เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 889 จนแต้ม
“ไอ้เด็กเวร พูดจาไร้สาระอะไรเยอะแยะวะ!”
ลุงไชลด์ที่อยู่ในความโกรธจะฟังเด็กพูดต่อไปได้อย่างไร หัวปืนได้เล็งไปที่ระหว่างคิ้วของลี่หมิงโดยตรง นิ้วมือได้ขึ้นลำปืน
ตอนที่กระสุนกำลังจะยิงออกมา ตอนที่อยู่ในวิกฤติอันใหญ่หลวงนี้ ด้านหลังได้มีเสียงก้องมา——
“หยุดนะ!”
หลังจากเสียงออกคำสั่งที่ทุ้มต่ำพูดเสร็จ ตำรวจพิเศษที่นับไม่ถ้วนก็ได้โผล่มาจากทั่วทุกทิศ ทุกคนต่างก็แต่งองค์ทรงเครื่องครบหมด มือถืออาวุธไว้ หัวปืนต่างได้ทยอยเล็งไปที่ลุงไชลด์หมด
ที่ห่างออกไปก็มีสไนเปอร์เข้าประจำที่ตั้งนานแล้ว ไฟสีแดงแต่ละจุดก็กำลังรวมตัวอยู่ที่หน้าผากและหัวใจของลุงไชลด์ ขณะเดียวกัน ลี่เฉินซีที่อยู่ด้านหลังและภายใต้การห้อมล้อมของผู้คน ได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่อย่างน่าเกรงขาม เพราะเพิ่งลงจากเฮลิคอปเตอร์ รอบตัวมีความเหน็ดเหนื่อยจากการตะลอนเผยออกมา ก้าวเท้าเดินมาอย่างร้อนรนใจ รูปร่างสูงใหญ่ทั้งหล่อเหลาและสง่าผ่าเผย
ลี่หมิงแค่เหลือบมองแว๊บเดียวก็เห็นเขาเลย เขารีบตะโกน “แดดดี๊!”
ลี่เฉินซีได้ยินเสียงเรียกของลูกชายแล้วก็ได้เร่งฝีเท้า ยกปืนที่อยู่ในมือขึ้น มาเล็งลุงไชลด์ไว้ พอมาถึงตำแหน่งที่ใกล้ ฝีเท้าได้หยุดลง “ปล่อยลูกชายฉัน!”
ลุงไชลด์ได้ยิ้มอย่างดูถูก เขาก้มหน้ามองลี่หมิงอีก แววตาได้คิดพิจารณาเล็กน้อยในชั่วขณะ จู่ๆ ก็ได้หัวเราะออกมา
ทั้งๆ ที่จนแต้มแล้ว ถึงติดปีกก็ยากที่จะหนีแน่นอน แต่เวลานี้ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ถ้าคิดไตร่ตรอง เกรงว่า……
สายตาของลี่เฉินซีตกใจ กำลังจะก้าวไปช่วยลูกชาย แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือลุงไชลด์ไม่ได้ทำอะไรเลย กลับกันแค่หันหัวปืนกลับด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แกว่งอยู่ในมือทีหนึ่ง จากนั้นก็ได้โยนลงบนพื้นแล้ว ชูมือสองข้างขึ้นเพื่อส่งสัญญาณว่ายอมมอบตัวแล้ว
ปล่อยให้ตำรวจที่อยู่รอบด้านพุ่งไปควบคุมตัวเขาไว้ก็ไม่มีการลังเลเลย กลับกันลุงไชลด์ได้มองทะลุผ่านผู้คน แล้วจ้องไปทางลี่เฉินซีด้วยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด รอยยิ้มนั้นเหมือนกำลังท้าทาย และเหมือนกำลังระบายอารมณ์อยู่ ยิ่งเหมือนกำลัง……วางแผนอะไรอยู่!
ลี่เฉินซีอดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ ลี่หมิงได้กระโจนมากอดเขาไว้จากที่ที่ห่างออกไปไม่ไกล “แดดดี๊!”
เขารีบนั่งยองๆ คอยเช็คร่างกายของลูกชายอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?อื๊ม?”
ลี่หมิงส่ายหัว “ไม่ครับ อีกอย่างผมยังได้เจอหม่ามี๊ด้วยครับ อ้อใช่ แดดดี๊รีบไปช่วยหม่ามี๊เร็วๆ ครับ คุณอาที่ชั่วช้าคนนั้นได้เอาตัวหม่ามี๊ไปแล้วครับ!”
สีหน้าของลี่เฉินซีมืดมน เมื่อครู่ตำรวจได้ห้อมล้อมที่นี่ไว้หมด สังเกตการณ์ดูคร่าวๆ ไม่พบร่างเงาของอานเจียเย้นกับซูย้าว เขาก็เดาได้แล้วว่ามีการเปลี่ยนแปลงกะทันหันอีกแล้ว ส่วนรายละเอียดอานเจียเย้นจะพาเธอไปที่ไหน……
“ไม่ต้องรีบนะ แดดดี๊กับลุงตำรวจทั้งหลายจะตามหาหม่ามี๊แน่นอน หมิงเอ๋อ ช่วงนี้ให้ลูกลำบากใจแล้ว!”ลี่เฉินซีอุ้มลูกขึ้นมา พร้อมจับแก้มของลูกอย่างสงสาร
ลี่หมิงกลับส่ายหัว “ไม่ลำบากใจครับ ขอแค่สามารถทำให้หม่ามี๊ปลอดภัย ผมไม่รู้สึกลำบากใจเลยสักนิดครับ!”
“แต่แดดดี๊ครับ ตอนที่คุณอาชั่วช้าพาตัวหม่ามี๊ไป ถ้าผมก็สามารถไปด้วยก็ดีแล้ว แบบนี้ก็จะสามารถส่งโลเคชั่นให้แดดดี๊แล้ว แต่ตอนนี้……”
ช่วงนี้ ทุกครั้งล้วนแล้วแต่เป็นลี่หมิงดัดแปลงของสารพัดอย่าง คิดหาวิธีติดต่อลี่เฉินซี ส่งพิกัดให้เขา ไม่งั้น อานเจียเย้นมีบริวารมากมาย อีกทั้งยังอยู่ทุกซอกทุกมุม อยากตามหาจนทั่วทุกทิศ มันจะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร?!
นี่ก็เป็นแผนการที่สองพ่อลูกวางแผนตกลงกันไว้ ถึงแม้อันตราย แต่ก็ถูกบีบจนหมดหนทาง
“ไม่เป็นไร แดดดี๊จะต้องหาหม่ามี๊เจอแน่นอน!”ลี่เฉินซีพูดกับลูกไปคร่าวๆ ไม่กี่คำ เพราะยังมีเรื่องเร่งด่วนต้องทำอีก ได้แต่เอาลี่หมิงให้ตำรวจหญิงดูแลก่อน
ทางตำรวจได้ประชุมกัน และมุ่งเป้ามายังการห้อมล้อมจับกุมของครั้งนี้ แล้วก็เส้นทางหลบหนีกะทันหันของอานเจียเย้น และตัวประกันที่ยังควบคุมอยู่ในมือของเขา ต่อจากนี้จะช่วยเหลือยังไง ตามหายังไง ล้วนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการทันทีหมด
ทั้งกระบวนการลี่เฉินซีไม่ได้พูดอะไร พอแน่ใจความปลอดภัยของลูกชายแล้ว ทำให้เขาโล่งอกลงไม่น้อยเลย ต่อจากนี้คือซูย้าวแล้ว……
เหมือนเขานึกอะไรขึ้นมาได้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นได้ตกใจ ถึงค่อนข้างเหลือเชื่อ แต่พอคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้แบบนี้ เขารีบพูดว่า “ถ้าอานเจียเย้นในตอนนี้ ไม่ใช่หนีไปไกลๆ อย่างจนแต้ม แต่คือ……”
เมื่อครู่ตอนที่ลุงไชลด์ถูกจับ ทำไมถึงได้ง่ายขนาดนี้ นี่มันเหนือจินตนาการของทุกคนชัดๆ
ลุงไชลด์น่าจะถือเป็นคนที่สนิทชิดเชื้อของอานเจียเย้นที่สุด เทียบเท่าคนที่สนิทที่สุด ยามคับขันนี้ ถ้าตัดเรื่องที่เขาอยากดึงคนอื่นมาเป็นแพะรับบาปไป ที่มากกว่าคืออะไร?
คือสละชีวิตตนเองเพื่อช่วยเหลือเจ้านาย!
ดังนั้นลุงไชลด์ถึงได้เป็นฝ่ายวางอาวุธมอบตัวเอง เพราะเขารู้ว่าหลังจากตนเองถูกจับกุม ก็จะสามารถกลายเป็นแพะรับบาปของjokeอย่างสง่าผ่าเผยโดยตรง เขาต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญสุดท้ายที่อานเจียเย้นเก็บเอาไว้!
แบบนี้ ถึงอานเจียเย้นถูกจับกุม ก็มีโทษฐานมากมายที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถฟ้องร้องโดยตรง สุดท้ายมีการช่วยเหลือของทนายอีก อยากหลุดพ้นความผิดหรือว่าได้รับโทษสถานเบา ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลย
อยากจู่โจมมาอีกครั้ง หวนกลับมามีอำนาจอีก ยิ่งง่ายและสบายเข้าไปใหญ่!
“หรู่โจว” จู่ๆ ลี่เฉินซีได้บอกที่อยู่ที่หนึ่งออกมา “หรู่โจวเป็นที่ที่วัยเด็กเขาเคยใช้ชีวิตด้วยกันกับแม่เลี้ยง และเป็นที่ที่เขาเคยมีความสุขมากที่สุดในชีวิตเท่าที่เขาจำความได้ เวลานี้เขาน่าจะเลือกที่หรู่โจว!”
อานเจียเย้นในตอนนี้ สิ่งที่จะทำจริงๆ ไม่ใช่หนี ถ้าถูกจับกุมอย่างปล่อยไปเป็นตามธรรมชาติ
เขามีเกราะกำบังมากมาย มีเกราะกำบังที่เขาควบคุมและบังคับเอง และมีเกราะกำบังที่เขาค่อยๆ ฝึกฝนออกมา แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ตอนที่ถูกบีบจนหมดหนทาง ข้างกายเขายังมีลุงไชลด์ที่ฝีมือเก่งกาจที่สุดคนนี้ ตอนที่ลุงไชลด์ดื้อดึงที่จะอยู่ต่อ ในใจของทั้งสองก็น่าจะมีฉันทามติอันนี้แล้ว
สาเหตุที่ลุงไชลด์ให้เขาจากไป น่าจะเพราะอยากให้โอกาสเขาได้รอดชีวิตอีกครั้ง ถ้าไม่สามารถหนีไปได้อย่างราบรื่น งั้นก็ถูกจับกุมอย่างราบรื่น
ลี่เฉินซีเข้าใจในทันที ทำไมเขาถึงมองข้ามจุดนี้ไปได้นะ?
บทวิเคราะห์ของทางตำรวจแตกต่างกับของเขาไม่มาก แต่ทางตำรวจยืนกรานแสดงความคิดเห็นว่า หรู่โจวมีประชากรหนาแน่น เป็นเมืองใหญ่ ถ้าปะทะกันจริงๆ คนอื่นจะได้รับบาดเจ็บอย่างไม่เลี่ยงไม่ได้ ไม่ถึงคราวจำเป็นที่สุดห้ามยิงเด็ดขาด จะต้องรับประกันความปลอดภัยของตัวประกันและผู้คนที่บริสุทธิ์ก่อน
หลังจากมอบหมายทุกอย่างจนเหมาะสมแล้ว ตอนที่ทุกคนจะมุ่งหน้าไปที่หรู่โจว ลี่หมิงไม่รู้ไปได้ยินอะไรมาจากที่ไหน ได้วิ่งมาหาลี่เฉินซีจากทางตำรวจหญิงอย่างไม่แคร์อะไรเลย
“แดดดี๊ อาจจะไม่ใช่หรู่โจวครับ!”ลี่หมิงวิ่งไปด้วยและพูดไปด้วย ระหว่างทางไม่ใกล้ไม่ไกล แต่กลับทำให้เด็กค่อนข้างหายใจหอบ “ผมจำได้ว่าเคยได้ยินพวกเขาบอก มีอยู่ที่หนึ่งที่สามารถมองเห็นหรู่โจว รู้สึกเหมือนยังมีความหมายที่สำคัญมากด้วย สถานที่นั้นชื่ออะไร……เกาะอะไรนะ……”
“เกาะอันเอ๋อร์!”ลี่เฉินซีตอบสนองต่อคำพูดลูกชายอย่างรวดเร็ว ทำไมเขาเกือบลืมไปเลยนะ?
ก่อนหน้านี้ตอนที่พัฒนาโปรเจ็คเหมืองแร่คาลาเวอไรต์อยู่ ยังมีโปรเจ็คพัฒนาเกาะอันเอ๋อร์ด้วย ในขณะที่ทุกคนมุ่งเป้าไปที่เหมืองแร่คาลาเวอไรต์ แต่กลับละเลยอันนี้ไป
ตำแหน่งของเกาะอันเอ๋อร์ ใกล้กับเมืองชายฝั่งอยู่หลายเมือง เพราะปล่อยร้างมาเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงมีแค่ชาวประมงหรือคนตกปลาที่แวะมาที่นี่ ปล่อยว่างไว้มาประมาณยี่สิบกว่าปีแล้ว
ถ้ามองจากเกาะอันเอ๋อร์ สามารถมองเห็นหรู่โจวจริงๆ ……
ทุกคนไม่อยากปล่อยเบาะแสนี้ไปเลย ได้รีบหาแผนที่ภูมิประเทศของเกาะอันเอ๋อร์ออกมา พร้อมเริ่มหารือวางแผนกำลังคน
……
แต่ในขณะเดียวกัน หลังจากลั่วปินขับเฮลิคอปเตอร์มานับชั่วโมง สุดท้ายได้จอดลงที่เกาะอันเอ๋อร์อย่างราบรื่น
ใกล้จะเช้าตรู่แล้ว พระอาทิตย์ขึ้นตรงขอบฟ้า ถึงแม้บนเกาะรกร้างมาก แต่วิวทิวทัศน์สวยงามมาก
สิ่งที่ทำให้ซูย้าวคิดไม่ถึงคือ เธอนึกว่าอานเจียเย้นจะหนีไปที่อื่น คิดไม่ถึงว่าจะมาแค่ที่นี่ ยังมีลั่วซีที่ก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏตัวสักทีอีก นาทีนี้ก็กัดอมยิ้มไว้ กวักมือให้พวกเขาด้วยรอยยิ้ม
ไม่รู้เมื่อไหร่ ที่นี่ได้ถูกคนสร้างบ้านเล็กๆ ไว้หลังหนึ่ง ไม่ใหญ่ แต่ก็ถือว่ามีครบครันหมด ลั่วซีได้ทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อย เรียกพวกเขาไปกินข้าวกัน
อานเจียเย้นไม่รู้สึกอยากอาหารเลย แค่เขยิบไปร่างกายพิงอยู่ในเก้าอี้ หันหน้ามองไปยังที่ไหนสักแห่ง เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
ซูย้าวก็ไม่ได้ทานข้าวเหมือนกัน แค่ใช้ภาษามือส่งสัญญาณให้สองพี่น้องไปครู่หนึ่ง ก็ได้ก้าวเท้าเดินไปหาผู้ชาย เขาพิงอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ รูปร่างที่อ้างว้างเหมือนเมืองโดดเดี่ยวที่อ้างว้างเมืองหนึ่ง รอบตัวถูกอบอวลด้วยความเศร้า
เธอมองไปตามสายตาของอานเจียเย้น เห็นเมืองที่ติดกันของทางไกล ตึกสูงระฟ้าเต็มไปหมด เมืองที่หรูหรา เหมือนไลเกอร์ที่แกล้งหลับในช่วงเช้า ส่วนหอไข่มุกที่อยู่มุมสูง ก็คือสิ่งก่อสร้างที่เป็นแลนมาร์คของหรู่โจว
“กำลังคิดถึงแม่เลี้ยงของคุณอยู่เหรอ?” ซูย้าวเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้างๆ เขา “ที่คุณเลือกมาที่นี่ ก็เพื่อรำลึกถึงคุณผู้ชายไม่ใช่เหรอ?”