เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1048 ล้างแค้นให้แก่เป่ยไห่
ตอนที่ 1,048 ล้างแค้นให้แก่เป่ยไห่
ปรากฏว่าไม่ใช่หอก
แต่มันเป็นธนูคันหนึ่ง
ธนูสีเงิน
ก็ว่าแล้วเชียวทูตสวรรค์ของมหาวิหารเทพแห่งธนูจะไปถือหอกทำไม
ว่าแต่นี่มันเป็นธนูอะไรกันเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินก้มตัวลงไปค้นศพของอวี้จูอวี่อย่างละเอียดอีกครั้ง…
“พอได้แล้ว”
พลัน เสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดดังออกมาจากเรือเหาะสีขาว
นั่นคือเสียงของมือธนูอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิจี้กวง ซูถิงฟางทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาแผดเสียงคำรามออกมาว่า “หัวหน้านักบวชหลิน เจ้าเองก็ชนะไปแล้ว เหตุไฉนถึงไม่ให้เกียรติคนตายบ้าง เจ้ามีดีอะไรมาลบหลู่ดูหมิ่นวิหารเทพแห่งธนูถึงเพียงนี้? เจ้ากล้าค้นตัวทูตสวรรค์ของพวกเราเชียวหรือ? นี่คือสิ่งที่คนตำแหน่งสูงส่งเช่นเจ้าสมควรกระทำหรืออย่างไร”
หลินเป่ยเฉินมองไปที่ซูถิงฟาง
จากนั้นจึงกล่าวอย่างแช่มช้าว่า “เจ้าหมูโง่”
ระหว่างที่พูด เขาก็ค้นศพของอวี้จูอวี่ต่อไป
ธนูสีเงินคันนี้ดูไม่ธรรมดา วัสดุก็น่าจะทำมาจากของดี แต่เมื่อมีคันธนูแล้ว จะไม่มีลูกธนูได้อย่างไร?
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าบังอาจเกินไปแล้ว”
ต่อให้องค์ชายอวี่จะเป็นผู้ที่สงบสุขุมมากที่สุด แต่บัดนี้ เขาก็ถึงกับคำรามออกมาเสียงดังสนั่น
เมื่อเห็นทูตสวรรค์ของตนเองถูกค้นตัวอย่างไม่ได้รับการให้เกียรติแม้เพียงนิด บรรดาแม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าของกองทัพจี้กวงต่างก็รู้สึกเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาทันที
“ตายซะเถอะ”
“พวกเราร่วมมือกัน”
“มาดูกันว่ามันจะต้านทานได้สักแค่ไหน…”
บนเรือเหาะสีขาว ขุนพลผู้กล้าในชุดเกราะเหล็กเป็นประกายแวววาวนับสิบคนเหินร่างออกมาด้วยความโกรธแค้น ในมือของทุกคนปรากฏคันธนู และคันธนูเหล่านั้นก็แผลงศรออกมากลายเป็นพายุลูกธนูโจมตีใส่หลินเป่ยเฉิน…
“หยุดนะ…”
องค์ชายอวี่อุทานออกมา
แต่สายเกินไปเสียแล้ว
“พวกเจ้าต้องลงนรกไปทั้งหมด”
บนผาดาวตก หลินเป่ยเฉินไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ
และแล้ว บรรดาลูกธนูที่ถูกยิงเข้ามาหาเขากลับหยุดชะงักอยู่กลางอากาศและบินสวนทางย้อนกลับไปทางเดิม
สวบ! สวบ! สวบ!
โลหิตฉีดพุ่งในอากาศ
ปรากฏว่าลูกธนูเหล่านั้นย้อนกลับไปทำร้ายผู้ที่ยิงมันออกมาด้วยตนเอง
โลหิตของขุนพลผู้กล้าจำนวนมากสาดกระจายในท้องฟ้า
เสียชีวิตโดยทันที
เสียชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย
“เหตุไฉนพวกเจ้าจึงได้รังแกผู้คนถึงเพียงนี้?”
หลินเป่ยเฉินผู้ที่ค้นหาลูกธนูไม่เจอจากศพของอวี้จูอวี่เงยหน้ามองด้วยความผิดหวังเล็กน้อย จากนั้น ดวงตาจึงจับจ้องไปยังพวกขององค์ชายอวี่ที่กำลังตกอยู่ภายใต้ความโกรธแค้นและความตื่นตระหนก ก่อนพูดเน้นย้ำทีละคำว่า “ตอนแรก พวกเจ้าก็บุกรุกดินแดนเป่ยไห่ ช่วยเหลือตระกูลเว่ยก่อการกบฏในนครหลวง สังหารชีวิตของนายทหารชาวเป่ยไห่ไปจำนวนนับไม่ถ้วน ความตายของนายทหารเหล่านั้น พวกเจ้าเคยนึกถึงบ้างหรือไม่?”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของหลินเป่ยเฉิน องค์ชายอวี่ก็เกิดความตื่นกลัวขึ้นมาทันที
เขาพยายามแก้ตัวอย่างยากลำบากว่า “แต่… นั่นคือสงคราม มันไม่เหมือนกัน…”
“อ้อ…”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะและกล่าวสวนไปว่า “สงคราม? หากองค์ชายหมายความว่าอย่างนั้น งั้นก็แปลว่าตราบใดที่ทำสงคราม การเข่นฆ่าสังหารผู้บริสุทธิ์ก็คือสิ่งที่ทำได้เป็นปกติใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้นการประลองเดิมพันชีวิตในวันนี้ ยึดถือเป็นสงครามด้วยหรือไม่?”
“นี่มัน… ไม่ถูกต้อง นี่คือการประลองระหว่างยอดฝีมือ นี่คือการทดสอบความแข็งแกร่งระหว่างผู้มีพลังระดับเซียน…”
องค์ชายอวี่พยายามโต้แย้งออกมาโดยไม่รู้ตัว
“อะไรกัน? ยามพวกท่านสังหารผู้คนเรียกว่าสงคราม แต่พอข้าทำบ้างกลับไม่ใช่สงครามเสียแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถือไม้คทาสีเงินอยู่ในมือ จ้องมองผู้คนบนเรือเหาะสีขาวด้วยสายตาที่ใช้จ้องมองตัวโง่งม
“พวกเจ้าไม่คิดว่าตนเองเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยหรือไง?”
“ฮันปู้ฟู่สหายรักของข้าก็เป็นนายทหารเช่นกัน บิดาของเขาก็เป็นทหาร ปู่ของเขาก็เป็นทหาร ทุกคนล้วนต้องมอดม้วยด้วยสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าสงครามทั้งสิ้น…”
“ตอนที่พวกเขาตาย ซากศพของพวกเขาถูกเหยียบย่ำ ศีรษะถูกตัดไปเป็นถ้วยรางวัลของกองทัพจี้กวง ซากศพของพวกเขาถูกใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่ากองทัพจี้กวงแข็งแกร่งมากเพียงใด…”
“พวกเจ้าบอกว่าข้าไม่ให้เกียรติผู้เสียชีวิต แล้วไม่ทราบว่าตอนที่นายทหารเป่ยไห่เสียชีวิต เพียงเพราะต้องการปกป้องแผ่นดินเกิดและบุคคลที่ตนเองรัก พวกเจ้าเคยให้เกียรติกับพวกเขาบ้างหรือไม่?”
“บัดนี้ พวกเจ้าต้องบาดเจ็บล้มตายและพ่ายแพ้ในการต่อสู้ คงรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาบ้างแล้วกระมัง?”
“บัดนี้ พวกเจ้าเข้าใจความรู้สึกของผู้สูญเสียขึ้นมาบ้างแล้วหรือยัง?”
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งที่สาสมแล้ว?”
หลินเป่ยเฉินถือไม้คทาสีเงินอยู่ในมือ แววตาเย็นชาจ้องมองไปที่เรือเหาะสีขาวคล้ายกับต้องการจะแช่แข็งทุกคนที่อยู่บนนั้น
นั่นเป็นเพราะว่าช่วงนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี
ตอนที่นครหลวงเกิดการก่อกบฏ คนรู้จักของหลินเป่ยเฉินจำนวนมากต้องเสียชีวิต อย่างเช่นอาจารย์เยวียนเหวินจวิ้นและสมาชิกจากสมาคมศิษย์สำนักศึกษาระดับสูงอีกหลายคน…
เมื่อเขาสามารถยึดนครหลวงกลับคืนมาได้ ดวงจิตของสตรีที่ผูกพันกับเขามากที่สุดผู้หนึ่ง กลับเลือกที่จะปิดผนึกตนเองหลับใหลไปตลอดกาล…
เมื่อสามารถยึดครองมณฑลต่าง ๆ กลับคืนมาได้ หลินเป่ยเฉินก็ได้รับทราบข่าวว่าเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขาได้ถึงแก่ความตายอย่างไม่มีวันหวนคืน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้หลินเป่ยเฉินมายืนต่อสู้อยู่บนหน้าผาสูงแห่งนี้
ความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจเหล่านั้นอัดแน่นอยู่ภายใน
วีรบุรุษแห่งประเทศชาติที่ทุกคนพบเห็นว่าสามารถสยบศัตรูได้อย่างไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดนั้น
ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าในหัวใจดวงน้อย ๆ ของเขาต้องทนแบกรับความเศร้าโศกเสียใจเอาไว้มากมายถึงเพียงใด
หลินเป่ยเฉินอาจจะช่วยทุกคนไว้ไม่ได้
แต่เขาสามารถล้างแค้นให้ทุกคนได้
ดังนั้น นี่จึงเป็นเวลาแห่งการล้างแค้นให้แก่จักรวรรดิเป่ยไห่
และเขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาหยุดยั้งตนเองเด็ดขาด!
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินเริ่มแสดงออกถึงความโกรธแค้น
ความโกรธแค้นของเขาแพร่กระจายราวกับเชื้อโรค ส่งต่อความรู้สึกไปยังเหล่าแม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าที่ยืนอยู่บนเรือเหาะสีขาว
บัดนี้ ทุกคนตัวสั่นเทา
พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่ต่างไปจากฝูงแพะฝูงแกะที่เผชิญหน้ากับพยัคฆ์ร้ายยามหิวโหย พวกเขาตัวสั่นเทา ใบหน้าขาวซีด บนหน้าผากปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพราว
พวกเขานิ่งเงียบ
พวกเขาก้มหน้า
พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ในฐานะที่เป็นชาวจี้กวง พวกเขาคงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับการโดนดูถูกเหยียดหยามเท่านั้น
“ชนะการประลองสามจากห้าครั้ง บัดนี้พวกท่านแพ้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก หัวเราะเยาะและจ้องมองไปที่องค์ชายอวี่ผู้ที่ผงะถอยหลัง ริมฝีปากแหบแห้ง ลำคอแห้งผาก
“ใช่ พวกเราแพ้แล้ว พวกเรา…”
จี้กวงพ่ายแพ้ให้แก่การประลองเดิมพันอนาคตจักรวรรดิ
นับเป็นความพ่ายแพ้ที่ใหญ่หลวงนัก
นับเป็นความพ่ายแพ้ที่ไร้ข้อกังขา
ตลอดการประลองที่ผ่านมา เขามองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่ตนเองจะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะได้อีกแล้ว
“แต่การประลองทั้งห้ารอบยังไม่จบ…”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะขึ้นมาโดยทันที
ดวงตาของเขาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยจิตสังหาร
ก้อนเมฆที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าเหนือผาดาวตก เกิดกระแสลมปั่นป่วนพัดพากระจายหายไป
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาอีกครั้งและกล่าวเน้นย้ำทีละคำ “ข้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์พูดจาคำไหนคำนั้น ในเมื่อการประลองครั้งนี้จะจัดขึ้นห้ารอบ เราก็ต้องสู้กันให้ครบทั้งห้ารอบ ห้ามขาดห้ามเกินแม้แต่รอบเดียว… ยังเหลืออยู่อีกสองรอบ ผู้ใดจะออกมา?”
องค์ชายอวี่ถึงกับตกตะลึง
ชาวจี้กวงบนเรือเหาะถึงกับตกตะลึง
นี่หมายความว่าอย่างไร?
ยังเหลือการประลองอีกสองรอบ?
หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ปีศาจน้อยตนนี้ยังคงปรารถนาที่จะสังหารยอดฝีมือของจี้กวงอีกสองคน?
เงาแห่งความตายครอบคลุมทุกคนที่ยืนอยู่บนเรือเหาะสีขาว
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่ง บรรดาแม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าชั้นนำของกองทัพจี้กวง กลับต้องมาถูกข่มขู่ด้วยเด็กหนุ่มถือไม้คทาผู้หนึ่งอย่างที่ไม่อาจโต้ตอบได้เลย
ความเงียบ
ทุกคนได้แต่ยอมรับความเจ็บใจอยู่ในความเงียบ
ในสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้ พวกเขาทําได้เพียงนิ่งเงียบต่อไปเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็เงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า “ฮ่า ๆๆ ฮ่า ๆๆ ฮ่า ๆๆ…”
เสียงหัวเราะของเขาไม่ต่างไปจากลูกธนูแหลมคมที่พุ่งทะลวงเข้าไปในหัวใจของนายทหารจากกองทัพจี้กวง
“ข้าไปเอง”
มือธนูหนุ่มผู้หนึ่งใบหน้าแดงก่ำ กัดฟันกรอดและก้าวเท้าออกมาข้างหน้า
นี่คือมือธนูที่หล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง
เขาสวมใส่ชุดเกราะสีเงินของจักรวรรดิจี้กวงและม่านพลังที่แผ่ออกมาจากชุดเกราะนั้นก็มีสีสันละลานตา
หมวกเหล็กที่เขาสวมใส่แกะสลักเป็นลวดลายลูกธนู ดูสูงส่งและเลิศหรู ไม่ต่างไปจากนักรบในตํานาน
เขาคือนายทหารหนุ่มผู้มีความกล้าหาญ มีความรักชาติและมีความรับผิดชอบ
น่าจะเป็นขวัญใจของสาว ๆ ชาวจี้กวงไม่ใช่น้อย
มือธนูหนุ่มรู้สึกว่าตนเองต้องก้าวออกมา
เขาจะทำให้พวกเป่ยไห่ได้รู้ว่า มือธนูของจี้กวงจะไม่มีทางนิ่งเงียบเพราะความหวาดกลัวเด็ดขาด
มือธนูหนุ่มจึงขับไล่ความหวาดกลัวในจิตใจ รวบรวมความกล้าหาญและกระโดดออกไปยืนหยัดเผชิญหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความหนักแน่น
แต่ว่า…
“เจ้าคิดว่าตนเองมีค่ามากพอหรือ?”
หลินเป่ยเฉินมองหน้ามือธนูหนุ่มและถามเน้นย้ำทีละคำ
ไม่ว่าจะเป็นสถานะตำแหน่ง ระดับพลังหรือความมีชื่อเสียง มือธนูหนุ่มผู้นี้มีค่ามากพอที่จะมายืนเผชิญหน้ากับเขาอยู่บนแท่นประลองแห่งนี้แล้วหรือ?
มือธนูหนุ่มมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขามีเส้นเลือดปูดโปน จมูกพ่นลมหายใจฟืดฟาด ไม่ต่างไปจากกระทิงหนุ่มผู้บ้าคลั่งและกำลังจะพุ่งชนใส่ศัตรูของมัน…
สุดท้าย คำตอบก็ยังออกมาเป็นเช่นเดิม… ไม่มีค่าคู่ควร!!
ตัวเขาเองยังไม่มีค่าคู่ควรมายืนอยู่บนผาดาวตก
ตัวเขาเองไม่มีค่าคู่ควรมาเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉิน
ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องระดับพลัง
แค่ยืนอยู่เฉย ๆ เขาก็พ่ายแพ้แล้ว
ต่อให้มือธนูหนุ่มระเบิดโทสะออกมา แต่เขาก็ทำได้เพียงก้าวเท้าถอยหลังกลับไปอย่างช้า ๆ เท่านั้น
บางทีในอนาคตข้างหน้า เขาอาจมีคุณสมบัติดีพอมาต่อสู้กับเจ้าเด็กคนนี้
แต่นั่นเป็นเรื่องในอนาคต
ไม่ใช่วันนี้!!