เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1064 มาให้ท่านอาของเจ้ากอดหน่อย
ตอนที่ 1,064 มาให้ท่านอาของเจ้ากอดหน่อย
เมืองไป๋หยุน
สำนักกระบี่อมตะ
หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
หมู่บ้านแห่งนี้มีกระท่อมไม้ปลูกอยู่ไม่เกิน 50 หลัง ล้วนแต่เป็นสถานที่พำนักของลูกศิษย์สำนักกระบี่อมตะทั้งสิ้น ครั้งหนึ่ง ที่นี่เคยเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ขณะนี้กระท่อมเกินครึ่งจึงปราศจากผู้อยู่อาศัย วัชพืชเติบโต หยากไย่เกาะเต็มประตูหน้าต่าง ฝุ่นผงจับตัวหนาตามผนังกระท่อม
ในกระท่อมหลังที่สามของตรอกที่สอง ปรากฏหมอกควันลอยออกมาจากกระท่อม
“เป่ยเฉิน นี่คืออาจารย์อาหกของเจ้า มาสิ เข้าไปโขกศีรษะคำนับอาจารย์อาของเจ้าหน่อย”
ในกระท่อมไม้หลังนั้น ติงซานฉือกวักมือเรียกหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปตามคำสั่งโดยไม่ลังเล เขาประสานมือและก้มศีรษะคำนับกับพื้นสามครั้ง เขาโขกศีรษะอย่างรุนแรง ทำเอาตัวกระท่อมสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง เศษฝุ่นร่วงกราวลงมาจากหลังคา…
“ไม่เป็นไร ๆ รีบลุกขึ้นมาเถอะ”
ผู้เป็นลูกศิษย์รุ่นที่สองของสำนักกระบี่อมตะก็คือศิษย์น้องหกของติงซานฉือ เขามีสองขาที่ซูบผอม แก้มตอบ ดวงตาลึกโหล ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งในชีวิตประจำวัน เขาครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ รีบโบกมือให้หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนโดยเร็ว
“อาจารย์อาขอรับ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น? เหตุไฉนขาของท่านถึงได้เป็นเช่นนี้?”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นปัดเศษฝุ่นออกไปจากหัวเข่า ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อาจารย์อาหกท่านนี้เป็นศิษย์น้องของอาจารย์ติง ฝึกกระบี่อยู่ในเมืองไป๋หยุนมานานหลายปี อย่างน้อยก็สมควรมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ เหตุใดในร่างกายจึงไม่มีพลังลมปราณ ซ้ำสองขายังเหี่ยวแห้งปราศจากกล้ามเนื้อ ไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้อีก
“อ้อ ข้าก็แค่อ่อนแอมากเกินไปเท่านั้น”
ดวงตาของอาจารย์อาหกผู้มีนามว่าสือจงเซิ่งสะท้อนประกายเศร้าหมองวูบ
“ท่านพ่อต้องถูกคนจากสำนักสามเหลี่ยมมรณะทำร้ายเพราะปกป้องท่านแม่ของข้าเจ้าค่ะ…”
เด็กสาวผู้ยืนอยู่ข้างเตียงคนป่วยกล่าวออกมาพร้อมกับดวงตาแดงก่ำ
นางคือชีเหนียน เป็นบุตรสาวของสือจงเซิ่งกับภรรยา
สำนักสามเหลี่ยมมรณะมีสถานะไม่ต่างจากสำนักเพลิงสายฟ้า พวกเขาคือหนึ่งในสำนักที่ผู้ก่อตั้งเมืองไป๋หยุนฉู่เทียนกัวได้เคยไปศึกษาร่ำเรียนวิชากระบี่ ดังนั้น พวกเขาจึงมีสถานะสูงส่งมากกว่าสำนักยุทธ์ทั่วไป
แต่สำนักสามเหลี่ยมมรณะไม่เคยเข้ามาแทรกแซงกิจการในเมืองไป๋หยุนมาก่อน จนกระทั่งท่านเจ้าเมืองคนใหม่ติดต่อไปขอความช่วยเหลือ นั่นเองจึงเปิดโอกาสให้สำนักสามเหลี่ยมมรณะได้ก้าวเท้าเข้ามาสู่เมืองไป๋หยุน และซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายกว่าเดิม
โดยเฉพาะซงชิวอวี่ผู้อาวุโสของสำนักสามเหลี่ยมมรณะ เขามีระดับพลังแข็งแกร่ง มากด้วยตัณหาราคะ นับตั้งแต่ที่มาถึงเมืองไป๋หยุน ซงชิวอวี่ก็จับตัวลูกศิษย์สาวของเมืองแห่งนี้ไปบำเรอกามมากมายนับไม่ถ้วน
ต่อมา ซงชิวอวี่เกิดต้องตาต้องใจหลินรั่ว ผู้เป็นภรรยาของสือจงเซิ่งและเคยส่งคำข่มขู่มาแล้วหลายครั้ง
สือจงเซิ่งผู้มีสถานะเป็นถึงผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักกระบี่อมตะจะทนยอมได้อย่างไร?
ศิษย์น้องหกของติงซานฉือตัดสินใจชักกระบี่ แต่เขาก็พ่ายแพ้ให้แก่ซงชิวอวี่อย่างหมดท่า สองขาพิการ หลงเหลือชีวิตเพียงครึ่งเดียว
และหลินรั่วผู้เป็นภรรยาจึงใช้กระบี่กรีดใบหน้าทำลายรูปโฉมของตน ด้วยเหตุนี้ คนจากสำนักสามเหลี่ยมมรณะจึงเลิกสนใจครอบครัวของพวกเขาไปชั่วคราว
แต่พวกมันก็ไม่ได้ปล่อยให้สือจงเซิ่งได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข สำนักสามเหลี่ยมมรณะยังคงส่งคนมาก่อกวนสร้างความวุ่นวายให้กับพวกเขาอีกเป็นระยะ
ชีเหนียนผู้เป็นบุตรสาวหวาดกลัวถึงขนาดไม่กล้าเดินออกไปนอกบ้านแล้ว
ชีวิตของครอบครัวนางในยามนี้เต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“พวกมันยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นคนอยู่อีกหรือไม่? อาจารย์ขอรับ ท่านอาจจะทนเรื่องนี้ได้ แต่ศิษย์ทนไม่ได้แล้ว ศิษย์จะไปฆ่าล้างบางสำนักสามเหลี่ยมมรณะให้หมด ศิษย์จะไปแก้แค้นให้แก่อาจารย์อา…”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความโกรธแค้น
“ประเสริฐเจ้าค่ะ”
เฉียนเหมยที่ยืนอยู่ด้านข้างร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ และนางก็กล่าวสิ่งที่อยู่ในความคิดของผู้เป็นนายท่านออกมา “พวกมันคงมีทรัพย์สมบัติอยู่ไม่น้อย ข้าจะปล้นมาให้นายท่านทั้งหมดเลย”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เฉียนเหมยนับว่ามีความพัฒนาขึ้นในด้านความสวยงามและฝีมือการต่อสู้ น่าเสียดายที่ปากสว่างเกินไปหน่อยเท่านั้น
“ไม่ได้”
สือจงเซิ่งแสดงสีหน้าตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบากพร้อมกับพูดว่า “สำนักสามเหลี่ยมมรณะมีอิทธิพลมากมาย เจ้าจะทำอะไรวู่วามไม่ได้เด็ดขาด…”
สือจงเซิ่งยังไม่รู้ถึงความร้ายกาจของหลินเป่ยเฉิน เขานึกว่าลูกศิษย์ของติงซานฉือผูู้นี้นอกจากหน้าตาดีและมีกิริยาท่าทีสง่าผ่าเผยแล้ว ก็คงไม่สามารถเป็นอะไรได้อีก นอกจากคุณชายสมองเสื่อมผู้หนึ่งเท่านั้น
ติงซานฉือพูดว่า “เรื่องแก้แค้นไม่ต้องเป็นห่วง อย่างไรพวกเราก็ต้องแก้แค้นแน่ แต่เจ้าไม่คิดรักษาคนเจ็บหน่อยหรือ? เหตุไฉนถึงยังไม่รีบเข้ามารักษาให้อาจารย์อาหกของเจ้าอีก”
ติงซานฉือรู้ดีถึงความยอดเยี่ยมในพลังวารีบำบัดของหลินเป่ยเฉิน
สือจงเซิ่งอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “นี่เจ้าหนูเป่ยเฉินชำนาญด้านการแพทย์ด้วยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม “ก็พอมีความรู้อยู่บ้างขอรับ”
ดวงตาของสือจงเซิ่งปรากฏความอ่อนไหววูบวาบ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “นี่ ไม่ขอลำบากเจ้าแล้ว หลานชายอย่าได้เหนื่อยแรงเลย อาการบาดเจ็บของข้าไม่ธรรมดา มันเป็นอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการโจมตีของซงชิวอวี่ พลังลมปราณของมันยังคงหลงเหลืออยู่ในตัวข้า หากไม่สามารถกำจัดพลังเหล่านั้นออกไป ก็คงยากต่อการรักษายิ่งนัก หมอทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี้ต่างก็เคยมาดูอาการของข้าแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดสามารถรักษาข้าได้สำเร็จ อาจารย์อาของเจ้าคนนี้ยอมรับชะตากรรมแล้ว… เอ๋?”
สือจงเซิ่งยังพูดไม่ทันจบประโยค หลินเป่ยเฉินก็ยกมือขึ้นปลดปล่อยพลังวารีบำบัดออกมา
ละอองน้ำสีฟ้าสาดกระจายปกคลุมทั่วร่างชายชรา
สือจงเซิ่งส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก หลังจากนั้น เขาก็รู้สึกว่าร่างกายท่อนบนของตนเองมีความปลอดโปร่งมากขึ้น และสองขาที่ขาดความรู้สึกมาอย่างยาวนานก็เริ่มมีความรู้สึกกลับคืนมาอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ท่าน…”
ชีเหนียนแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาโดยไม่ปิดบัง
นางเห็นกับตาว่าใบหน้าที่ซีดเซียวของบิดามีเลือดฝาดมากขึ้น สองแก้มที่ซูบตอบก็กลับมาเป็นปกติในพริบตา มือที่เคยผอมแห้งดั่งกรงเล็บนกก็กลับมาอุดมด้วยเลือดเนื้อ แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากที่สุดก็คือสองขาของบิดา
สองขาที่เคยผอมแห้งไม่ต่างจากกิ่งไม้ ปรากฏลำแสงสามชนิดที่มีสีม่วง สีเขียวและสีแดงพวยพุ่งออกมาจากรูขุมขนสว่างเจิดจ้า แล้วหลังจากนั้น สองขาของบิดาก็กลับมาเป็นปกติอย่างที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น สือจงเซิ่งก็ได้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“นี่มัน…”
สือจงเซิ่งเองก็ตกตะลึงแล้วเช่นกัน
เขาสามารถรู้สึกได้เลยว่าขาของตนเองกลับมาเป็นปกติ
พลังลมปราณที่อยู่ในร่างกายสามารถไหลเวียนลงไปที่สองขาได้อย่างสะดวกสบาย
สือจงเซิ่งพลันกระโดดลงจากเตียงและลุกขึ้นยืนด้วยความมั่นคง
“นี่ข้าสามารถ… ยืนได้ด้วยหรือนี่?”
ดวงตาที่เคยว่างเปล่าของชายชราพลันกลับมาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุขอีกครั้ง
นอกจากสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง พลังทำลายล้างที่ซงชิวอวี่ทิ้งเอาไว้ก็ยังสลายหายไปอีกด้วย
สือจงเซิ่งเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องหลายรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าความรู้สึกจากสองเท้ากลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง หยดน้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตาของชายชรา…
มีแต่คนที่เกือบตายเท่านั้นจึงจะรู้คุณค่าของชีวิต
มีแต่คนที่เกือบพิการเท่านั้นจึงจะรู้คุณค่าของสุขภาพ
“ท่านพ่อ ท่านกลับมาเดินได้แล้ว ดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ…”
ชีเหนียนผู้เป็นบุตรสาวก็กำลังร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจเช่นกัน
อิ๋นซานมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยความตกตะลึง
นางเคยเห็นหลินเป่ยเฉินสามารถสยบผู้อาวุโสจากสำนักเพลิงสายฟ้าได้ในหมัดเดียว จึงคิดว่าเด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้นี้มีดีที่การต่อสู้ แต่นางไม่คาดคิดเลยว่าเขายังมีความเก่งกาจด้านการแพทย์อีกด้วย บัดนี้ หญิงวัยกลางคนจึงอดประหลาดใจไม่ได้จริง ๆ
หลินเป่ยเฉินคือผู้ที่สวรรค์ประทานลงมาเพื่อช่วยเหลือโลกมนุษย์แท้ ๆ
สือจงเซิ่งระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
เขาหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความสำนึกในบุญคุณ ก่อนจะกล่าวด้วยความไม่อยากเชื่อ “น้องเล็ก เจ้ามีฝีมือทางการแพทย์ถึงเพียงนี้ สมควรถูกเรียกขานว่าเป็นหมอเทวดาแล้ว เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้าคิดว่าศิษย์พี่คนนี้เป็นอย่างไร? เจ้าพอจะรับข้าเป็นลูกศิษย์ได้หรือไม่?”
ติงซานฉือใบหน้ากระตุก
น้องหก เจ้าหมายความว่าอย่างไร?
“นี่เป็นศิษย์หลานของเจ้านะ มาเรียกน้องเล็กได้อย่างไร อย่าพูดจาเหลวไหลอีก”
ติงซานฉือส่งเสียงเตือนอย่างไม่พอใจ
ใครจะรู้เลยว่าสือจงเซิ่งกลับหัวเราะลั่นและพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “เขาช่วยรักษาขาให้ข้า เปรียบเสมือนทำให้ข้าได้ตายแล้วเกิดใหม่ หากข้าจะเรียกเขาว่าน้องเล็กแล้วท่านจะทำไม? เขาเป็นลูกศิษย์ของท่านก็จริง แต่ก็เป็นผู้มีพระคุณของข้าด้วยเช่นกัน”
ติงซานฉือกะพริบตาปริบ ๆ
รู้สึกอยากจะหักขาศิษย์น้องหกของตนเองให้กลับไปนอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง
เขารู้มานานแล้วว่าศิษย์น้องหกมีนิสัยแปลกประหลาด มักกระทำเรื่องราวที่คนปกติไม่ทำกันเสมอ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านไปหลายสิบปี ต่อให้ชีวิตต้องพบเจอความยากลำบากมากมาย สือจงเซิ่งก็ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ
นับว่าสุนัขย่อมอดรับประทานอาจมไม่ได้จริง ๆ
ติงซานฉือทั้งเดือดดาลทั้งขบขันในเวลาเดียวกัน ได้แต่จ้องมองไปที่ศิษย์น้องหกของตนเองด้วยความเหนื่อยใจ
“เฮ้อ พวกท่านทำแบบนี้ ข้าน้อยอึดอัดหมดแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มและยักไหล่ ไม่รอให้ใครได้พูดอะไรออกมา เขาก็หันไปหาชีเหนียนและกล่าวว่า “หลานสาวสุดที่รักของข้า มามะ มาให้ท่านอาของเจ้ากอดหน่อย”
อิ๋นซานพูดอะไรไม่ออก
สือจงเซิ่งก็พูดอะไรไม่ออก
ทั้งสองคนต่างรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม บรรยากาศในกระท่อมไม้ขณะนี้ก็เต็มไปด้วยความสุขอีกครั้ง
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าผู้คนวิ่งเข้ามาจากด้านนอก
“แย่แล้ว พวกคนจากสำนักสามเหลี่ยมมรณะมันมาอีกแล้ว เร็วเข้า ตาเฒ่า เสี่ยวเหนียน พวกเจ้ารีบหาที่ซ่อนตัว…”
ร่างของใครบางคนเปิดประตูเข้ามาในกระท่อมด้วยความรีบร้อน นางพูดยังไม่ทันจบ สายตาก็พบเข้ากับสือจงเซิ่งที่ยืนเต้นอยู่กลางห้องด้วยความคึกคักแจ่มใส ตะกร้าไม้ที่อยู่ในมือนางถึงกับหลุดมือร่วงลงไปบนพื้นไปด้วยความตกตะลึง หมั่นโถวแห้ง ๆ และผักอีกจำนวนหนึ่งกลิ้งกระเด็นออกมา…