เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก - ตอนที่ 263 เตือน / ตอนที่ 264 ตกแต่ง
ตอนที่ 263 เตือน
“พวกเธอประชุมเรื่องอะไรกันอะ” สวีรั่วชีเคยประชุมแลกเปลี่ยนความคิดมามากมาย แต่ไม่ยักรู้ว่าการวาดการ์ตูนต้องประชุมอะไรด้วย
ซย่าเสี่ยวมั่วที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับสไลด์เพาเวอร์พ้อยต์เลยตลอดการประชุมส่ายหัว “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้สึกว่าจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันนะ” เธอหยิบขนมออกมาจากลิ้นชักแล้วส่งให้สวีรั่วชี สวีรั่วชีโบกมือปัดเป็นเชิงว่าไม่เอา ซย่าเสี่ยวมั่วจึงเอาไปกินเสียเอง
“เธอรีบไปทำงานเถอะ” สวีรั่วชีกลับจากแอฟริกาแล้วก็ขอลาหยุด และวันหยุดก็ยังไม่หมด จึงมีเวลาว่างทุกวัน ว่างเสียจนไปทำงานเป็นเพื่อนซย่าเสี่ยวมั่ว
“ถ้าอย่างนั้นฉันสอนเธอวาดรูปดีกว่า”
“ช่างเถอะ ฉันกลัวเธอจะตีมือฉันจนพิการน่ะสิ”
ตั้งแต่ได้มาทำงาน ซย่าเสี่ยวมั่วก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสมัยมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ดูละครน้ำเน่าไปวาดการ์ตูนไป ถ้าไม่มีอะไรทำก็จะนั่งเหม่อลอย
สวีรั่วชีอ่านหนังสือที่ซย่าเสี่ยวมั่วขนเข้ามาในห้องทำงานอยู่ข้างๆ ต่างไม่รบกวนซึ่งกันและกัน
เหยียนเค่อรู้ว่าสวีรั่วชีมาก็ไม่กล้าเดินลงจากตึก แม้แต่จะกินข้าวก็ต้องให้ผู้ช่วยไปซื้อขึ้นมาให้
“คุณกับหัวหน้าอันศึกษาดูใจกันเป็นยังไงบ้าง” เหยียนเค่อจำผู้ชายที่เมื่อวานจับมือกับอันหร่านได้ มองดูกล่องข้าวตรงหน้าที่ถูกเปิดออกแล้วหยิบตะเกียบออกมาเตรียมตัวกินข้าว
ผู้ช่วยยิ้มอย่างขัดเขิน “ก็โอเคครับ หัวหน้าอันร่าเริงดี…”
“ถ้างั้นคุณก็จับให้อยู่หมัดล่ะ” เหยียนเค่อเบ้ปาก แต่ในใจกลับคิดว่า ‘แต่งงานหรือจะสบายกว่าอยู่เป็นโสด อยากทำอะไรก็ได้ไม่มีใครมาคอยคุม’
เหยียนเค่อกินข้าวเสร็จก็โบกมือไล่ให้เหล่าผู้ช่วยไปพัก ก่อนจะกลับไปนอนบนโซฟาต่อ
เสิ่นจิ้งเฉินที่มุ่งมั่นตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้า ศึกษาหนังสือเล่มหนาอยู่สี่ชั่วโมงกว่า สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปบนโซฟาเช่นกัน
ตอนเที่ยงซย่าเสี่ยวมั่วจะลากสวีรั่วชีไปกินข้าวที่ร้านอาหารให้ได้ แต่หลังจากเห็นเซียวอู๋อี้อีกครั้งก็เริ่มสองจิตสองใจ
สวีรั่วชีดึงตัวเธอไว้ ก่อนจะเดินคอตั้งหลังตรงอย่างองอาจต่อไปข้างหน้า แผ่รรังสีกดออร่าความแม่พระของเซียวอู๋อี้เสียจมดิน
“เธอไม่ได้ทำผิดอะไรซะหน่อย จะหลบเขาทำไมเล่า!” สวีรั่วชีเขกกะโหลกเธอไปหนึ่งทีอย่างหงุดหงิด
“ฉันเห็นเขาก็หมดอารมณ์กินข้าวแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วคิดเผื่อกระเพาะตัวเองทั้งนั้น “แล้วฉันก็ผ่านช่วงอายุที่คอยตามด่าพวกผู้หญิงผู้ชายเลวๆ แล้ว”
“ใจใหญ่แต่กระเพาะใหญ่กว่าสินะ”
เซียวอู๋อี้เห็นใบหน้าตรงของสวีรั่วชี ก็มั่นใจว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นที่เดินสวนกับเธอเมื่อหลายปีก่อน
เธอรู้ตัวตนของสวีรั่วชี คิดไม่ถึงว่ารอบตัวของซย่าเสี่ยวมั่วล้วนมีแต่เพื่อนที่สูงส่งเช่นนี้ เพื่อนเก่าของเธอคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
“อยู่ให้ห่างจากซย่าเสี่ยวมั่วหน่อย อย่าเอาวิธีสกปรกของเธอมาใช้กับเขา” สวีรั่วชีมองหญิงสาวที่ยืนต่อแถวซื้อข้าวอยู่ด้านหน้า ก่อนจะเอ่ยเสียงเยียบเย็นกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง
สวีรั่วชีรู้ว่าเซียวอู๋อี้เข้าหาหัวหน้าเลขากระทรวงวัฒนธรรมของเมือง N ขายตัวเองเพื่อให้ได้คนที่คอยหนุนหลังมา ฟังแล้วทั้งรู้สึกสะอิดสะเอียนและน่าสงสารไปในที แต่คนที่น่าสงสารมักจะมีจุดที่ทำให้คนไม่ชอบใจเสมอ เรื่องที่เขาทำไว้กับซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็น
“เสี่ยวชี!” ซย่าเสี่ยวมั่วเบียดออกมาจากกลุ่มคน เห็นเซียวอู๋อี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างสวีรั่วชีก็ขมวดคิ้วมุ่น แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เซียวอู๋อี้ยิ้มทักทายเธอ “มั่วอวี๋พอจะปรับตัวได้หรือยัง”
“อ๋อ ก็พอได้อยู่น่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วยิ้มให้เธอ แต่ก็ไม่อยากพูดคุยสัพเพเหระกับเธอต่อ จึงควงแขน
สวีรั่วชีแล้วเดินออกไปด้านนอก
เธอมองคนที่ยิ่งเดินออกไปไกล หมัดที่กำไว้ก็คลายลง ซย่าเสี่ยวมั่วเธอคิดว่ามันจะจบแล้วอย่างนั้นเหรอ นี่ก็แค่การเริ่มต้นเท่านั้นแหละ
ผู้ช่วยที่ไปซื้อข้าวให้เซียวอู๋อี้กลับมาก็เห็นว่าเธอสีหน้าไม่ดีนักจึงไม่กล้าปริปากพูดอะไร ทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆ เธอเป็นท่อนไม้เท่านั้น รู้จักกันมาก็หลายปีแล้ว เธอรู้นิสัยเซียวอู๋อี้ดี ตอนอยากเป็นแม่พระก็ใจดีจนน่ากลัว แต่พอไม่ได้ดั่งใจก็จะอาละวาด
ตอนที่ 264 ตกแต่ง
เมื่อถึงตอนบ่าย ซย่าเสี่ยวมั่วก็ถูกสวีรั่วชีลากไปให้ไปดูเรือนหอ
“พวกเธออย่าโชว์สวีตกันไปพร้อมกับการอวดรวยได้ไหม ฉันรู้สึกว่าตาฉันจะบอดอยู่แล้ว”
ซย่าเสี่ยวมั่วมองดูหมู่บ้านคนรวยราคาแพงแล้วก็อยากจะหันหลังเดินกลับเสียจริง
“ให้เธอมาศึกษาดูไง” สวีรั่วชีหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูด้วยท่าทางเท่ๆ
ยังไม่ทันที่ซย่าเสี่ยวมั่วเดินเข้าไปก็รู้สึกหมดคำพูดกับการจัดแต่งภายใน หยุดอยู่ที่หน้าประตู
“ทำไมไม่เข้ามาล่ะ” สวีรั่วชีมองซย่าเสี่ยวมั่วที่ยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าของซย่าเสี่ยวมั่วฉายแววผิดหวังที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“นี่เจ๊ ทำไมเธอทำห้องขนาดร้อยสามสิบตารางเมตรให้มีความรู้สึกเหมือนแค่แปดสิบตารางเมตรอย่างนี้ล่ะ!” ซย่าเสี่ยวมั่วตะลึงไปแล้วจริงๆ “สายตาเธอมีปัญหาหรือเปล่า”
“เธอน่ะสิมีปัญหา!” สวีรั่วชีฟังเธอพูดเช่นนี้แล้วก็รู้สึกว่าภายในห้องให้ความรู้สึกขัดกันไปหมด
“ทำให้บ้านเดี่ยวกลายเป็นคอนโดที่อยู่แบบนี้ก็มีอยู่คนเดียวจริงๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วมือเท้าเอวราวกับคนหมดแรง “ฉันไม่อยากดูแล้ว ด้านในบ้านทำลายความงามของด้านนอกไปหมดเลย”
“เว่อร์ขนาดนั้นเลยเหรอ” สวีรั่วชีมองดูห้องที่เธอคิดว่าจัดแต่งได้อย่างอบอุ่นและหวานชื่นแล้ว แต่ตอนนี้ดูแล้วก็รู้สึกว่ามันเห่ยไปนิดหน่อย…
“ถ้าเธอแขวนโคมไฟคริสทัลในห้องรับแขกยังพอรับได้นะ แต่ดันติดไฟสีหม่นที่ใช้ในห้องอาหารซะงั้น สวีอันหรานล้มละหลายแล้วหรือไง” ซย่าเสี่ยวมั่วจ้องมองดวงไฟสีส้ม เขียว เหลือง แดงกลุ่มนั้นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่สายตาจะหันไปทางผนังที่มีโทรทัศน์ติดไว้ “เธอจะทำให้เป็นสไตล์จีนก็ได้นะ แต่จะให้มันเป็นจีนจ๋าแบบนี้จริงๆ อย่างนั้นน่ะเหรอ”
ซย่าเสี่ยวมั่วพูดๆ ไปแล้วก็หัวเราะออกมา “สวีอันหรานนี่ตามใจเธอน่าดูเลยนะ”
สวีรั่วชีมุดตัวลงกับโซฟาอย่างเขินอาย “แล้วเธอว่าควรจะทำยังไงดี”
“มีแค่โซฟาที่ดีหน่อย แต่สีเทาเข้มจะทำให้สีโดยรวมดูมืด” ซย่าเสี่ยวมั่วมองไปรอบๆ หนึ่งที ดูไม่ได้เลยสักตรง ก่อนจะโอดครวญ “ทำไมต้องให้คนที่เคยเรียนออกแบบภายในอย่างฉันมาเห็นการตกแต่งแบบนี้ด้วยนะ!”
“ไม่ต้องพูดมาก แก้ให้ฉันทั้งหมดนั่นล่ะ ฉันจ่ายค่าแรงให้ก็ได้” สวีรั่วชีตบบ่าเธอ แล้วเอาภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ให้เธอไปทำแทน
“เธอจะแต่งกับสวีอันหรานนะ บ้านของคนสองคนแต่ไม่ได้แสดงออกถึงความรักที่เธอมีต่อ
สวีอันหรานสักนิดเลย ฉันทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว หรือไม่ก็ไม่ต้องแต่งมันซะเลย” ซย่าเสี่ยวมั่วปากพูดบ่นไม่หยุด แต่ก็ช่วยโทรศัพท์ติดต่อหาคนมาช่วย
สวีรั่วชีมองไปรอบๆ “แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็พอได้อะ ยังไงซะก็ยังอยู่ได้” ซย่าเสี่ยวมั่วเอารูปในโทรศัพท์ให้เธอดู “ไฟแบบนี้ได้ไหม”
ซย่าเสี่ยวมั่วดูดวงไฟคริสทัลห้อยระย้า ประณีตงดงามราวกับของประดับ
“ไฟแบบนี้เธอจะติดกี่อันก็ได้ ถึงจะติดเยอะแต่ก็จะไม่รู้สึกว่าดูรกเกินไป พอใช้ได้อยู่”
ก่อนหน้านี้สวีรั่วชีไม่ได้ใส่ใจนัก สวีอันหรานเอารูปให้เธอดูเธอก็เลือกแบบขอไปที ก็เลยออกมาเป็นสภาพแบบนี้ ตอนนี้ตัดสินใจแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งหมดแล้ว จึงตั้งใจเลือกสรรเป็นอย่างดี แต่ซย่าเสี่ยวมั่วตามีแววจริงๆ
“ฉันก็ว่าดีเหมือนกัน ทำไมตอนนั้นเธอไม่ช่วยฉันตกแต่งคอนโดฉันล่ะ”
“เธอเห็นฉันทำงานตกแต่งบ้านหรือไง ใช้งานฉันเยอะเกินไปก็ดูไร้ราคา” ซย่าเสี่ยวมั่วกดสั่งของทันที รวมทั้งเลือกวอลล์เปเปอร์ติดผนังให้เธอด้วย “เธอรู้หรือเปล่าว่าชื่อของสวีอันหรานมีที่มาจากอะไร หรือว่าชอบเครื่องหมายอะไรแบบนี้บ้างไหม”
สวีรั่วชีตอบทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด “ไม่รู้อะ” ก่อนจะพูดอย่างคลุมเครือ “น่าจะมาจาก ‘ถ้าถามข้าว่าเหตุใดจึงอยู่คนเดียวอย่างสุขสบาย[1] ก็เพราะว่าไม่ต้องมาคอยกังวลเรื่องความหิว ความหนาวและเรื่องแต่งงานอย่างไรเล่า’[2] มั้ง?”
“พ่อแม่เขาก็ซื่อดีนะ ขอแค่ให้เขากินอิ่มใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ หาเมียได้ก็พอแล้ว ฮ่าๆๆๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วหัวเราะ
สองสาววิ่งวุ่นอยู่รอบห้องรับแขกตลอดทั้งบ่าย สิ่งที่พอจะเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนทั้งหมด
——
[1] ชื่อของอันหราน แปลว่าสุขสบาย ในภาษาจีน
[2] จากบทกวีชื่อ ‘มอบให้เพื่อนบ้านที่ไปมาหาสู่กัน’ ของไป๋จวีอี้ กวีผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ถัง