เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1057 ผู้ใดโดนหลอกลวงกันแน่
ตอนที่ 1,057 ผู้ใดโดนหลอกลวงกันแน่
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็ให้คำตอบว่า “พี่หญิงชื่นชอบประโยคนั้นมากเลยหรือขอรับ? ในเมื่อท่านกับข้าเป็นพันธมิตรกัน เมื่อพี่หญิงขอ ทำไมข้าจะให้ไม่ได้”
เหยียนอิงหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นขณะกล่าวว่า “เจ้าไม่ขัดข้องหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “สิ่งที่เป็นของข้าย่อมเป็นของท่าน สิ่งที่เป็นของท่านก็เป็นของข้าเช่นกัน เหตุไฉนข้าจึงต้องขัดข้องด้วยเล่า?”
“เจ้าพูดถูก”
เหยียนอิงกล่าวต่ออย่างเมามาย “ข้าคือของเจ้า เจ้าคือของข้า พวกเราคือคนคนเดียวกัน”
“ดื่มอีก”
เด็กสาวพยายามจะรินสุราจากไหใส่ชามใบใหม่
“พี่หญิงเมาแล้วนะขอรับ”
“นี่หรือคือความรู้สึกของการเมามาย? ช่างประเสริฐนัก”
“พี่หญิง หากท่านดื่มต่อ ท่านจะคืนร่างเดิมหรือไม่?”
“คืนร่างเดิมอะไรของเจ้า?”
“ก็ชาวทะเลต้องเป็นปลาไม่ใช่หรือขอรับ? ท่านจะกลายร่างเป็นมนุษย์ปลาหรือไม่?”
“เหลวไหล ข้าเป็นมนุษย์เชื้อสายชาวทะเล ข้าเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่เป็นมนุษย์ ใครบอกเจ้าว่าข้าเป็นมนุษย์ปลา? เพียงแต่ว่าขาของข้าผิดรูปและไม่แข็งแรงเหมือนคนปกติเท่านั้น เจ้า… อย่าได้พูดจาเหลวไหลอีก”
“อ้อ…”
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าเหยียนอิงจะคออ่อนถึงเพียงนี้ เพียงนางดื่มสุราไปได้ไม่เท่าไหร่ เด็กสาวก็เมามายเกินกู่กลับ
แต่ที่สำคัญก็คือ นางไม่มีทีท่าว่าจะหยุดดื่มอีกด้วย
“อย่าเพิ่งกลับสิ อยู่ดื่มกับข้าอีกสักสามจอก”
“จะไปไหน”
“พวกเรามาช่วยกันปราบมารร้ายด้วยกัน”
“น้องชาย เจ้าเป็นคนดี ข้ารักเจ้านัก”
“ทำไมอยู่ดี ๆ อากาศถึงร้อนได้เพียงนี้… ข้าอยากจะไป…ว่ายน้ำ ข้าอยากจะไปว่ายน้ำ…”
เด็กสาวบนรถเข็นร่ำร้อง พร้อมกันนั้นนางก็เริ่มเปลื้องผ้า คล้ายกับว่าต้องการจะไปลงสระน้ำจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องห้ามนางเอาไว้
หลังจากนั้น…
เขาก็สับสันมือใส่ต้นคอของเหยียนอิง
ผลัก!
เหยียนอิงหมดสติไปทันที
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็อุ้มนางกลับไปโยนทิ้งไว้บนเตียงนอน ก่อนจะนำผ้าห่มที่อยู่บนเตียงคลี่คลุมร่างของนางอย่างทะนุถนอม… ในเมื่อผ้าห่มผืนนี้วางทิ้งอยู่บนเตียง นั่นก็หมายความว่าเหยียนอิงคงนอนห่มผ้าตอนกลางคืนด้วยไม่ใช่หรือ?
“เจ้ายังจะบอกว่าตนเองไม่ใช่มนุษย์ปลาอีกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยืนยิ้มอยู่หน้าเตียงนอนด้วยความพึงพอใจ
หลังจากการร่ำสุราในค่ำคืนนี้
นางก็เป็นปลาตัวใหญ่ในบ่อของเขาแล้ว
อุ๊วะฮ่า ๆๆ
ที่หลินเป่ยเฉินมาหาเด็กสาวในคืนนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ได้มาด้วยจุดประสงค์ร้าย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ได้พบเจอกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงมีเหตุผลดีทีเดียวที่จะรับประทานอาหารกระชับความสัมพันธ์กันสักมื้อ
เหตุผลสำคัญก็คือเหยียนอิงเป็นผู้นำกองทัพของชาวทะเล มีอำนาจควบคุมมณฑลเฟิงอวี่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และนครเจาฮุยซึ่งเป็นฐานบัญชาการของหลินเป่ยเฉินก็อยู่ภายใต้วงล้อมขุมกำลังของนาง เพราะฉะนั้น เขาจะทำเป็นละเลยเด็กสาวผู้นี้ไม่ได้เด็ดขาด
และต้องไม่ลืมว่ายิ่งสนิทกันตอนนี้มากเท่าไหร่ ในอนาคต เขาก็ยิ่งได้ประโยชน์จากนางมากเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินมีแต่ได้กับได้
ก่อนจะเดินออกมา เขาไม่ลืมปิดม่านในห้องนอนให้เหยียนอิง
แอ๊ดดด
แต่แทนที่จะออกไปทางประตู เด็กหนุ่มกลับเปิดหน้าต่างและใช้มันเป็นเส้นทางกระโดดออกไปจากเรือนนอนของนางแทน
ดูเหมือนว่าจะผ่านไปได้สองชั่วยามแล้ว
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หลังจากนั้น เขาจึงได้เดินออกจากสถานทูตของชาวทะเลและมุ่งหน้ากลับไปที่วิหารหลวง
เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าในระหว่างที่ร่างของเขาเดินหายลับไปในความมืดนั้น
ได้มีคนผู้หนึ่งคอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
แสงจันทร์ส่องสว่างครอบคลุมบริเวณที่พักของชาวทะเล
ติงซานฉือไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรรู้สึกอย่างไร
หลังจากเตรียมข้าวของสำหรับการเดินทางเรียบร้อยแล้ว ชายชราก็ออกมาเดินเล่นเพื่อบรรเทาอาการปวดเอว แต่ไม่คิดเลยว่าขณะที่เดินผ่านเรือนนอนของบุตรสาว เขาจะได้เห็นลูกศิษย์ของตนเองกระโดดออกมาจากหน้าต่างห้องนอนของนาง
ซ้ำยังมีกลิ่นสุราโชยมาแต่ไกล
หัวใจของอาจารย์ติงแทบแหลกสลายอยู่ตรงนั้น
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
นี่หลินเป่ยเฉินแอบลักลอบได้เสียกับเหยียนอิงแล้วอย่างนั้นหรือ?
ต่อให้เด็กหนุ่มจะแข็งแกร่งและทรงพลัง มีคุณสมบัติดีพอที่จะเป็นบุตรเขยของติงซานฉือ แต่เจ้าลูกเต่าตัวนี้มีนิสัยชั่วร้าย เห็นแก่ตัว ละโมบโลภมากและลุ่มหลงในตัณหาราคะมากเกินไป
ย่อมไม่คู่ควรเป็นคนรักของบุตรสาวเขา
ติงซานฉืออยากจะชักกระบี่ออกมาสั่งสอนหลินเป่ยเฉินสักหลายกระบวนท่า แต่เขาก็รู้ดีว่าด้วยความสามารถของตนเองในยามนี้ ย่อมไม่มีทางเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้เด็ดขาด
และหากเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้อาจจะรู้ไปถึงหูภรรยาของเขาและชาวทะเลคนอื่น ๆ…
ว่าแต่เหตุการณ์มาลงเอยเช่นนี้ได้อย่างไร?
หรือว่าเหยียนอิงยังคงอยากเป็นมนุษย์อยู่ดี…
ติงซานฉือรอจนกระทั่งร่างของหลินเป่ยเฉินหายหลับไป เขาจึงได้แอบย่องเข้าไปที่เรือนนอนของบุตรสาว
ชายชราแนบหูลงไปกับผนังห้องและตั้งใจรับฟัง
ทันใดนั้น ติงซานฉือได้ยินเสียงเย็นชาตวาดออกมาว่า…
“ไปให้พ้น”
ย่อมเป็นเสียงบุตรสาวของเขาเอง
หืม?
เสียงค่อนข้างแจ่มใส ไม่ได้บอกถึงอาการเมามายเลยสักนิด
เหยียนอิงยังคงมีสติดีทุกประการ
แสดงว่านางไม่ได้ถูกหลินเป่ยเฉินจับกรอกสุราเพื่อล่วงเกิน
หรือว่า…
ในใจติงซานฉือเกิดความคิดเกี่ยวกับอีกหนึ่งความเป็นไปได้ขึ้นมา…
หรือว่าจะเป็นหลินเป่ยเฉินต่างหากที่ตกหลุมพรางบุตรสาวของเขาแล้ว?
…
วันต่อมา
อากาศแจ่มใส แสงแดดสาดส่อง
“โรงเรียนของเราน่าอยู่ คุณครูใจดีทุกคน…”
หลินเป่ยเฉินครวญเพลงออกมาอย่างมีความสุขขณะขี่อยู่บนหลังเจ้าเสือน้อย
บัดนี้ เจ้าเสือน้อยที่ตัวใหญ่ยักษ์ไม่ได้กางปีกบินอยู่ในอากาศ แต่มันกำลังนอนอยู่บนดาดฟ้าเรือเหาะด้วยความเกียจคร้าน
มันเองก็ไม่เข้าใจเลยว่านับตั้งแต่ที่เรือเหาะลอยลำออกเดินทาง ทำไมนายท่านถึงต้องมากระโดดนั่งอยู่บนหลังของมันด้วย
แน่นอนว่าเจ้าเสือน้อยไม่กล้าถาม
หมาป่าน้ำแข็งกลายพันธุ์ผู้เป็นน้องสาวของมันอีกสองตัวกำลังวิ่งเล่นอยู่บนดาดฟ้าเรืออย่างมีความสุข
เจ้าเสือน้อยรู้สึกอิจฉาน้อง ๆ ของมันเหลือเกินที่สามารถวิ่งเล่นได้อย่างอิสระเสรี
แล้วตัวมันเองเล่า?
อย่าว่าแต่ได้วิ่งเล่นเลย แม้แต่นายท่านก็ไม่เคยมาเล่นกับมันสักครั้ง
“ยอดเขาไป๋หยุนแห่งเมืองไป๋หยุน อยู่ห่างจากที่นี่ไป 30,000 ลี้…”
เฉียนเจินในชุดคนรับใช้ยืนอยู่ข้างกราบเรืออย่างมีความสุข ใบหน้าของนางแสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างไม่อาจปิดบัง “ว่ากันตามความเร็วของเรือเหาะวิหคยักษ์ลำนี้ พวกเราน่าจะไปถึงเมืองไป๋หยุนในอีกห้าวันเจ้าค่ะ… ฮื่อ ข้าไม่เคยกล้าคิดฝันมาก่อนเลย แต่ข้าก็กำลังจะได้ไปที่เมืองไป๋หยุนจริง ๆ แล้ว”
“ข้าก็เช่นกัน”
เฉียนเหมยในชุดผู้ฝึกยุทธ์ตอบรับกลับมาด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน
เมืองไป๋หยุนเปรียบเสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของมือกระบี่ชาวเป่ยไห่ทุกคน
สถานะของเมืองแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างไปจากวิหารหลวงของเทพีกระบี่
“น่าสงสัยมากเลยนะขอรับว่าน่องไก่ในเมืองไป๋หยุนจะอร่อยหรือไม่”
เซียวปิงกลืนน้ำลายเอื๊อก
“จี๊ด”
อากวงก็ปรากฏตัวออกมาแสดงความตื่นเต้นเช่นกัน
การเดินทางไปเมืองไป๋หยุนในครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินนำผู้ติดตามมาด้วยเพียงไม่กี่คน นอกจากเซียวปิง สองสาวรับใช้ เฉียนเหมย เฉียนเจิน ก็มีเพียงหมาป่าน้ำแข็งกลายพันธุ์อีกสองตัวและเจ้าลูกเสือน้อยอีกหนึ่งตัวเท่านั้น
อ้อ แล้วก็ยังมีองครักษ์เงากงกงติดตามมาอีกคน แต่ทุกคนก็ลืมไปแล้วว่ากงกงมาด้วย
บัดนี้ พวกเขาออกเดินทางมาได้ครึ่งวันแล้ว
เรือเหาะวิหคยักษ์ที่ทุกคนกำลังโดยสารอยู่ลำนี้เป็นอภินันทนาการจากองค์จักรพรรดิ
ติงซานฉือยืนมองก้อนเมฆขาวรอบตัว ก่อนจะหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความรู้สึกสับสน
เด็กหนุ่มยังไม่รู้ว่าอาจารย์ของตนเองพบเห็นเขากระโดดออกมาจากหน้าต่างห้องนอนของเหยียนอิงเมื่อคืนนี้
ดังนั้น เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นกระบี่คุณธรรมห้อยอยู่ข้างเอวติงซานฉือ ดวงตาของเขาก็ลุกวาว
นี่ถือเป็นกระบี่ที่ดียิ่ง
“อาจารย์ขอรับ การประลองกระบี่ในครั้งนี้ ศิษย์ได้ยินว่าจะมีสำนักกระบี่เข้าร่วมด้วยจำนวนมาก” เด็กหนุ่มกระโดดลงจากหลังของเจ้าลูกเสือน้อย ก่อนจะเดินยิ้มเผล่เข้าไปหาผู้เป็นอาจารย์ “ศิษย์ได้รับทราบมาว่าท่านมีความสนิทสนมกับนักหลอมกระบี่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างเฉินเซียวเยี่ยน ไม่ทราบว่าท่านพอจะช่วยบอกให้เขาตีกระบี่ให้ศิษย์สักเล่มได้หรือไม่?”
“เฉินเซียวเยี่ยน นักหลอมกระบี่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า?”
ติงซานฉือขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างจำได้ “ถูกต้อง ข้ารู้จักเขา”
“อย่างนั้นก็ยิ่งดีเลยขอรับ หมายความว่าอาจารย์จะใช้ความสนิทสนมนี้ รบกวนเขาตีกระบี่ให้ศิษย์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายได้หรือไม่? ศิษย์ได้ยินมาว่าค่าตีกระบี่ของเขาค่อนข้างแพงมากทีเดียว…” หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอย่างมีความสุข
ติงซานฉือตอบกลับมาหน้าตาเฉยว่า “แต่เขาไม่รู้จักข้า”
รอยยิ้มบนใบหน้าหลินเป่ยเฉินหายวับไปทันที
เด็กหนุ่มได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ
นี่อาจารย์กำลังล้อเล่นใช่หรือไม่?
นี่อาจารย์คิดว่าเขาเป็นคนตลกนักหรือ?