เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก - ตอนที่ 451 การปฏิบัติที่แตกต่าง / ตอนที่ 452 ขอความช่วยเหลือ
- Home
- เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก
- ตอนที่ 451 การปฏิบัติที่แตกต่าง / ตอนที่ 452 ขอความช่วยเหลือ
ตอนที่ 451 การปฏิบัติที่แตกต่าง
กว่าสวีอันหรานจะมาถึงเมืองหลวงก็มืดแล้ว ตอนนั้นเหยียนเค่อก็นอนหลับอยู่ในบ้านของ
เสิ่นมั่วหลีเป็นที่เรียบร้อย
“คืนนี้ฉันต้องไปเซ็นสัญญา จะไปพักที่โรงแรมเลย เหยียนเค่อ…”
สวีอันหรานครุ่นคิด ไม่รู้ว่าควรจะวางแผนอย่างไรดี ส่วนเสิ่นมั่วหลีก็พูดกับสวีอันหรานโดยไม่ได้คิดอะไร “ถ้าไม่กระทบกับตารางงานของเขา ก็ให้พักที่บ้านฉันก่อนก็ได้”
สวีอันหรานไม่อยากจะเชื่อหู เสิ่นจิ้งเฉินกำชับแล้วกำชับอีกว่าถ้ามีธุระอะไร ต่อให้จะเดินทางมาหาเขาก็เถอะ แต่ก็ห้ามไปรบกวนพี่ชายเขาเด็ดขาด เขาบอกว่าเสิ่นมั่วหลีไม่ชอบความยุ่งยาก แต่ตอนนี้กลับไม่รังเกียจความยุ่งยากที่ชื่อว่าเหยียนเค่อเลยสักนิด
จากนั้นเสิ่นมั่วหลีก็พูดขึ้นช้าๆ “เขาขนกระเป๋าเข้ามาแล้ว ถ้าจะขนออกมาอีกก็ยุ่งยากเกิน”
“เอ่อ…โอเค” สวีอันหรานไม่รู้จะคุยอะไรกับเขา ไม่ใช่ว่าสวีอันหรานพูดคุยไม่เก่ง เพียงแต่เจอคนเย็นชาแบบนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็คงใบ้กินกันทั้งนั้น
“ตอนนี้เหยียนเค่อทำไมอะไรอยู่เหรอ” สวีอันหรานพยายามหาเรื่องคุยกับเสิ่นมั่วหลี
เสิ่นมั่วหลีตอบอย่างสั้นกระชับ “หลับ”
หลับไปแล้วหรือเนี่ย นี่เป็นสิ่งที่นอกเหนือจากความคาดหมายของสวีอันหราน เขาบอกว่านอนไม่หลับมาหลายวันแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร
เสิ่นมั่วหลีเองก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม
ความจริงหลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ เหยียนเค่อก็นั่งอยู่บนโซฟา อยากจะนอนก็นอนหลับไม่สนิท เสิ่นมั่วหลีเห็นแก่ที่เขาทำอาหารให้ จึงใจดียอมจุดเทียนหอมช่วยให้หลับให้เขา
เจ้าหมอนี่อายุน้อยกว่าเขาแท้ๆ แต่ทำไมดูแล้วถึงดูสุขุมและสันโดษเช่นนี้นะ หรือว่าจะอยู่บนโลกนี้มาเป็นพันๆ ปีแล้วกันนะ? สวีอันหรานเหม่อลอย ไม่เข้าใจว่าทำไมตอนเผชิญหน้ากับเสิ่นมั่วหลี เขาถึงเกิดความรู้สึกถึงความแตกต่างด้านอายุอย่างชัดเจนได้ถึงขนาดนี้
เสิ่นมั่วหลีพาเขามาส่งแล้วก็กลับออกไปทันที สวีอันหรานจึงโทรศัพท์ไประบายกับสวีรั่วชี
“พี่ชายเสิ่นจิ้งเฉินน่ากลัวชะมัดเลย ยังมาแย่งเหยียนเค่อไปจากฉันอีก!”
สวีรั่วชีคิดในใจ ‘แย่งไปได้ก็ดี’ แต่ปากกลับเอ่ยปลอบแบบขอไปที “พี่บอกว่าเขาไม่ชอบพูดไม่ใช่เหรอ จะไปชอบเหยียนเค่อได้ยังไงล่ะ”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้” สวีอันหรานร่ายเหตุการณ์ที่สังเกตุได้ถึงความผิดปกติออกมาทีละข้อ
สวีรั่วชีทำหน้าเอือม อยากจะตบเรียกสติเขาสักฉาด
“เหยียนเค่อเป็นของซย่าเสี่ยวมั่ว พี่หยุดคิดไปได้เลย” เธอไม่อยากจะพูดกระทบเขาเลยจริงๆ
สวีอันหรานถอนหายใจอย่างหดหู่ “ความจริงฉันกำลังกลุ้มใจแทนเหยียนเค่ออยู่นะ ถ้าเขาเป็นเกย์ต้องเป็นที่หมายตาของลูกชายคนโตบ้านเสิ่นแน่เลย นี่มันคงเป็นเรื่องน่าเศร้ามากเลยนะ”
เขาจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าผู้ชายเย็นชาสองคนจะหลอกล้อกันด้วยคำว่า ‘หวานใจ’ ‘ที่รัก’ อะไรแบบนี้ เป็นฉากที่พิสดารเหลือเกิน
สวีรั่วชีหัวเราะ รู้อยู่แล้วว่าผู้ชายของเธอต้องไม่พอใจ “พี่ก็ยุยงให้สมหวังเลยสิ พี่ชายเสิ่นจิ้งเฉินคงหน้าตาดีกว่าสวีอิ๋งอิ๋งอยู่หรอก”
ถึงแม้ว่าสวีอันหรานไม่อยากจะยอมรับ แต่ความจริงก็คือเสิ่นมั่วหลีหน้าตาดีกว่าเหยียนเค่อนิดหน่อย แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เขาเห็น เพียงแต่เสิ่นมั่วหลีคงไม่ได้สนใจเหยียนเค่ออยู่แล้ว ถ้าเขาเป็นผู้หญิงก็คงไม่เลือกเสิ่นมั่วหลีแน่นอน
“ก็พอได้มั้ง ดูดีกว่าสวีอิ๋งอิ๋ง แต่หัวใจผู้ชายของเธอหล่อกว่า”
“จ้าๆๆ พี่หล่อที่สุดแหละ” คำที่ใช้หลอกล่อก็ล้วนแต่เป็นคำโกหกด้วยความปรารถนาดี สวีรั่วชีชมเชยแฟนของตนโดยไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด ราวกับคนที่เปิดคลิปเหยียนเค่อขี่ม้าขึ้นมาดูอีกครั้งในวันนี้ไม่ใช่เธออย่างไรอย่างนั้น
สวีกรุ๊ปมีบริษัทลูกอยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด ครั้งนี้ที่สวีอันหรานมาก็เพื่ออยากจะขยายกิจการ ปูทางให้ YAN ดังนั้นเขาจึงมีสัญญามากมายที่ต้องเจรจา มีหลายคนที่ต้องไปพบปะ ไม่ได้มีเวลาว่างเหมือนเหยียนเค่อ
“ฉันไปทำงานก่อนนะ ใกล้จะเริ่มแล้ว” สวีอันหรานจับโทรศัพท์ไว้ไม่อยากจะวางสาย
สวีรั่วชีเข้าใจเขา ก่อนวางสายก็ยังเอ่ยเตือนเขาอย่างเข้มงวด “ใครให้อะไรมาพี่ก็เอาคืนเขาไปให้หมดเลยนะ!”
“ครับๆ ไม่มีใครสวยเท่าเสี่ยวชีของฉันหรอก”
สวีรั่วชีแค่นเสียงเหอะ ถ้าสวีอันหรานกล้ามีคนอื่นล่ะก็ เธอเอามีดผ่าตัดไปหั่นสวีอันหรานออกเป็นชิ้นๆ แน่
ตอนที่ 452 ขอความช่วยเหลือ
เหยียนเค่อหลับไปตื่นหนึ่งก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น จึงเดินลงด้านล่างเพื่อจะทำของว่างมื้อดึก ก็เห็นว่าไฟผนังในห้องรับแขกยังสว่างอยู่ ตรงหน้าเสิ่นมั่วหลีมีหนังสือวางอยู่สองเล่ม พู่กันในมือของเขาตวัดฉวัดเฉวียน รวดเร็วกว่าเขาตอนใช้ปากกาเป็นไหนๆ
เขาหมุนตัวโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเดินเข้าไปทำอาหารในครัวอย่างเงียบเชียบ
ทำไมลูกพี่ลูกน้องถึงมีความแตกต่างมากถึงเพียงนี้นะ เหยียนเค่องุนงง ถึงแม้ว่าเสิ่นจิ้งเฉินจะไม่ได้เที่ยวเล่นทั้งวัน แต่เวลาที่ตั้งใจทำงานก็ไม่ได้มากเท่าไร ส่วนชีวิตของเสิ่นมั่วหลีก็ล้วนแต่หมุนรอบอาชีพการงานของตัวเอง
คราวนี้เสิ่นมั่วหลีรู้สึกว่าเหยียนเค่อเดินลงไปด้านล่างแล้ว อย่างไรเสียก็มีใครคนหนึ่งเพิ่มเข้ามาในชีวิตน่ะนะ ขยับนิดหน่อยเขาก็รู้แล้ว
ถ้าตนแต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้ก็ใช่ว่าจะยอมรับไม่ได้เสียทีเดียว เสิ่นมั่วหลีรู้สึกว่าตัวเองคิดเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่ จึงขยับพู่กันให้เร็วขึ้น อยากเขียนให้เสร็จเร็วๆ เพื่อที่จะได้เข้านอนเสียที
เหยียนเค่อกำลังกินบะหมี่ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนที่ยืนดื่มน้ำอยู่ตรงหน้าตน
เสิ่นมั่วหลีสวมเสื้อผ้าหลวมโคร่ง ด้านนอกสวมเสื้อคลุมตัวยาวหนึ่งตัว ราวกับเทพบุตรอย่างไรอย่างนั้น…
เหยียนเค่อก็ไม่รู้ว่าคิดอย่างไรเหมือนกัน เอ่ยถามเสิ่นมั่วหลีอย่างเลื่อนลอย “กินไหม”
เสิ่นมั่วหลีกลับรู้สึกว่ามันช่างน่าขัน ถึงแม้ว่าบะหมี่ที่เหยียนเค่อทำจะหน้าตาไม่เลว รสชาติก็ดีเยี่ยม แต่ดึกขนาดนี้แล้วเขาไม่คงไม่หาอะไรใส่ท้องแล้วล่ะ
“ไม่ล่ะ ฉันกินข้าวเย็นแล้ว” เขาจัดสรรเวลาได้อย่างมีมาตรฐาน ไม่ค่อยนอนดึก กินอาหารครบสามมื้อเป็นประจำ
เหยียนเค่อก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ต่อไป จู่ๆ ก็นึกถึงเทียนหอมที่เขาจุดวันนี้ จึงเอ่ยถาม “นายจุดเทียนหอมให้ฉันหน่อยได้ไหม”
ตรงไปตรงมาดีเสียจริง ไม่กลัวว่าในเทียนหอมจะมีสารพิษเลยสักนิด
เสิ่นมั่วหลีดื่มน้ำไปครึ่งแก้ว ครุ่นคิดก่อนจะตอบรับ “ได้สิ แต่ถ้าจุดเยอะไปแล้วจะติดนะ”
เหยียนเค่อพยักหน้า ถึงติดก็ดีกว่านอนไม่หลับล่ะนะ
“ความจริง บาดแผลในใจก็ต้องรักษาด้วยยาใจนะ” เสิ่นมั่วหลีพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่กลับทำให้เหยียนเค่อเข้าใจทุกอย่าง
“แต่ยาใจก็หาได้ยากเหลือเกินนี่นะ” ที่เหยียนเค่อพูดคือความคิดที่อยู่ในใจเท่านั้น ไม่ได้อยากจะเถียงเสิ่นมั่วหลีแต่อย่างใด
เสิ่นมั่วหลีไม่ได้ตอบ ยกแก้วน้ำแล้วเดินออกไปทันที จะหายาใจได้หรือเปล่าก็ไม่เกี่ยวกับเขา
เหยียนเค่อยิ้ม ก่อนจะกินบะหมี่ต่อ เหมือนว่าเขาจะเข้าใจแล้ว เสิ่นมั่วหลีคนนี้อาศัยอยู่ในโลกของตัวเองเท่านั้น การมองโลกภายนอกปราดหนึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ทำไปโดยไม่เจตนา คลุกคลีอยู่กับภาพเขียนภาพวาดต่างหากที่เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะกระทำ
ทั้งสองคนมีนิสัยที่แตกต่าง หรือจะพูดได้ว่าทุกคนล้วนมีนิสัยที่แตกต่างกับเสิ่นมั่วหลี
ใกล้ถึงวันขี่ม้าแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วก็รู้สึกร้อนรนเหมือนอับจนหนทาง ดูวิดีโอไปมากมายแต่ก็ยังไม่มีความรู้สึกอะไรเลย แถมยิ่งดูก็ยิ่งกลัวมากกว่าเดิมเสียอีก
ซย่าเสี่ยวมั่วอยากจะระบายความทุกข์กับสวีรั่วชีแต่ก็กลัวโดนสวีรั่วชีทำร้าย อยากจะระบายกับพี่ชาย แต่พี่ชายก็คงไม่เข้าใจเธอหรอก ขณะกำลังนอนพลิกไปพลิกมาอยู่นั้น กลับนึกถึงคนที่ชำนาญในการขี่ม้ายิงธนูอีกคน นั่นก็คือพี่ชายที่ดูผอมกะหร่องจนตัวแทบปลิว แต่ความจริงรูปร่างแข็งแรงของเธอยังไงล่ะ
ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาจะรับสายไหม อย่างไรเสียคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณอย่างเขา การใช้โทรศัพท์มือถือนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่นอกเหนือจินตนาการมาก
ในตอนที่เธอเกือบจะล้มเลิกความตั้งใจนั้น เสิ่นมั่วหลีก็รับโทรศัพท์ในที่สุด ซย่าเสี่ยวมั่วดีใจจนเกือบจะกลิ้งตกเตียง
เสิ่นมั่วหลีเพิ่งรับโทรศัพท์ก็มีเสียงเหมือนปีศาจกรีดร้องดังลอดออกมาระลอกหนึ่ง เขาขมวดคิ้วมุ่น ยกหูโทรศัพท์ออก ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่เปี่ยมไปด้วยความสนิทสนมและเข้มงวดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “เธอเป็นอะไรอีกเนี่ย”
ซย่าเสี่ยวมั่วฟังน้ำเสียงของเขาแล้วก็รีบปรับกริยาให้เรียบร้อย ก่อนจะทักทาย “สวัสดีตอนกลางคืนค่ะพี่”
“อืม” ท่าทางของเสิ่นมั่วหลีสาดเอาความตื่นเต้นที่โทรติดของซย่าเสี่ยวมั่วให้ดับมอดไปทันที