เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1031 หัวหน้านักบวชคนใหม่
ตอนที่ 1,031 หัวหน้านักบวชคนใหม่
เสียงของเทพีกระบี่แผ่วเบาจนคล้ายนางพูดกับตนเองอยู่ในใจ
“ท่านว่าอะไรนะ?”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาเพราะเขาได้ยินไม่ชัดเจน
เทพีกระบี่ค่อย ๆ เหยียดกายลุกขึ้นนั่ง
นางผละออกจากอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉิน
เทพีกระบี่ก้าวลงจากเตียงและลุกขึ้นยืน นางซวนเซเกือบจะล้มเล็กน้อย แต่ก็ปฏิเสธการช่วยเหลือของหลินเป่ยเฉิน นางพยายามฝืนเดินไปหยิบหีบปิดผนึกมาใบหนึ่ง
มันเป็นหีบที่ลงค่ายอาคมเอาไว้อย่างดี
ไม่ทราบว่าหีบใบนี้ทำมาจากวัสดุชนิดใด แต่เพียงมองก็รู้แล้วว่าต้องมีมูลค่าไม่ต่ำต้อย
อักขระบนตัวหีบเป็นเทพีกระบี่แกะสลักด้วยตนเอง และผู้ที่จะเปิดมันได้ก็ต้องเป็นตัวนางเองเท่านั้น ต่อให้เทพแห่งวิหารเฉียนเกาฟื้นจากความตายกลับมาที่นี่ มันก็ไม่มีทางเปิดหีบใบนี้ได้เด็ดขาด
หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นหัวใจก็พองโต
หรือว่านี่จะเป็นหีบเก็บขุมสมบัติของเทพีกระบี่?
นางตั้งใจจะมอบสมบัติที่เก็บเอาไว้หลายพันปีให้เขาอย่างนั้นหรือ?
หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นรัวเร็ว
เทพีกระบี่มีสภาพร่างกายอ่อนแอ ดังนั้น นางจึงต้องใช้เวลาชั่วต้มน้ำเดือดจึงเปิดฝาหีบได้อย่างช้า ๆ
แต่ด้านในไม่ได้มีประกายระยิบระยับจากอัญมณีล้ำค่า
หีบใบนั้นเก็บเพียงเสื้อคลุมสีขาวตัวหนึ่งเอาไว้เท่านั้น
เป็นเสื้อคลุมของนักบวช
ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาดพิสดาร
“เจ้าจำเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ได้หรือไม่?”
เทพีกระบี่นำเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ผืนนั้นออกมาจากหีบและหันมาถามกับหลินเป่ยเฉิน
เอ่อ…
จะตอบยังไงดีนะ
เขาจำเสื้อคลุมตัวนี้ได้หรือไม่?
เด็กหนุ่มพบว่าตนเองจำไม่ได้
“ข้ารู้สึกคลับคล้ายคลับคลา แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
หลินเป่ยเฉินตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้
เทพีกระบี่ดูจะชะงักไปเล็กน้อยกับคำตอบของเขา แต่หลังจากนางสูดหายใจลึก ๆ อยู่หลายรอบ เทพีกระบี่ก็กล่าวต่อ “นี่คือเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ที่เยว่เว่ยหยางสวมใส่ตอนที่นางเจอเจ้าครั้งสุดท้าย”
“อ้อ ว่าแล้วเชียว”
หลินเป่ยเฉินนึกขึ้นมาได้ในทันที “หากท่านไม่พูด ข้าก็จำไม่ได้แล้วนะเนี่ย เสื้อคลุมตัวนี้ไม่ได้อยู่ในความทรงจำของข้าเลยสักนิด”
“หึหึ…”
เทพีกระบี่หัวเราะเยาะ ก่อนจะสะบัดเสื้อคลุม และนำมันมาทาบไว้บนร่างกายของตนเอง “ข้าจะสวมมันเพื่อเจ้า ดีหรือไม่?”
หา?
ทำไมเทพีกระบี่ถึงต้องใส่เสื้อคลุมของเยว่เว่ยหยางด้วยล่ะ?
หลินเป่ยเฉินไม่ตอบ
“มานี่สิ ข้าอยากให้เจ้าช่วยใส่ให้ข้าหน่อย”
เทพีกระบี่มองหน้าเขาด้วยสายตาเชื้อเชิญ
“ขอปฏิเสธ”
หลินเป่ยเฉินไม่ใช่เด็กรับใช้ เขาไม่จำเป็นต้องช่วยนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย
และเขารู้ว่านางกำลังตั้งใจทดสอบเขาอยู่
เทพีกระบี่มองหน้าเขาเขม็ง ก่อนจะส่งเสียงคำรามแหบต่ำในลำคอ และโยนเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ผืนนั้นมาให้หลินเป่ยเฉินด้วยความโกรธเคือง
แต่เด็กหนุ่มกลับพบว่าแววตาของนางดูมีความสุขไม่น้อย
เฮอะ ผู้หญิงนี่น้า
ปากไม่ตรงกับใจ
หลินเป่ยเฉินพับเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์และวางไว้ที่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง
“โชคดีที่เจ้าตอบรับได้รวดเร็ว”
แววตาของเทพีกระบี่ไม่สามารถปิดบังรอยยิ้มได้อีกแล้ว “ถือว่าไม่ทำให้ข้าผิดหวัง… มานี่สิ ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าสวมใส่เสื้อคลุมตัวนี้”
ครั้งนี้ นางนำเสื้อคลุมที่ดูหรูหรากว่าตัวที่แล้วออกมา
นี่คือเสื้อคลุมที่เทพีกระบี่ออกแบบด้วยตนเอง ลวดลายบนเสื้อคลุมแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของนางที่จะแก้แค้นเมื่อได้กำเนิดบนโลกมนุษย์อีกครั้ง
ย่อมต้องเป็นลวดลายที่สวยงาม
เสียแต่ว่าไม่เคยได้ใช้งานเลย
ครั้งหนึ่ง เทพีกระบี่เคยวาดฝันว่าตนเองจะได้สวมใส่เสื้อคลุมตัวนี้ เก็บเกี่ยวพลังศรัทธาจากผู้คน และทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของนางกลับคืนมา
แต่โชคร้ายที่บัดนี้…
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ปฏิเสธอีกต่อไป
เขารับเสื้อคลุมมาช่วยสวมใส่ให้แก่เทพีกระบี่ หลังจากนั้นจึงจัดระเบียบความเรียบร้อยของแขนเสื้อและชายเสื้อคลุม หลินเป่ยเฉินพบว่านี่คือเสื้อคลุมที่สมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง…
มันควรเหมาะสมกับผิวพรรณที่ขาวเนียนของเทพีกระบี่
แต่บัดนี้ เรือนร่างของนางกลับเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยแผลเป็น
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เทพีกระบี่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง ๆ
ยากที่จะฟื้นตัวในระยะเวลาอันสั้น
ในใจของหลินเป่ยเฉินพลันร้อนผ่าวไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธแค้น
ไอ้พวกตระกูลเว่ย
นี่เป็นฝีมือของเว่ยหมิงเฉินอีกแล้ว
หากไม่ใช่เพราะไอ้หมอนั่นส่งลูกน้องมาถล่มเมืองหลวง เทพีกระบี่ก็คงไม่บาดเจ็บหนักถึงขั้นนี้
บุคคลที่เลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ ดูท่าจะปล่อยเอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินเคยชะลอแผนการกวาดล้างตระกูลเว่ย เพราะเขายังไม่มีกองทัพเป็นของตนเอง แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้ว่าตนเองคงต้องหาทางกวาดล้างตระกูลเว่ยให้ได้โดยเร็วที่สุด
หลินเป่ยเฉินสาบานอยู่ในใจ
ในไม่ช้า เขาก็ช่วยเทพีกระบี่สวมใส่เสื้อคลุมประจำตำแหน่งเรียบร้อย
เทพีกระบี่ยืนอยู่หน้ากระจก จ้องมองเงาสะท้อนของตนเอง สองแก้มของนางแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติขณะกล่าวว่า “เจ้าช่วยไปตามทุกคนให้มารวมตัวกันที่วิหารหลักที”
“รับทราบ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหมุนกายเดินออกมาจากอาราม
ด้านนอกอาราม
หลินเป่ยเฉินเดินไปตามตัวหัวหน้านักบวชรักษาการฮวาชิงเหยียน นักพรตใหญ่หลงเยว่และคนอื่น ๆ ให้ไปรวมตัวกันในวิหารหลักบนยอดเขา เมื่อทุกคนเข้าไปในวิหาร ก็พบว่าเทพีกระบี่ขึ้นไปนั่งอยู่บนบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว
“คำนับพระองค์ท่าน”
นักบวชสาวทุกนางคุกเข่าลงกับพื้น
บัดนี้ นักบวชประจำวิหารคือสาวกผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อเทพีกระบี่มากที่สุด พวกนางรู้ว่าเด็กสาวผู้นี้มีดวงจิตของเทพีกระบี่อยู่ในร่างกาย ต่อให้สั่งให้พวกนางไปตาย นักบวชทุกนางก็ไม่คิดปฏิเสธ
“ลุกขึ้นได้”
เทพีกระบี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
เสียงไม่ดัง แต่ชัดเจน
นักบวชทุกนางลุกขึ้นยืน
ฮวาชิงเหยียนและนักพรตใหญ่หลงเยว่หันมองหน้ากันอย่างเคร่งเครียด
“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้สัมผัสโลกมนุษย์ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เทพแห่งวิหารเฉียนเกาคิดก่อกบฏยึดครองบัลลังก์ของข้า แต่บัดนี้ วิกฤตการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะต้องพักผ่อนเสียที”
“หลังจากที่ข้าไม่อยู่แล้ว ตำแหน่งหัวหน้านักบวชประจำวิหารหลวง ก็มอบให้เป็นหน้าที่ของ…”
“หลินเป่ยเฉิน!”
สิ้นเสียงพูด
ในวิหารหลวงก็เต็มไปด้วยเสียงอุทานตื่นตกใจ
บุรุษจะขึ้นมาเป็นหัวหน้านักบวชในวิหารเทพีกระบี่อย่างนั้นหรือ?
นี่คือเรื่องที่ผิดจารีตเป็นอย่างยิ่ง
แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังตกใจเช่นกัน
เขาเนี่ยนะ?
เขาคนนี้เนี่ยนะ?
เพียงพริบตาเดียว เขาก็จะกลายเป็นหัวหน้านักบวชประจำวิหารหลวงแล้วอย่างนั้นหรือ?
แต่เมื่อได้ยินเสียงคำรามในลำคอของเทพีกระบี่ เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงเหล่านั้นก็เงียบลงทันที
เทพเจ้าเป็นผู้คุมกฎเสมอ
และบุคคลที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ขณะนี้ ก็คือผู้ที่มีดวงจิตเทพเจ้าอยู่ในร่างกาย
นางคือเทพเจ้าที่แท้จริง
คำพูดของนางคือคำตัดสินสุดท้าย
แล้วจะมีผู้ใดกล้าตั้งคำถาม?
นักบวชสาวทุกนางประสานมือและประสานเสียงว่า “ผู้ต่ำต้อยรับคำบัญชาพระองค์ท่าน”
หลังจากนั้น พวกนางก็หันมาคำนับหลินเป่ยเฉิน “คำนับท่านหัวหน้านักบวช”
เมื่อเห็นสาวงามจำนวนมากหันมาคำนับเขาด้วยความเคารพนอบน้อม หลินเป่ยเฉินก็เผลอตัวยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ
นอกจากท่านป้านักพรตใหญ่หลงเยว่และนักบวชอาวุโสท่านอื่น ๆ จำนวนหนึ่งแล้ว นักบวชในวิหารส่วนที่เหลือก็ล้วนแต่เป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยรวยเสน่ห์ ชวนมองให้สบายตาสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่ากฎระเบียบในการคัดเลือกนักบวชของวิหารหลวงแห่งนี้ น่าจะมีเรื่องหน้าตาเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยไม่ใช่น้อย
ถ้อยคำสองพยางค์ปรากฏขึ้นในหัวใจของหลินเป่ยเฉินทันที…
ฮาเร็ม
นี่มันฮาเร็มชัด ๆ
เขาคือผู้ที่มีฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่ง นอกจากรอบกายจะมีผู้ช่วยฝีมือดีแล้ว ก็ยังห้อมล้อมไปด้วยสาวงามจำนวนนับไม่ถ้วนอีกด้วย และนักบวชสาวเหล่านี้มีชีวิตอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เคร่งครัด ไม่ว่าเขาสั่งอะไร พวกนางย่อมไม่มีทางขัดคำสั่งเด็ดขาด…
หุหุ…
หยุดนะ!
หลินเป่ยเฉินรีบเรียกสติของตนเองกลับคืนมา
เขาคิดเช่นนี้ได้อย่างไร?
เขายังเป็นคนอยู่อีกหรือไม่?
หลินเป่ยเฉินกำชับตนเองไม่ให้มองที่นี่เป็นฮาเร็ม และเขาสมควรมองตนเองเป็นหงฉางชิง ผู้บังคับบัญชาหน่วยกองทหารหญิงจากบทละครเรื่อง The Red Detachment of Women ซึ่งเขาจะเป็นผู้ที่ทำให้กลุ่มหญิงสาวผู้อ่อนแอสามารถลุกขึ้นต่อสู้กับโลกกว้างและก่อการปฏิวัติได้ในที่สุด
แต่ถ้าจำไม่ผิด หงฉางชิงตายตั้งแต่ยังหนุ่มใช่ไหมหว่า?
เอ่อ…
ถ้าอย่างนั้นเขาควรเป็นตัวละครตัวไหนดีนะ?
“หลังจากที่ดวงจิตของข้าจากไปแล้ว เยว่เว่ยหยางก็จะกลับคืนสู่ตำแหน่งนักบวชระดับสามัญ ส่วนนางจะได้รับตำแหน่งใหม่หรือไม่นั้น ขอให้เป็นการตัดสินใจของท่านหัวหน้านักบวชแต่เพียงผู้เดียว”
เทพีกระบี่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หัวใจของหลินเป่ยเฉินสั่นไหว
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมเทพีกระบี่ถึงไม่ส่งมอบตำแหน่งให้เยว่เว่ยหยางโดยตรง?
ทำไมนางถึงต้องมอบตำแหน่งให้เขาด้วย?
ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นี้ เทพีกระบี่ก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
มองหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง?
ดูจากสายตาของนาง หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลาย การหวนรำลึกถึงความหลัง ความหมองเศร้า ความโล่งอก…
ทันใดนั้น ดวงจิตของเทพีกระบี่ก็หายวับไป
แววตาของนางเปลี่ยนแปลงไป
พลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมาจากร่างกายอันตรธานหายสิ้นในพริบตา
ตัวคนนั่งนิ่งไม่ไหวติงราวกับเปลี่ยนเป็นรูปปั้นแกะสลัก
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
เกิดอะไรขึ้นอีกละเนี่ย?
เดิมที เขาเข้าใจว่าเทพีกระบี่กำลังจะเตรียมพร้อมเก็บตัวระยะยาวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเสียอีก
สรุปว่านางจะไม่แก้แค้นแล้วหรือไง?
บัดนี้จะทำอย่างไรต่อไป?
หลินเป่ยเฉินรีบวิ่งเข้าไปที่บัลลังก์
ลมหายใจต่อมา หัวใจในร่างที่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นแกะสลักก็กลับมาเต้นตึกตักอีกครั้ง พร้อมกันนั้น นางก็ยังได้แผ่รัศมีแปลกประหลาดออกมาจากร่างกายอีกด้วย