เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 875 ผมยังต้องขอบใจคุณที่ช่วยผม
บ้านหลังน้อยที่แสนเรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์ ท่อนฟืนที่ถูกเผาอยู่ตลอดเวลาจนเกิดไอร้อน จนส่งผลให้แผ่ความอบอุ่นไปทั่งห้องราวกับฤดูใบไม้ผลิ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
อานเจียเย้นกลับมาจากด้านนอกแล้ว พลันมองความหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่โซฟาด้วยหน้าตาเคร่งขรึม และไม่กระดุกกระดิกสักนิด พลันเหล่ตาเหลือบมองเธอ พร้อมทั้งเริ่มถอดเสื้อโค้ตและผ้าพันคอพร้อมๆ กัน และจัดการโยนโทรศัพท์ของตนเองไปให้เธอ
ซูย้าวไม่อยากจะรับไว้เลย แต่เมื่อมีสิ่งของเหาะลอยมา แต่ยังคงยื่นมือออกไปรับตามสัญชาตญาณทันที
“ลองเปิดดูสิ” เขาค่อยๆ พูด พลางพูดและเดินมุ่งหน้าเข้าห้องนอนที่อยู่ด้านข้างด้วย
เมื่อรอให้เขากลับออกมาแล้ว ซึ่งถอดโค้ทเสื้อสูทออก และใส่กางเกงสแลคสีดำพร้อมทั้งเสื้อเชิ้ตสีอ่อน และม้วนแขนเสื้อขึ้น แขนเสื้อกระดุมเพชร ส่องประกายระยิบระยับ ภายใต้แสงไฟสาดส่อง
ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม กลับไร้ความรู้สึกแต่อย่างใด กระทั่งเย็นชาอยู่บ้าง สายตาอันเย็นชาเล็กน้อย จ้องมองซูย้าวที่ยังไม่ยอมทำอะไร ขนาดโทรศัพท์ก็ไม่ยอมแตะ จนวางมันเอาไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา เขาชำเลืองตามองต่ำลง และเดินมานั่ง พลันใช้มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หลังจากปลดล็อกออกแล้วก็ควานหาคลิปวิดีโอ และจัดการพลิกโทรศัพท์ และยื่นให้เธอ
สัญชาตญาณของซูย้าวไม่อยากจะรับ และไม่อยากจะดูอะไรทั้งสิ้น แต่สายตาพลันเหลือบมองทางหน้าจอ วิดีโอที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้านั้น กลับเป็นร่างกายของชายหนุ่มอันคุ้นเคยที่อยู่ในวิดีโอนั้น จนทำให้เธอตกใจจนหยุดหายใจไปชั่วขณะ
เธอพลางยื่นมือออกไปโทรศัพท์มาอย่างไม่รู้ตัว พร้อมทั้งจ้องมองดูอย่างตั้งใจ ลี่เฉินซีอย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่ว่า นั่นเขา…กำลังทำอะไรอยู่?!
อาตงกับเซียวหยาง ปรากฏตัวไม่กี่นาที และดูจากวิดีโอแล้ว ราวกับทั้งสองคนเสียชีวิตด้วยมือของเขา จากนั้น ลี่เฉินซีจึงเดินทางทางเครื่องบันทึกวิดีโอ และไม่รู้ว่ากดอะไร วิดีโอพลันหยุดลงทันที
ในหัวสมองของซูย้าวพลันดังกึกก้องทันที ราวกับเลือดหยุดไหลเวียนทั้งตัว เขา เขาถึงขั้น …ฆ่าคนตายเลยเหรือเนี่ย?!
ไม่ ไม่ ไม่ เธอไม่ควรจะมีความคิดกับการยอมรับเช่นนี้ ลี่เฉินซีไม่ใช่คนประเภทนั้น แต่เพิ่งดูวิดีโอมาแล้ว และจะอธิบายแก้ต่างยังไงเล่า?
เธอตกใจและสับสนอยู่เต็มอก และหยิบโทรศัพท์เอามาเปิดซ้ำอีกครั้ง พร้อมทั้งดูซ้ำอีกสามรอบ พร้อมทั้งยังหาความเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีกเลย แต่ไม่สามารถดูจากวิดีโอ และตัดสินได้ว่าอาตงกับเซียวหยางนั้นเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้น…
ในหัวสมองของเธอพลันย้อนคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ที่ตนเองได้แสร้งตีบททำร้ายเจี่ยงเวินอี๋ต่อหน้าอานเจียเย้น ในความเป็นจริงคือการลงมือแต่ทำให้อีกฝ่ายมีชีวิตรอด จากนั้นยังปลอดภัยไร้บาดแผลแต่อย่างใด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ซูย้าวถอนหายใจโล่งอกกับความหนักอึ้งอันอยู่ในใจอยู่ไม่น้อย ลี่เฉินซีคงไม่ลงมือฆ่าคนจริงๆ และไม่ต้องไปพูดแม้ว่าอาตงกับเซียวหยางจะไม่มีความบาดหมางกับเขา หรือแม้ว่าจะแค้นเคืองกันก็ตาม เขาก็จะใช้วิธีอันยุติธรรมเสมอ ไม่มีทางทำชีวิตคนเหมือนผักปลาเช่นนี้อย่างแน่นอน
อาตงคงยังไม่ได้จมน้ำตาย เซียวหยางเองก็คงไม่ถูกมีดเสียบจนเสียชีวิต
ต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน
เธอสงบใจได้ลงไปเยอะ แต่สีหน้า ยังปรากฏความเย็นชาให้เห็น หลังจากที่ได้เปิดคลิปวิดีโอซ้ำจนถึงสี่รอบแล้ว เธอดับหน้าจอทันที และจัดการส่งคืนให้ผู้ชายที่อยู่ด้านข้าง
“ครั้งนี้พอใจแล้วใช่มั้ย? ไม่เพียงแต่โยนความผิดจนทำให้เขาเป็นตัวตายตัวแทนคุณ ยังจงใจให้เขาลักลอบสินค้าอย่างผิดกฎหมาย ตอนนี้ยังให้เขาไปฆ่าคนอีกสองคน อานเจียเย้น ต่อไปคุณยังอยากจะทำอะไรต่อ?”
ใบหน้าอันเย็นชาของชายหนุ่มกลับไร้ความรู้สึก มีแค่รูม่านตาสีเหลืองอำพันอันสงบนิ่ง จ้องมองเธอด้วยสายตาอันเฉยเมย และไม่สนใจโทรศัพท์ของตนเองด้วยซ้ำ ในทางกลับกันกลับเชิดปลายคางของซูย้าวขึ้นแทน “สิ่งที่ผมอยากจะทำ ยังมีอีกเยอะแยะ”
“แต่ว่า ก่อนหน้านั้น พวกเราควรจัดการเรื่องนี้ให้แน่ชัดก่อน” เขาพูดเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำ ดั่งแม่เหล็ก เพราะว่าอารมณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ ดังนั้นน้ำเสียงจึงเย็นชาอยู่มาก “รู้มั้ยทำไมลี่เฉินซีเขาถึงได้เชื่อฟังคำสั่งผมขนาดนี้? ทั้งที่รู้ทั้งรู้ผมใช้เขาเป็นเป้าล่อ และกลายเป็นแพะรับบาปให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกต่างหาก โดยเขายังไม่คำนึงถึงศีลธรรมสักนิด รู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
ดวงตาอันงดงามของซูย้าวเย็นเฉียบ และจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ ทว่ากลับใช้มือในการปัดการกักกันของชายหนุ่มออก และเอนร่างกายพิงทางด้านหลัง “เพราะว่าฉัน หรือว่า…ลูก หรือ…” หรือว่าแม่ของเขา
แต่ประโยคสุดท้าย ซูย้าวไม่ได้ปริปากพูดออกไป
เธอเดาได้ว่าอานเจียเย้นอาจจะเรื่องที่เจี่ยงเวินอี๋ยังไม่ตาย แต่ยังคงไม่อยากพลั้งปากพูดออกไปเอง ถึงอย่างไร มนุษย์เราต่างหวังอยู่ในใจเล็กน้อย แม้ว่าจะอับจนหนทางหมดทางหนีทีไล่แล้วก็ตาม ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องตายอยู่แล้ว แต่กลับยังคงมีความหวังเพียงเล็กน้อยที่จะมีโชคช่วยในการให้หลุดรอดไปได้
ซูย้าวเองก็ไม่มีข้อยกเว้น ถ้าหากอานเจียเย้นไม่รู้เรื่องเจี่ยงเวินอี๋ งั้นบางที นี่ถือว่าเป็นข่าวที่ดีที่สุดเพียงสิ่งเดียวแล้ว
แต่แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่า ยิ่งความคาดหวังมากเท่าไหร่ ความผิดหวังมันก็ใหญ่หลวงหนักกว่านั้น
เธอยังพูดไม่ทันจบ อานเจียเย้นจึงพูดต่อให้เธอ “หรือว่าจะเป็นแม่ของเขา ใช่มั้ย?”
ซูย้าวตกตะลึงทันที ราวกับมีสายฟ้าขนาดใหญ่ฟาดลงบนศีรษะอย่างแรง วินาทีต่อมา ร่างกายของเธอกลับถูกเรี่ยวแรงมหาศาลของชายหนุ่ม ในการฉุดกระชากลากมาใกล้อยู่ตรงหน้าอย่างหยาบช้า พละกำลังเรี่ยวแรงมหาศาลในฝ่ามือใหญ่พลันบีบใบหน้าของเธอเอาไว้ทันที ราวกับต้องการให้เธอและตายคามือเช่นนั้น ภายในแววตาลึกซึ้ง เต็มเปี่ยมไปด้วยความโหดร้าย “ก่อนหน้านี้คนที่ถูกคุณฆ่าถิ้งไปต่อหน้าผม แล้วทำไมตอนนี้ยังมีชีวิตรอดอยู่ล่ะ?”
“คุณกำลังเล่นละครตบตาผมอยู่ หรือว่าเธอมีความสามารถในการตายแล้วฟื้นให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่งจริงๆ เหรอ อานหว่านชิง คุณบอกให้ผมฟังหน่อย ความจริงของเรื่องนี้ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ซูย้าวถูกเขากักไว้รอบด้าน แววตาโกรธแค้นไร้อาการหวาดกลัว พร้อมทั้งเย็นชาใส่เขา แต่ไม่พูดอะไรสักคำ
ความเป็นจริงก็คือ เธอไม่เคยฆ่าใครสักคนเลยจริงๆ ครั้งนั้นพฤติกรรมที่เธอปฏิบัติต่อเจี่ยงเวินอี๋ทั้งหมดนั่นก็คือ การได้เตรียมการพูดคุยกันเป็นอย่างดีก่อนหน้านี้แล้ว เธอแค่เล่นบทโดยการฆ่ารัดคอเจี่ยงเวินอี๋ ในเวลาเดียวกันพร้อมทั้งใช้นิ้วในการดึงเชือกเอาไว้ เพื่อเป็นสร้างภาพแกล้งตาย จากนั้นก็ไม่มีบาดแผลแต่อย่างใด
อานเจียเย้นหัวเราะเยาะเย้ยออกมา “ความจริงก็คือคุณไม่ได้ฆ่าเธอเลย แต่ ก็ไม่เป็นไรนี่”
จู่ๆ เขาก็ผ่อนแรงลง จากนั้นก็สะบัดเธอออก ร่างกายซูย้าวทรงตัวไม่อยู่ พลันสะดุดและลงไปนั่งกองกับพื้น
อานเจียเย้นก้มมองเล็กน้อย แววตาอันเย็นเฉียบจนแสดงอาการดูถูกดูแคลนเจือปนจนเห็นได้อย่างชัดเจน “ในทางกลับกันยังไงผมก็ต้องขอบคุณที่ช่วยผมไว้นะ ไม่งั้น ตอนนี้ผมต้องการบีบลี่เฉินซี ยังขาดความมั่นใจไปหน่อยใช่ไหมล่ะ?”
ขาเรียวยาวของเขานั่งไขว่ห้าง ปลายรองเท้าอันเรียวแหลมจนมีเงาสะท้อนกำลังสัมผัสซูย้าวอยู่พอดี เนื่องจากลักษณะท่าทางและระยะห่างของคนสองคนคนหนึ่งอยู่เหนือกว่าอีกคนอยู่ต่ำกว่า เขาจึงใช้ปลายรองเท้าหนังในการเชิดใบหน้าของเธอขึ้นตามสะดวก “รู้สึกว่าลี่เฉินซีเขาไม่ได้ฆ่าคนนะ คงเรียนรู้มาจากคุณนั่นแหละ ที่แสดงละครตบตาให้ผมเห็นก็เท่านั้นเอง”
“คุณคิดว่าผมจะทำอย่างไรดีล่ะ?” เขาย้อนถามกลับ
รูม่านตาของซูย้าวหรี่ตาทันที ความคิดตื่นตระหนกเกินเหตุจนยุ่งเหยิงไปหมด ยิ่งทำให้เธอราวกับสูญเสียความสามารถในการใช้ภาษาไปทันที ไม่สามารถพูดอะไรออกมาจากปากได้สักคำ อาจจะเป็นเพราะว่าโกรธเคืองเกินขนาด หรืออาจจะเป็นเพราะว่าอารมณ์ที่ตื่นเต้นเกินเหตุ จนทำให้เธอไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองเอาไว้ จนเกินอาการสั่นเทาเล็กน้อย และไม่สามารถควบคุมได้
“คุณยังจำคู่พี่ชายกับน้องสาวนั่นได้ไหม?” อานเจียเย้นเอ่ยถึงสองคนนั้นขึ้นมากะทันหัน
ซูย้าวได้ยินจนความคิดดำดิ่งลงทันที ความรวดเร็วในสมอง พลันนึกถึงก่อนหน้านี้ไม่นานนักในแถวภูเขาหิมะแฟลส์ ‘คนรับผิดชอบ’ โรงเรือนกระจก ลั่วปินกับลั่วซีคู่ผัวตัวเมีย
อานเจียเย้นหรี่ตามอง พลันแสยะยิ้มให้เห็นบริเวณริมฝีปาก “พวกเขาเป็นคนที่ผมวางใจมากกว่าอาตงกับอาเจว๋ ผมได้ส่งพวกเขาไปแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียง ประจวบเหมาะกับโทรศัพท์ที่เขาโยนอยู่ด้านข้างอยู่ตลอด กลับส่งเสียงดังขึ้น
พลันมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างกะทันหัน จนทำให้ร่างกายของซูย้าวตัวแข็งทื่อ และจ้องมองอานเจียเย้นรับโทรศัพท์อย่างสง่างาม เมื่อกดรับสายนั้น เขาจงใจเปิดลำโพง
ทางฝั่งนั้นไม่มีเสียงอะไรดังออกมา แต่กลับมีเสียงอยู่ประมาณสามเสียง ‘ปุ ปุ ปุ’ ราวกับมีเสียงเคาะหน้าจอโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงนั้นไม่ถือว่าดังมากนัก แต่ชัดเจนมาก ซึ่งเป็นเสียงดังอยู่สามครั้งไม่มีทางผิดพลาดได้อย่างแน่นอน
อานเจียเย้นเองก็เคาะหน้าจอกลับไปสามครั้ง จากนั้นจึงตัดสายทิ้ง
จากนั้น เขาก็โยนโทรศัพท์อีกครั้ง และใช้สายตาอันเย็นเฉียบมองมาทางซูย้าว “พวกเขาคู่พี่นี้จะไม่พูดอะไรแล้ว แต่ก็สามารถรับรู้ถึงแรงเสียงนั้นได้ว่า ทั้งสามเสียงนั่นหมายถึงว่าทำภารกิจสำเร็จลุล่วงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ในทางกลับกัน ถ้าเป็นเพียงเสียงเดียว ก็เท่ากับทำเรื่องพังไม่เป็นท่า ถ้าเป็นสองเสียงหมายถึงเกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นกลางคัน จนภารกิจต้องล่าช้าออกไป
สีหน้าของซูย้าวแข็งทื่อ จนเลือดไหลเวียนทั่วร่างกายหยุดไหลจนแข็งตัว ทำภารกิจสำเร็จลุล่วงไปแล้ว ก็หมายความว่าอาตงกับเซียวหยางได้เสียชีวิตลงแล้ว ไม่ว่าใครเป็นคนลงมือก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วชีวิตของทั้งสองคนนี้ เรื่องมันกลับตาลปัตรมาอยู่ที่ตัวของลี่เฉินซี
เขาถูกโยนความคิดและกลายเป็นผู้ต้องหาฆ่าคน…อย่างสมบูรณ์แบบ!
“อานเจียเย้น!” ซูย้าวเครียดจนเกรี้ยวกราดออกมา ความโกรธคืองอันมหึมาราวกับพายุถาโถมฝนตกหนัก พร้อมทั้งพูดเน้นย้ำอย่างเย็นชา
เมื่อมองว่าเธอกำลังผุดลุกขึ้นมาให้ได้ ริมฝีปากของอานเจียเย้นพลันคลี่ออกมาเล็กน้อย พลันเหล่ตามองไปทางด้านหลังของเธอ พร้อมทั้งชูมือและปรบมืออยู่สองครั้งในเวลานั้นเอง
เมื่อสิ้นเสียงปรบมือในชั่ววินาทีนั้นแล้ว ประตูทางด้านหลังของซูย้าวผลักเข้ามา และมีคนเดินเข้ามาทันที