อยู่ดีๆ โม่หว่านหว่านเอ่ยปาก อาศัยตอนที่สายตาซูย้าวเหลือบมองไป ก็ถือโอกาสเกาะแขนของเธอไว้ “พวกเราเข้าไปดูสิ”
ซูย้าวถูกเธอลากไปตลอดทางก็รีบเร่งเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ทั้งสองคนเพิ่งเข้าไป ลี่เฉินซีฝั่งนี้ก็ได้สังเกตเห็นพวกเธอแล้ว เจียงจี้เซิงตามสายตาของเขาก็ได้เห็นซูย้าวแล้วเช่นกัน โดยจิตใต้สำนึกลดเสียงเบาลง “เรื่องเหล่านี้ เธอรู้ไหม?”
สายตาลี่เฉินซีขึงลับลงโดยปริยาย ส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีกเล็กน้อย และใช้เสียงระดับเบาเช่นกัน กำชับคำหนึ่งว่า “เธอล้วนไม่รู้อะไร และอย่าพูดกับเธอด้วย”
เจียงจี้เซิงแสดงให้เห็นว่าเข้าใจอย่างระวังรอบคอบ ในเวลาเดียวกัน โม่หว่านหว่านก็ได้ดึงซูย้าวเดินเข้ามาแล้วเช่นกัน
เพราะว่าต่างคนต่างรู้จักกันอยู่ ดังนั้นซูย้าวรีบออกเสียงทักทายอย่างมีมารยาทมาก “ประธานเจียง”
แม้ว่าเจียงจี้เซิงไม่ได้ลุกขึ้น แต่ใบหน้าที่สวยสดงดงามสุภาพอ่อนโยน รอยยิ้มก็เรียบๆ คล้ายดั่งลมในฤดูใบไม้ผลิ “คุณอาน โอ๊ะ ไม่ถูก ตอนนี้ผมควรที่จะเรียกว่าคุณซูแล้วใช่หรือไม่?”
ซูย้าวยิ้มหนึ่งที “ตามสบายท่านก็พอ”
“ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น ผมมาทำธุระแถวนี้พอดี พบเจอกับเฉินซี” เจียงจี้เซิงอธิบายไปคำหนึ่ง จากนั้นมองไปยังโม่หว่านหว่านอีก “คนนี้คือ……”
ซูย้าวรีบแนะนำสักหน่อย เจียงจี้เซิงนึกได้ในฉับพลัน “โอ๊ะ คนนี้ก็คือภรรยาของประธานลู่ เลื่อมใสมานาน เป็นอย่างที่คิดไว้เป็นสาวงามมากคนหนึ่งจริงๆ ล่ะ”
โม่หว่านหว่านถูกการชมเชยยกย่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำจนมีความรับมือไม่ทันเล็กน้อย เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
“ประธานเจียง คุณเซียวล่ะ? ไม่ได้มาด้วยกันกับท่านเหรอ?” ซูย้าวซักถาม
เจียงจี้เซิงแค่พูดว่า “ช่วงนี้เธอยุ่งไปหน่อย ก็เลยไม่ได้มาพร้อมกันกับผม”
หยุดชะงักเล็กน้อยหนึ่งที พูดอีกว่า “อาไน่ได้รับการว่าจ้างจากโรงเรียนสอนเต้นรำแห่งหนึ่ง สอนพวกเด็กๆ เต้นรำทุกวัน ยังสามารถมีเวลามากหน่อยอยู่กับลูกสาวอีก ถือว่าไม่เลวนะ”
ซูย้าวพยักหน้านิดๆ “ฉันจำได้ว่าคุณเซียวเรียนเต้นรำตั้งแต่เด็ก กลายเป็นครูสอนเต้นรำ เหมาะสมกับเธอมาก”
“ใช่สิ จุดสำคัญคือสามารถช่วยเธอฆ่าเวลาสักหน่อย ไม่ต้องล้อมรอบอยู่แต่กับผมและลูกสาวทั้งวัน ก็ควรที่จะให้เธอมีเวลากับช่องว่างสำหรับตนเองเช่นกัน ”
เจียงจี้เซิงมีความคิดขั้นสูงไม่อนุรักษนิยมตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เขากับเซียวไน่ก็ขรุขระต่อๆ กันมาหลายปีเช่นกัน แม้ว่าตลอดเวลามาเขาอยากจะจัดหาชีวิตที่ดีที่สุดให้เซียวไน่กับลูกสาว ไม่อยากให้เธอเหนื่อยมากเกินไปลำบากเกินไปด้วย แต่เป็น ภรรยาเต็มเวลาอยู่แต่ในบ้าน ล้วนไม่สอดคล้องกับนิสัยของเซียวไน่
เวลานานไป ก็แค่จะทำให้เธอเบื่อจนแย่ ทำงานที่ตนเองชอบสักหน่อย ทำกิจการของตนเองสักหน่อย สามารถมีช่องว่างกับเวลาที่ยุ่ง ก็จะไม่เลวเช่นกันนะ
ซูย้าวก็เห็นด้วยมากๆ เช่นกัน หลายคนนั่งลงพูดคุยเล่นไปสักพัก เพราะว่าเวลาดึกหน่อยแล้วจริงๆ บวกกับเดินเล่นอยู่ข้างนอกไปทั้งช่วงบ่าย เธอกับโม่หว่านหว่านล้วนเหนื่อยแล้วด้วย ก็เลยขึ้นข้างบนก่อน
โม่หว่านหว่านกังวลว่าซูย้าวจะเอ่ยถึงอย่างอื่นอีก ถือโอกาสหาข้ออ้างอีกสักอย่างเสียเลย ดึงเธอไม่ให้กลับไปห้องนอน แต่คือไปทำSPAความงามโดยตรง
อาศัยช่องว่างที่ซูย้าวกำลังนวดอยู่ โม่หว่านหว่านแอบแจ้งพนักงานนวดสักหน่อย ก็เดินเบาๆ ลงไปข้างล่างเลย
เธอไปหาที่ห้องโถงใหญ่ก่อนหนึ่งรอบ ไม่พบเห็นเงากายของลี่เฉินซีกับเจียงจี้เซิงเลย มีความสงสัยงงงวยเล็กน้อย พบเจอกับพนักงานพอดี หลังจากซักถามจึงรู้ว่าทั้งสองคนไปที่บาร์ชั้นล่างแล้ว
บาร์ที่อยู่ในนี้ เป็นการจัดตั้งที่เร้นลับเต็มรูปแบบ แม้เรียกว่าเป็นบาร์ แต่แท้ที่จริงก็คือสถานที่แลกเปลี่ยนแห่งหนึ่งที่จัดหาให้บุคคลชั้นสูง
สภาพแวดล้อมงดงาม จัดแต่งฟุ่มเฟือย เพลงเปียโนไหลก้องอยู่ในหูช้าๆ ในเคาน์เตอร์บาร์ พนักงานเสิร์ฟผสมค็อกเทลอยู่อย่างจิตใจสงบ ที่นั่งอยู่บริเวณใกล้เคียง มีลูกค้าเล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่คน
ที่นี่เงียบมาก และสะดวกสบายมากเช่นกัน โดยรวมมากล่าว ก็จะทำให้คนมีความรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลายอย่างหนึ่ง
เพราะว่าโม่หว่านหว่านร้อนใจที่จะลงไปข้างล่าง คลุมเพียงเสื้อคลุมไว้ตัวหนึ่ง ข้างในยังสวมใส่เสื้อคลุมผ้าฝ้ายของSPAอยู่ ดูแล้วมีความรู้สึกหัวมังกุท้ายมังกร จนกระทั่งเพิ่งเดินถึงหน้าประตูบาร์ ก็ถูกยามรักษาความปลอดภัยขวางไว้แล้ว
“คุณผู้หญิง SPAอยู่ชั้นที่สิบหก เชิญท่านขึ้นไปข้างบน” ยามรักษาความปลอดภัยมีความเกรงใจพูดตรงอย่างมีมารยาทมากๆ
โม่หว่านหว่านพูดไม่ออกจนก้มมองสิ่งที่ตนเองสวมใส่มองแล้วมองอีก ง่ายที่จะทำให้คนเข้าใจผิดจริงๆ แต่เธอร้อนใจมากเกินไป กังวลว่าช่วงเวลานี้ซูย้าวจะตื่นแล้ว พบเห็นว่าตนเองไม่อยู่ และสังเกตได้ถึงอะไรอีก ดังนั้นรีบพูดว่า “ฉันจะเข้ามาหาคน พูดคุยไม่กี่คำก็จะไป”
พอเป็นเช่นนี้ ยามรักษาความปลอดภัยก็ไม่ได้ขัดขวางอีก กลับเคารพนบนอบมากๆ ทำสัญญาณมือ ‘เชิญ’ อย่างหนึ่งไปยังข้างใน
โม่หว่านหว่านอยู่ในนั้นสายตากวาดมองหลายรอบ ก็ล็อกอยู่บนกายของลี่เฉินซีกับเจียงจี้เซิงทั้งสองคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเคาน์เตอร์บาร์
การมาของเธอ ทำให้ทั้งสองคนล้วนมีความตกใจเล็กน้อยจริงๆ ลี่เฉินซีจ้องมองสีหน้าที่หนักอึ้งของเธอ ก็รู้ว่าสิ่งที่เธอจะพูดคุยคืออะไร ก็เลยพูดว่า “มาเพราะซูย้าวใช่ไหม”
ตอนที่เขาพูดอยู่ ช่วยเธอดึงเก้าอี้บาร์ที่อยู่ข้างๆ ออกมา ทั้งสั่งพนักงานเสิร์ฟเทค็อกเทลที่ไม่มีแอลกอฮอล์ให้เธอแก้วหนึ่ง
โม่หว่านหว่านไม่มีอารมณ์ที่เอ้อระเหยสบายอะไรจะมาดื่มเหล้า แค่รีบพูดว่า “ตกลงคุณจะปกปิดซูย้าวนานขนาดไหนล่ะ? เธอฉลาดมากแค่ไหน จะปกปิดไม่อยู่เลยสักนิด ฉันทั้งช่วงบ่ายนี้ หาข้ออ้างมากมายสิบกว่าอย่างแล้ว!”
เธอไม่เชี่ยวชาญในการพูดโกหก ยิ่งไม่เชี่ยวชาญในการพรางตัว ตลอดเวลามาล้วนมีอะไรก็พูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมตรงไปตรงมา โดยเฉพาะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ให้เธอตั้งใจปกปิดซูย้าว ยากมากจริงๆ นะ
แต่ต่างกันกับความร้อนใจและความกลัดกลุ้มของโม่หว่านหว่านมาก ใบหน้าหล่อของลี่เฉินซีที่เบาๆ ช้าๆ ไม่เผยให้เห็นสักนิด เพียงแค่ลงมือดับบุหรี่ครึ่งท่อนแล้วเขย่าวิสกี้ที่อยู่ข้างมือเบาๆ เขย่าแล้วเขย่าอีก น้ำแข็งชนกับตัวแก้วเกิดเสียงกังวานที่ไม่ดังมาก
“ปกปิดไม่อยู่ก็ต้องปกปิด” เสียงที่ต่ำของเขาหดหู่ กลับไม่มีช่องทางเหลืออยู่สักเล็กน้อยให้ปรึกษาหารือได้ ความเย็นชาที่ซ่อนแฝงยังคงหยาบคายไร้เหตุผลขนาดนั้น
โม่หว่านหว่านไม่รู้จะทำยังไง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ทั้งสองมือจับขอบเคาน์เตอร์บาร์ไว้ กุมหน้าผากไว้อย่างไม่หยุดยั้ง ถอนหายใจต่อๆ กัน “แต่ว่า ฉันใกล้จะปกปิดไม่อยู่แล้วจริงๆ ล่ะ!”
เธอก็ไม่ใช่นักแสดง ไม่มีฝีมือในการแสดงจริงๆ ล่ะ!
ตาหงส์ที่แคบยาวของลี่เฉินซีลึกล้ำ สังเกตเห็นความกลัดกลุ้มเล็กน้อยนั้นที่อยู่นัยน์ตาของโม่หว่านหว่าน คิ้วกระบี่อดไม่ได้ที่จะแน่นแล้วแน่นอีก “คุณน่าจะไม่อยากเห็นซูย้าวเกิดเรื่องล่ะ!”
“ถ้าหากคุณล้วนบอกกับเธอเลย เธอจะทำยังไงนะ?”
คำพูดคำหนึ่ง โม่หว่านหว่านตกใจอึ้งชะงักแล้วอึ้งชะงักอีก จากนั้นไม่ต้องคิดก็สามารถรู้ว่าสิ่งที่ซูย้าวจะเลือกทำเป็นแบบไหน
อยู่ต่อหน้าความผิดอย่างใหญ่โต เธอไม่ใช่คนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะเรื่องนี้ ตอนที่อาจจะสามารถเกี่ยวเนื่องไปถึงความปลอดภัยของลี่หมิง เธอยิ่งจะไม่ลังเลแม้แต่น้อย เลือกที่จะเสียสละตนเอง
ลี่เฉินซีก็ไหลล้นการถอนหายใจเล็กน้อยนิดๆ จากข้างริมฝีปากเช่นกัน “ยังมี ถ้าหากให้เธอทำเช่นนี้ งั้นผลสุดท้ายจะเป็นยังไงอีกล่ะ?”
ถ้าสามารถเสียสละคนแค่คนหนึ่ง ก็จะทำลายอานเจียเย้นให้พินาศโดยสิ้นเชิงได้ อย่างงั้น ลี่เฉินซียินยอมให้ตนเองแทนเธอ แต่จะเป็นเช่นนี้เหรอ?
ไม่
จะไม่ตลอดกาล
อานเจียเย้นก็ยังจะเป็นไส้เดือนตัวหนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ในดิน หลังจากหางขาดยังจะเกิดขึ้นใหม่อีก หัวขาดไปหัวหนึ่ง ก็จะโผล่ออกมาอีกสองหัวสามหัวเช่นกัน……
และในครั้งนี้ ถ้าหากลี่เฉินซีเลือกที่จะเสียสละซูย้าวเลย ก็เท่ากับอานเจียเย้นสมปรารถนา เพราะว่าทั้งหมดที่จะตามมา ก็จะกลายเป็นสิ่งที่เขาหมุนพลิกไม่ได้อีกเลย อย่างงั้น จึงจะเป็นฝันร้ายที่แท้จริง น่ากลัวจนเกินความคาดคิดของคนทั้งหลาย