เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก - ตอนที่ 257 เนื้อย่าง / ตอนที่ 258 ทำงานล่วงเวลา
ตอนที่ 257 เนื้อย่าง
สวีอิ๋งอิ๋งอยู่ในห้องทำงานของเหยียนเฟิงทั้งวัน ระหว่างนั้นก็ไม่มีใครได้เข้าไปด้านใน นอกจากเบลล์แล้วก็ไม่มีใครรู้ถึงการมีอยู่ของสวีอิ๋งอิ๋ง
ตอนเย็นหลังจากเลิกงานแล้ว ตอนสวีอิ๋งอิ๋งควงแขนเหยียนเฟิงเดินออกมาจากห้องทำงานก็ตาขวางมองเบลล์ที่เดินเข้ามาอย่างระแวดระวัง
เบลล์เองก็นึกไม่ถึงว่าจะเจอพวกเขา ก้มหัวทักทายเหยียนเฟิงเล็กน้อย “สวัสดีค่ะท่านประธาน”
“เพิ่งเลิกงานเหรอ” เหยียนเฟิงรู้นิสัยเบลล์ดี เธอจะไม่เข้ามาวุ่นวายเหมือนผู้หญิงคนอื่น
เบลล์พยักหน้า ก่อนจะเอ่ยลาอย่างมีมารยาท “ฉันกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะท่านประธาน, คุณสวี” ก่อนจะรีบเดินผ่านหน้าพวกเขาไปอย่างรวดเร็วจนลับสายตา
ความคิดของสวีอิ๋งอิ๋งเกี่ยวกับสถานะของเบลล์เริ่มสั่นคลอน เขาดูแล้วไม่เหมือนศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ ของเธอเลย….
ท่าทางหวาดระแวงของสวีอิ๋งอิ๋งทำให้เหยียนเฟิงรำคาญ ถ้าไม่ใช่เพราะเอกสารที่เธอส่งมาให้ยังมีประโยชน์อยู่ล่ะก็ เขาก็ไม่อยากเล่นละครกับเธอต่อไปแล้ว
“อยากไปกินข้าวที่ไหน”
“ไปบ้านพี่ดีไหมคะ ฉันทำอาหารง่ายๆ เป็นนิดหน่อย” สวีอิ๋งอิ๋งวอนขอ
“ไม่ดีหรอก ยังไม่ได้เก็บบ้านเลย แถมยังไม่มีวัตถุดิบด้วย เรากินข้างนอกแล้วฉันค่อยไปส่งเธอกลับบ้านดีกว่า” เหยียนเฟิงไม่ให้เธอได้คัดค้าน ขับรถพาเธอไปเข้าร้านเนื้อย่างร้านหนึ่ง
ตอนสวีอิ๋งอิ๋งเห็นป้ายร้านสีหน้าก็แย่ลงทันที ร้านเนื้อย่างที่ราคารวมแล้วไม่เกินสองร้อยหยวนแบบนี้ไม่สอดคล้องกับฐานะของเธอเลยจริงๆ
จู่ๆ เหยียนเฟิงก็อยากกินเนื้อย่างของร้านนี้ขึ้นมา และก็ไม่ได้ถามความเห็นของสวีอิ๋งอิ๋งแต่อย่างใด แต่เห็นสีหน้าของเธอแล้วก็พอจะจับได้ว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่จึงไม่ไปขัด เดินนำเธอเข้าไปด้านใน
ตัวร้านสะอาดสะอ้าน สองด้านของทางเดินยาวนั้นแบ่งเป็นโต๊ะแยกสี่คนต่อหนึ่งโต๊ะ ตรงกลางมีการแบ่งโซนกั้นไว้ นับว่ามีความเป็นส่วนตัวพอสมควร
สวีอิ๋งอิ๋งเลือกนั่งตรงที่นั่งที่อยู่ชิดด้านใน ส่วนเหยียนเฟิงนั่งตรงข้ามกับเธอก่อนจะยื่นเมนูบนโต๊ะให้
สวีอิ๋งอิ๋งโบกมือ ก่อนจะเอ่ยอย่างถ่อมตัว “พี่คุ้นเคยดีพี่ก็สั่งเถอะค่ะ ฉันยังไงก็ได้”
เหยียนเฟิงก็ไม่เกรงใจ เรียกพนักงานมาแล้วขานชื่อของเนื้อชนิดต่างๆ สุดท้ายก็สั่งจานผักรวมเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง
สวีอิ๋งอิ๋งไม่กล้ากินเนื้อเยอะขนาดนั้น แต่ก็ไม่กล้าขัดเหยียนเฟิง นั่งเหม่อมองเตาหินตรงกลางโต๊ะ
พนักงานยกเนื้อและผักหลากหลายชนิดมาเสิร์ฟที่โต๊ะและช่วยพวกเขาย่างเนื้อ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนที่นั่งกินด้วยกันแตกต่างออกไป หรือเป็นเพราะว่าเหตุผลอื่น จู่ๆ เขาก็หมดอารมณ์ มองดูควันไฟบนเตา
นั่งพิงพนักเก้าอี้มองเนื้อที่โดนไฟย่างอย่างเหม่อลอย
เขาเองก็อิจฉาเหยียนเค่อเหมือนกัน เหยียนเค่อสามารถไปทำอะไรมากมายได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสถานะของตัวเอง ได้ลองใช้ชีวิตที่แตกต่างออกไป แต่ในวงการที่เขาอยู่กลับมีจำกัด สถานที่ที่ไป ผู้คนที่เคยพบเจอต่างก็เป็นแค่คนในแวดวงเดียวกัน นอกจากแวดวงนี้เขาก็ไม่รู้แล้วว่าคนในอาชีพอื่นเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร
หลังจากเนื้อถูกย่างจนสุกหมดแล้วก็ถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง เหยียนเฟิงหยิบตะเกียบคีบเนื้อย่างห่อในใบผักสด อ้าปากกัดกินเข้าไปคำใหญ่ เติมเต็มกระเพาะของตน
สวีอิ๋งอิ๋งเห็นท่าทางไร้มาดของเขาก็รับไม่ได้ ยกตะเกียบขึ้นเขี่ยเนื้อไปมา
ให้ผู้หญิงแบบนี้แต่งงานกับเหยียนเค่อ สำหรับเหยียนเค่อแล้วคงเป็นหายนะ เหยียนเฟิงสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ไม่ถูกปากเหรอ”
สวีอิ๋งอิ๋งยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่ค่อยชินน่ะค่ะ”
“ต่อไปถ้าแต่งงานกับเหยียนเค่อแล้วต้องเออออตามกันไปนะ เขาน่ะชอบไปสัมผัสกับชีวิตหลากหลายรูปแบบ” เหยียนเฟิงพบว่าผู้หญิงอย่างสวีอิ๋งอิ๋งไม่ต้องให้ตนแสร้งพูดจาเอาใจเลยด้วยซ้ำ ความทะเยอทะยานของเธอชัดเจนจนเรียกได้ว่า เป็นสิ่งที่ใครเห็นต่างก็ดูออกกันหมด
สวีอิ๋งอิ๋งคัดค้านเสียงเบา “ฉันไม่แต่งกับเขาหรอก ฉันอยากแต่งกับพี่…” เธอพูดเสียงเบา เมื่อพูดจบก็หน้าแดงซ่าน ช้อนตาขึ้นมองปฏิกิริยาของเหยียนเฟิง
เหยียนเฟิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กินอาหารต่อไปอย่างเอาจริงเอาจัง รู้สึกเย้ยหยันในใจ ‘ที่เธออยากแต่งด้วยไม่ใช่ฉัน แต่เป็นตำแหน่งภรรยาเจ้าบ้านตระกูลเหยียนต่างหากล่ะ’
สวีอิ๋งอิ๋งรู้สึกเสียความมั่นใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ท่าทีของเหยียนเฟิงก็เปลี่ยนไปเช่นนี้
ตอนที่ 258 ทำงานล่วงเวลา
ตอนบ่ายเหยียนเค่อมัวแต่เลียนแบบสถานที่นัดบอด พอตกเย็นก็ต้องทำงานล่วงเวลาอย่างช่วยไม่ได้
เซ่าหมิงฟ่านโทรศัพท์มาถามไถ่เหยียนเค่อที่งานยุ่งจนแทบจะตายอยู่รอมร่ออย่างห่วงใย
“เป็นไงบ้าง มีความสุขจนจะตายเลยใช่ไหม”
“ไสหัวไป!” เหยียนเค่อปรับกำหนดการใหม่ล่าสุดของแต่ละแผนก ปล่อยเรื่องบุคคลที่น่าสงสัยทิ้งไว้ก่อน
ช่วงหลายวันนี้เซ่าหมิงฟ่านก็เหนื่อยจนแทบกระอัก เพิ่งจะประชุมทางวิดีโอเสร็จ แต่ในความยุ่งนั้นก็ยังแอบอู้มาคุยกับเหยียนเค่อได้
“เดี๋ยวฉันก็กลับอเมริกาแล้ว”
“นายเจอฉินจานแล้วยังคิดอะไรอยู่ไหม”
“ลืมไม่ลงหรอก อยู่ห่างๆ ไว้จะดีกว่า” เซ่าหมิงฟ่านหลับตา ในหัวปรากฏภาพในยามทุกข์และยามสุขของฉินจานตอนสมัยมัธยมต้น
เหยียนเค่อเองก็รู้ว่า ‘ความรักเดียว’ นี้มันทรมานแค่ไหน จึงไม่ฝืนใจเขา “พวกนายสบายใจแล้วปล่อยให้ทุกอย่างถาโถมใส่ตัวฉันเลย สวีอันหรานจะกลับไปที่สวีกรุ๊ป เสิ่นจิ้งเฉินก็จะกลับเมืองหลวง
ฉินซื่อหลานก็เป็นหมอจนลืมอาชีพที่เคยถนัดไปแล้ว ส่วนผู้โชคร้ายอย่างคนนี้ต้องมีสักวันที่เหนื่อยตายแน่นอน”
“นายน่ะนะ?” ถ้าเหยียนเค่อเหนื่อยตาย เขาคนแรกล่ะที่ไม่เชื่อ “ความบันเทิงของฉันในตอนนี้ ก็คือการได้ฟังผู้ช่วยพิเศษทั้งบริษัทมาเล่าประสบการณ์ชีวิตของนายให้ฉันฟังในเวลาว่าง”
ไม่ต้องใช้ผู้ช่วยพิเศษทั้งบริษัทหรอก แค่ผู้ช่วยหวังคนเดียวก็พูดเจื้อยแจ้วเล่าประสบการณ์ชีวิตของเหยียนเค่อได้อย่าง ‘คล่องแคล่ว’ แล้ว
เหยียนเค่อจับเส้นผมอ่อนนุ่มของตัวเอง “อย่าพาผู้ช่วยฉันเสียคนล่ะ”
กลุ่มผู้ช่วยที่ยังนั่งบนโซฟาอยู่เป็นเพื่อนเหยียนเค่อทำงานล่วงเวลามองไปทางนั้นปราดหนึ่ง ความหมายในดวงตาปรากฏเด่นชัด ‘ท่านก็ควรจะบอกตัวเองแบบนั้นเหมือนกันนะครับ’
เซ่าหมิงฟ่านไม่รู้จะทำอย่างไร “ฉันเนี่ยนะพาเสียคน? ให้เกียรติฉันมากไปหรือเปล่า”
“ไว้นัดออกไปเที่ยวกันเถอะ คราวก่อนที่ไปบ้านเสิ่นจิ้งเฉินฉันจะแข็งตายอยู่แล้ว คราวหน้าไปเที่ยวเมืองแถบโซนร้อนกันเถอะ”
“นายรอให้สวีอันหรานแต่งงานฮันนีมูนก่อนเถอะ” เซ่าหมิงฟ่านพูดดับความคิดของเขา
ช่วงนี้มีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย ตอนนี้เหยียนเค่อปลีกตัวออกไปเที่ยวไม่ได้จริงๆ
ด้วยอายุที่มากขึ้น ภาระหน้าที่ที่หนักหนามากขึ้น ทุกคนต่างก็ทุ่มเทพยายามอยู่ในสายงานของตัวเอง ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ไม่รู้ว่าจะได้รวมตัวกันอีกเมื่อไร
“ค่อยว่ากันแล้วกัน ตอนนี้พ่อแม่ที่บ้านก็รอให้ฉันหมั้นอยู่” เหยียนเค่อเอ่ยเยาะตัวเอง “ภาพที่ฉันจะได้เล่นเป็นเด็กๆ ยังอยู่ตรงหน้าอยู่เลย แต่พอหันหลังกลับไปก็ต้องมีลูกแล้ว”
ถ้าได้อยู่กับผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไรก็คงไม่เกิดการแบ่งแยกเวลาเช่นนี้ ทุกสิ่งอย่างต่างจะเป็นไปตามธรรมชาติ เพียงแต่พวกเขาตัดสินใจเองไม่ได้ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองชอบ
เซ่าหมิงฟ่านไม่เก็บเอามาใส่ใจ ใช้น้ำเสียงสนุกสนานมาทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง “ฉันต้องแต่งงานช้ากว่านายแน่ๆ ฉันไม่อยากให้ลูกชายฉันโดนลูกชายนายรังแก”
“ถ้าอายุน้อยกว่าลูกชายฉันก็หนีช่วงวัยเด็กที่โดนรังแกไปไม่พ้นหรอก” เหยียนเค่อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อชีวิตที่เหลือของคุณอยู่ตรงหน้าจนสามารถจับต้องได้แล้ว คุณยังจะสามารถเลือกอะไรได้อีก?
เซ่าหมิงฟ่านกวักมือให้ผู้ช่วยที่ยืนอยู่ด้านหน้าเป็นเชิงให้เขาเข้ามาด้านใน ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม
ผู้ช่วยหยิบเอาซองปึกหนาวางลงบนโต๊ะก่อนจะหมุนตัวกลับออกไป
เซ่าหมิงฟ่านถอนหายใจ แกะซองกระดาษคราฟท์ออกก็เห็นรูปภาพที่อยู่ด้านใน จึงหยิบมาดูสักสองสามใบ
“เป็นอะไรไป” เหยียนเค่อรู้สึกว่าการถอนหายใจไม่ค่อยเหมาะกับสไตล์ของเขาเอาเสียเลย
“พี่ชายนายไปลองสัมผัสกับชีวิตชาวบ้านน่ะสิ เป็นบุญตาฉันจริงๆ” เซ่าหมิงฟ่านมองดูแผ่นหลังของทั้งสองคนก่อนจะเอ่ยอย่างประหลาดใจ
เหยียนเค่อไม่สนใจเท่าไรว่าพี่ชายเขาจะทำอะไร ยิ้มอย่างจนปัญญา “ฉันหวังว่าเขากับสวีอิ๋งอิ๋งจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า อย่ามาจองเวรฉันอีกเลย”
“ฝันไปเถอะ” เซ่าหมิงฟ่านโจมตีเขาอย่างไร้ความปรานี “สวีอิ๋งอิ๋งยังพอว่าง่ายอยู่ ประเด็นอยู่ที่พี่ชายนาย แล้วก็นะ ถึงสวีอิ๋งอิ๋งคนนี้จะหายไปแล้วแต่ก็ยังมีสวีอิ๋งอิ๋งอีกหมื่นพันคนรอนายอยู่”
เหยียนเค่อจะหัวเราะก็ไม่ได้ จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก “นายอย่ามาโจมตีฉันเลยนะ ฉันมีงานต้องทำต่อ วางละ”
ในเขตศูนย์กลางการค้าที่แสงไฟสว่างไสวตลอดทั้งคืน ดวงไฟในชั้นบนสุดค่อยๆ ลับหายไป ท่ามกลางแสงอรุณในยามเช้า