เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 858 ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วหรือ
ภายใต้เหตุผลต่างๆนาๆ ซูย้าวจึงทำได้เพียงแค่ตามขึ้นไปบนรถ เชื่อฟังการจัดฉากของพวกเขา
รถตู้ขับจากเขตเมืองมุ่งหน้าไปยังท่าเรือตะวันออก หลังจากมาถึงแล้ว ชายหนุ่มก็ยังไม่ให้ซูย้าวลงจากรถ แต่ใช้ผ้าสีดำปิดตาของเธอเอาไว้ เป็นเพราะโม่หว่านหว่านยังสลบอยู่ ดังนั้นจึงใช้ผ้าสีดำปิดตาเธอเอาไว้เช่นกัน
“คือว่า ฉันไม่รู้ว่าพวกคุณจะพาพวกเราไปที่ไหน ฉันก็ไม่สนใจว่าจะไปที่ไหน แต่ว่า ที่นี่มีเด็กอยู่ด้วยคนหนึ่ง ปล่อยเพื่อนของฉันกับลูกเธอไปก่อนได้ไหม” ซูย้าวเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มถอนหายใจ และอาจจะเหลือบตามองไปทางเด็กทารกที่ไม่ร้องไห้โวยวายข้างๆด้วยเช่นกัน ดูแล้วค่อนข้างน่าเอ็นดู และน่ารักมาก เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “คุณอาน ในเมื่อคุณรู้กฎก็อย่าทำให้พวกเราลำบากใจสิครับ!”
“แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้รับคำสั่งให้มารับเด็กด้วย แต่ว่า…”
คนที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยตัดบทขัดขวางขึ้นมาโดยไม่ยอมให้ชายหนุ่มเอ่ยต่อไป “ทิ้งเด็กคนนี้ไปก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ”
คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในหู ซูย้าวตกตะลึง รีบยับยั้งทันที “ไม่ได้ ไม่สามารถทิ้งเด็กคนนี้ตามใจชอบได้อย่างเด็ดขาด นั่นเป็นเด็กนะ เป็นชีวิตหนึ่ง! อีกทั้ง…”
เธอพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “พ่อของเด็กคนนี้คือลู่ส้าวหลิง ประธานบริษัทลู่ซื่อกรุ๊ป ขอเพียงแค่พวกคุณติดต่อเขา เขาไม่เพียงแต่จะมารับเด็กเท่านั้น ยังจะมอบเงินจำนวนมากให้กับพวกคุณด้วย!”
ชายคนหนึ่งถอนหายใจอย่างจนปัญญา ยื่นมือมาดึงผ้าสีดำที่ปิดตาซูย้าวออก “คุณอาน คุณนึกว่าพวกเราทำเรื่องพวกนี้เพื่อเงินหรือ”
พวกเขาใช้เงินในการจัดการเรื่องราว แต่ไม่ใช่ว่าอะไรก็สามารถใช้เงินได้หมด แน่นอนว่าเงินนั้นสำคัญ แต่ชีวิตคนไม่สำคัญยิ่งกว่าหรือ
“พอเถอะ เด็กคนนี้มอบให้ผมเถอะ!” ชายหนุ่มพูด และอุ้มเด็กคนนี้ลงไปจากรถ
ซูย้าวมองการกระทำของชายหนุ่มอย่างกังวล พลางเขยิบร่างกายเล็กน้อย ทว่าข้อมือและเท้าทั้งสองข้างล้วนถูกมัดเอาไว้ จึงไม่ค่อยสะดวกจริงๆ ทำได้เพียงแค่ยื่นหน้ามองออกไปนอกรถอย่างรู้สึกไร้ประโยชน์ “เด็กคนนี้ทิ้งไม่ได้เด็ดขาดนะ ที่นี่มีโทรศัพท์ คุณติดต่อลู่ส้าวหลิง เขาจะมารับเด็กไปเอง!”
ชายหนุ่มไม่มองเธอสักแวบเดียว อุ้มเด็กเดินตรงเข้าไปในร้านสะดวกซื้อใกล้ๆนั้นร้านหนึ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตอนที่ชายหนุ่มเดินออกมา ในอ้อมแขนก็ไม่มีเงาร่างของเด็กน้อยแล้ว อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ขึ้นรถ เมื่อเผชิญหน้ากับซูย้าวที่ถามถึงเด็กรอบแล้วรอบเล่า ชายหนุ่มก็เลี่ยงไม่ตอบคำถาม
เขาเพียงแค่นำโทรศัพท์มือถือของโม่หว่านหว่านไป และเดินกลับไปที่ร้านสะดวกซื้ออีกครั้ง
ผ่านไปเนิ่นนาน ตอนที่ชายหนุ่มกลับมาอีกครั้ง ก็ใช้ผ้าสีดำปิดลงบนตาของซูย้าวใหม่อีกรอบ พลางเอ่ยว่า “คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วง ผมฝากเด็กไว้กับเจ้าของร้านนั้น มอบเงินให้เขาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เขาติดต่อกับลู่ส้าวหลิงหลังจากนี้ครึ่งชั่วโมง ถึงตอนนั้นก็สามารถมารับเด็กไปได้แล้ว!”
ซูย้าวได้ยินอย่างนั้นก็โล่งอกเล็กน้อย
ทว่าเมื่อลองคิดดูให้ละเอียดแล้ว ก็มองออกได้ไม่ยากว่า คนที่คล้ายกับโจรลักพาตัวสองคนนี้ ไม่ได้ต้องการเงิน และยังนับได้ว่ามีความเป็นมนุษย์และสมองอยู่บ้าง
ถ้าหากว่าตอนนี้พวกเขาโทรศัพท์ติดต่อให้ลู่ส้าวหลิงมารับเด็กไป ไม่เพียงแต่จะเปิดเผยร่องรอยตัวเอง แต่อาจจะวอนหาเรื่องด้วย กลับกัน หากหาข้ออ้างมอบเด็กให้กับคนอื่น รอจนถึงตอนที่ลู่ส้าวหลิงมาถึง ก็จะไม่พบเงื่อนงำอะไร
สามารถพิจารณาได้อย่างรอบคอบเช่นนี้ คาดว่าทั้งสองคนจะต้องเป็นคนของอานเจียเย้นอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง สาเหตุที่ต้องปิดตาของพวกเธอสองคนเอาไว้ ก็เป็นเพราะว่าทางนี้ได้จัดเรือไว้ลำหนึ่ง อาจจะกลัวว่าพวกเธอจะมองเห็นอะไร อย่างไรก็ตาม ซูย้าวถูกพวกเขาฉุดกระชากลงมาจากรถเพื่อเคลื่อนย้ายไปบนเรือลำนี้
แต่ว่าเป็นเรืออะไร เธอก็ไม่รู้ จะไปที่ไหนก็ไม่รู้ชัดเจนเช่นกัน
เพียงแต่รอจนเข้าไปในท้องเรือแล้ว เรือก็ค่อยๆถอนสมอเรือออกจากท่าเรือ มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในท้องเรือ ดึงผ้าสีดำที่อยู่บนใบหน้าเธอและโม่หว่านหว่านออกไป พร้อมกับทิ้งน้ำไว้หลายขวด ขนมปังกับไส้กรอกอะไรพวกนี้เอาไว้บางส่วน “คุณหนู อาจจะต้องให้คุณได้รับความไม่เป็นธรรมสักหน่อย แต่ว่าไม่มีหนทางอื่นแล้ว อภัยให้ด้วยนะครับ!”
ชายคนนั้นเอ่ยจบก็ไม่ให้โอกาสซูย้าวในการพูด หมุนตัวเดินตรงออกไปจากท้องเรือทันที
ซูย้าวมองประตูเหล็กบานใหญ่ที่ปิดสนิทนิ่งๆ และก้มมองตัวเองที่ถูกมัดมือมัดเท้าทั้งสองอยู่ ก็ขยับตัวไปพิงกำแพงที่อยู่ด้านข้าง มองรอบด้านไปมาด้วยความกังวล ก็ไม่พบของแหลมคมหรือสิ่งที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อะไร
ที่นี่ราวกับถูกคนทำความสะอาดมาก่อน ภายในท้องเรือสะอาดจนไร้ฝุ่น อย่าพูดถึงของมีคมอะไรเลย กระทั่งหินก้อนเล็กๆก้อนหนึ่งก็ไม่เห็น
อีกทั้งภายในห้องก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งใดๆ นอกจากพวกเธอสองคนที่ถูกมัดเอาไว้กับอาหารเล็กน้อย ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
ซูย้าวขยับตัวไปถึงข้างถุงอาหาร คิดจะดูว่าสามารถหาอะไรบางสิ่งที่ถูเชือกให้ขาดได้หรือไม่ แต่หาอยู่นาน น้ำเปล่าก็ไม่สามารถใช้ได้ ไส้กรอกก็เช่นกัน ส่วนขนมปังนั้นเป็นบรรจุภัณฑ์อ่อนนุ่มก็ยิ่งไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ดังนั้น คิดอยากจะช่วยเหลือตัวเอง ก็เท่ากับว่าเป็นไปไม่ได้
สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ ก็คือถูกขังเอาไว้แล้วเฝ้ารอต่อไปทั้งแบบนี้
และในช่วงระหว่างนั้น โม่หว่านหว่านก็ค่อยๆได้สติกลับคืนมา รอจนลืมตาแล้ว ก็มองไปรอบๆอย่างกังวล เธอไม่มีเวลามาสนใจร่างกายที่ถูกมัดเอาไว้ของตัวเอง และขยับตัวไปมาราวกับงูที่เลื้อยไปเลื้อยมา “ลูกชายฉันล่ะ บูรินล่ะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเขาทิ้งเด็กไว้ที่ร้านสะดวกซื้อ มอบเงินให้กับเจ้าของร้าน ให้พวกเขาติดต่อลู่ส้าวหลิงมารับเด็กไป” ซูย้าวอธิบาย
เมื่อพูดเช่นนี้ โม่หว่านหว่านถึงได้โล่งใจเล็กน้อย และก้มหน้ามองตัวเองที่ถูกเชือกมัดเอาไว้ สูดลมหายใจลึกอย่างทำอะไรไม่ถูก “พวกเขาล้วนเป็นใครกัน ทำไมขนาดฉันก็ยังจับมาด้วย”
ซูย้าวมองไปทางเธอด้วยแววตาสนใจ “ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้บอกว่าไม่สนใจด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผายหรอกหรือ ไม่อย่างนั้นทำไมถึงได้ดื้อดึงที่จะช่วยฉันล่ะ”
โม่หว่านหว่านนิ่งอึ้งไปอย่างกระอักกระอ่วน ครุ่นคิดเล็กน้อย “ฉัน…ฉันก็คิดไม่ถึงว่าจะเยอะขนาดนี้!”
“ตอนนี้กลัวแล้ว?” ซูย้าวถาม
เธอส่ายหน้าไปมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “กลัวอะไร ขอเพียงแค่ลูกชายฉันไม่เป็นอะไรชั่วคราว แถมยังมีเธออยู่ ฉันมีอะไรให้ต้องกลัวอีก”
“อ่อ? ไม่กลัวหรือ” ซูย้าวเหลือบมองเธอด้วยความสงสัย สายตาลุ่มลึกคู่นั้นราวกับมองทะลุเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเธอได้อย่างไรอย่างนั้น
โม่หว่านหว่านพยายามบิดเชือกที่มัดข้อมืออยู่ไปมาหลายครั้ง และเอ่ยขึ้นในเวลาเดียวกันว่า “สถานการณ์แบบนี้ ใครจะไม่กลัวกัน แต่กลัวแล้วจะไม่เกิดขึ้นหรือ”
“ถึงอย่างไรก็เป็นแบบนี้แล้ว ไม่สู้ปล่อยวางสักเล็กน้อย…” เธอลากเสียงยาว เพราะภายในห้องไม่มีหน้าต่าง ดังนั้นจึงมองสิ่งที่อยู่ข้างนอกได้ไม่ชัดเจน เธอเพียงแค่กวาดตามองไปรอบๆ “ที่นี่ที่ไหนกัน ทำไมถึงได้รู้สึกลอยไปลอยมา หรือว่าจะอยู่บนน้ำ?”
ซูย้าวพยักหน้า “ถูกต้อง ดูเหมือนว่าจะเป็นเรือลำหนึ่ง แต่จะเป็นอย่างไรนั้น ฉันก็บอกได้ไม่ชัดเจนเหมือนกัน”
โม่หว่านหว่านเขยิบร่างมาข้างเธอ ลองใช้แรงจากทั้งสองคน ดูว่าจะสามารถดึงเชือกที่มัดข้อมืออยู่ขาดได้หรือไม่ แต่ทั้งสองคนแทบจะใช้แรงทั้งหมดแล้ว เชือกที่แข็งแรงนี้กลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
สุดท้าย ทั้งสองคนก็ล้มเลิก
โม่หว่านหว่านเขยิบร่างไปใกล้ถุงอาหาร หลังจากนั้นก็ใช้ขาหยิบน้ำเปล่ามาขวดหนึ่ง มองไปทางซูย้าว “คนกลุ่มนี้สมองมีปัญหาสินะ! ให้น้ำและของกินกับพวกเรา แต่ไม่คลายเชือกให้ พวกเราจะกินยังไง”
“ดังนั้นจึงต้องรักษาพลังกายเอาไว้ไง!” ซูย้าวเอนศีรษะพิงไปทางกำแพงด้านหลัง “ไม่รู้ว่าจะพาพวกเราไปที่ไหน แต่ถ้าหากว่าไปในที่ของอานเจียเย้น เดินทางบนน้ำแล้วล่ะก็ อย่างน้อยก็ต้อง…”
เธอคำนวณเวลาดู “ประมาณสองสามวันได้!”
โม่หว่านหว่านเกือบจะกรีดร้องเสียงแหลม นัยน์ตาหดวูบด้วยความตกตะลึง “อะไรนะ เวลานานขนาดนี้ ถ้าหากว่าพวกเราไม่กินไม่ดื่ม จะไม่ขาดน้ำหรอกหรือ!”
“ดังนั้นถึงได้ให้เธอรักษาพลังกายเอาไว้ไง!” ซูย้าวถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้รู้สึกว่าแบบนี้ตื่นเต้นมากหรือ คราวนี้เป็นไง เธอกลายเป็นเป้าหมายที่อานเจียเย้นต้องการเป็นคนแรกแล้ว อยากหนีก็ไม่ทันแล้ว”
โม่หว่านหว่าน “……”
“แต่ว่าส้าวหลิงกับเฉินซีน่าจะมาช่วยพวกเรานะ!” ซูย้าวคิด หลังจากลู่ส้าวหลิงได้รับตัวเด็กไป จะต้องเดาได้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเธอแล้ว เมื่อคิดดูสักหน่อยก็จะเดาได้ว่าเป็นอานเจียเย้น
เพียงแต่ว่าจะพาพวกเธอไปที่ไหนนั้น เกรงว่าพวกเขาคงตรวจสอบไม่พบ…
นัยน์ตาโม่หว่านหว่านปรากฏความมั่นใจขึ้นหลายส่วน “อืม พวกเราเชื่อในตัวส้าวหลิงกับเฉินซีเถอะ! พวกเขาจะต้องมาช่วยพวกเราแน่ๆ!”
“แต่ว่า ถ้าหากนี่เป็นกับดักจะทำอย่างไร” ซูย้าวถามกลับ “ถ้าหากว่าจับตัวพวกเรามาเพื่อล่อให้พวกเขามา จะไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขาหรือ”
เมื่อคิดเช่นนั้น โม่หว่านหว่านก็รีบเปลี่ยนคำพูด “ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ แบบนั้น…พวกเขาก็อย่ามาเลย! อย่ามาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นลูกชายฉันต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าแล้ว!”
ซูย้าว “…..