เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1132 ข้ามาเพื่อขอสมัครเป็นลูกศิษย์
ตอนที่ 1,132 ข้ามาเพื่อขอสมัครเป็นลูกศิษย์
โดยเฉพาะกระบี่ที่บินได้เหล่านี้ไม่ได้มีรูปทรงเหมือนกระบี่ทั่วไป
พวกมันทั้งมีความแตกต่างในเรื่องของขนาดและรูปทรง
เห็นได้ชัดว่ากระบี่เหล่านี้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้เคลื่อนไหวในอากาศได้อย่างคล่องตัว กระบี่บางเล่มมีลักษณะเฉียงเอียง บางเล่มก็มีลักษณะเป็นตัว S ในภาษาอังกฤษ บางเล่มก็มีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม กล่าวได้ว่ากระบี่บินได้ที่หลินเป่ยเฉินกำลังเห็นอยู่ขณะนี้ คือการรวบรวมรูปทรงเรขาคณิตที่ผิดเพี้ยนมาอยู่ด้วยกันทั้งหมด…
ยามแรกเห็น
บรรดากระบี่เหล่านั้นคล้ายกับลอยตัวอย่างกระจัดกระจายในอากาศ
ไร้รูปแบบ ไม่เป็นระเบียบ
แต่หากลองพิจารณาดูให้ดีก็จะได้รู้ว่าพวกมันประจำอยู่ตามจุดในค่ายกลสังหาร มวลพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากกระบี่เหล่านี้ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกหายใจไม่สะดวกขึ้นมาทันตาเห็น
“นี่คือพลังของค่ายอาคมกระบี่อย่างนั้นหรือ?”
ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความประหลาดใจ
เขารีบใช้พลังปราณธาตุทองคำของตนเองเพื่อควบคุมมวลกระบี่ในอากาศ
กระบี่บินได้เหล่านั้นหันปลายแหลมคมของมันกลับไปทางอื่น
พลังกดดันที่แผ่ออกมาเสื่อมสลายลง
“ประเสริฐ นับว่ามีฝีมือไม่ธรรมดา”
หวังฉีกงอุทานออกมาด้วยความยินดี “เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังแล้ว ฮ่า ๆๆ ลองดูอีกสักครั้ง”
ชายชรายกมือดีดนิ้วอย่างต่อเนื่อง
ป๊อก!
กระบี่เหล่านั้นคล้ายกับฟังภาษาคนรู้เรื่อง พวกมันหันปลายแหลมคมลอยตัวกลับไปห้อมล้อมหลินเป่ยเฉินอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่ใกล้เข้ามา
เขายิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม
สมมุติว่านี่เป็นกระบี่ที่เคลื่อนไหวด้วยค่ายอาคมจริง ๆ หากหลินเป่ยเฉินยังหาวิธีสลายค่ายอาคมไม่ได้ ต่อให้เขามีพลังควบคุมแร่โลหะ มันก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป
วูบ! วูบ! วูบ!
กระบี่จำนวนหลายร้อยเล่มพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด
คมกระบี่สาดประกายวูบวาบเป็นจังหวะสอดคล้องกันเสมือนอยู่ในค่ายกล
ดูเหมือนนี่จะเป็นกระบี่ที่เคลื่อนไหวด้วยค่ายอาคมจริง ๆ
ทันใดนั้น กระบี่สองเล่มก็ได้พุ่งออกมาอยู่ด้านหน้าสุด
พวกมันมีความเร็วเหนือกระบี่เล่มอื่น ๆ สามารถเข้ามาประชิดตัวหลินเป่ยเฉินได้อย่างน่าหวาดกลัว
“พลังของกระบี่สองเล่มนี้เทียบเท่ากับการโจมตีของขั้นเซียนระดับสอง”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นโบกสะบัด
แล้วกระบี่ทั้งสองเล่มนั้นก็หมุนตัวลอยกลับออกไปทันที
“ให้ตายสิ ทำไมเจ้าถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้?”
หวังฉีกงอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าสามารถรับมือการโจมตีของข้าได้ อย่างน้อยก็คงอยู่ในขั้นเซียนระดับสาม เสื้อคลุมที่เจ้าสวมใส่เป็นเครื่องแบบของสำนักกระบี่อมตะ เจ้าเป็นศิษย์ของที่นั่นหรือ? ไม่มีทาง สำนักกระบี่อมตะมีศิษย์ที่โดดเด่นเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เจ้าเป็นใครกันแน่?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มรับไม่ตอบคำ แต่ถามกลับไปว่า “ผู้อาวุโสหวัง ค่ายอาคมกระบี่ของท่านมีพิษสงเพียงเท่านี้เองหรือ?”
หวังฉีกงหัวเราะในลำคอ ก่อนพูดว่า “ยังไม่หมดเพียงเท่านี้…”
ป๊อก!
ชายชรายกมือดีดนิ้วอีกครั้ง
และจังหวะที่กระบี่เหล่านั้นกำลังจะหมุนตัววนเวียนอยู่รอบกายหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง พวกมันกลับหยุดนิ่ง
กระบี่ที่มีทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบหกเล่มหลากหลายขนาดและรูปทรงหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ส่องแสงประกายแวววาวราวกับดวงดาราบนฟากฟ้ายามราตรี
แต่แรงกดดันที่โถมใส่หลินเป่ยเฉินเพิ่มความหนักหน่วงมากขึ้น
ค่ายอาคมกระบี่ยังคงทำงาน
กระบี่มีหนึ่งร้อยสามสิบหกเล่ม เท่ากับมีค่ายอาคมหนึ่งร้อยสามสิบหกชุด
และค่ายอาคมเหล่านั้นผนึกกำลังรวมกันเป็นม่านพลังหนึ่งเดียว
เป็นวิธีการที่ฉลาดมาก
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายแวววาว
ด้วยการใช้ค่ายอาคมกระบี่รูปแบบนี้ ต่อให้หวังฉีกงมีพลังอยู่เพียงขั้นปรมาจารย์ แต่เขาก็สามารถจัดการผู้มีพลังขั้นเซียนได้อย่างไม่มีปัญหา
แม้แต่หลินเป่ยเฉินเองก็เกือบจะแย่ไปเหมือนกัน
“สมแล้วที่ผู้อาวุโสหวังเป็นนักสร้างค่ายอาคมอันดับหนึ่งของเมืองไป๋หยุน”
หลินเป่ยเฉินร้องชมเชยออกมาเสียงดังกังวาน
“เฮอะ เจ้ามาพูดดีตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว”
ในที่สุด วันนี้หวังฉีกงก็ได้มีโอกาสพบกับคนที่สามารถรับมือกับค่ายอาคมของเขาได้ ดังนั้นชายชราจึงรู้สึกลิงโลดใจเป็นอย่างยิ่ง “เด็กน้อย เจ้ารู้ตัวตอนนี้ก็ไม่ทันการณ์ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติค่ายอาคมกระบี่ของข้า”
กระบี่ที่ลอยตัวแน่นิ่งอยู่กลางอากาศมีแสงสว่างกะพริบวิบวาวราวกับดวงดาวบนฟากฟ้า
เมื่อหวังฉีกงดีดนิ้วมือ กระบี่เหล่านั้นก็พุ่งตัวเป็นเสมือนแสงเลเซอร์ ปกคลุมเข้ามาทั่วร่างกายของหลินเป่ยเฉิน
“เชี่ย”
หลินเป่ยเฉินสบถออกมาโดยไม่รู้ตัว
พลังคุกคามที่บีบอัดเข้ามาจากรอบทิศทางทำให้เด็กหนุ่มไม่กล้าประมาท
เขานำกระบี่ที่ขโมยมาจากสุสานกระบี่ออกมาโคจรพลังลมปราณใส่ลงไป และใช้มันเป็นเครื่องมือปัดป้องลำแสงเลเซอร์เหล่านั้นที่พุ่งเข้ามาหาตนเอง
“ผู้อาวุโสหวัง ให้ข้าน้อยทดสอบความแข็งแกร่งของค่ายอาคมกระบี่ท่านดูหน่อยเป็นไร”
หลินเป่ยเฉินฉวยโอกาสตวัดกระบี่ในมือโจมตีกลับไปบ้าง
นี่คือกระบวนท่าที่มาจากวิชากระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทร
บรรจุด้วยพลังลมปราณของเขาอย่างเปี่ยมล้น
เปรี้ยง!
มวลอากาศสั่นสะเทือน เหล่ากระบี่บินได้ที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศเริ่มเกิดการสั่นไหว
แต่มันก็เพียงเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าค่ายอาคมของฝ่ายตรงข้ามมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือการโจมตีจากหลินเป่ยเฉินได้
เด็กหนุ่มเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
ประเสริฐ
แข็งแกร่งมาก
ไม่ว่าจะเป็นการรุกหรือการรับ ค่ายอาคมของหวังฉีกงนับว่าทำได้ดีจริง ๆ
“ผู้อาวุโสหวัง ข้าน้อยขอร้องบอกต่อท่าน ได้โปรดเตรียมรับมืออีกครั้ง”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำราม
หลังจากนั้น เขาก็โจมตีออกไปอีกหลายกระบวนท่า
ทุกกระบวนท่าบรรจุด้วยพลังลมปราณอันโดดเด่น
ครืน!
โลกทั้งใบคล้ายกับเกิดการสั่นสะเทือน
ตอนแรก ค่ายอาคมกระบี่เหมือนจะต้านทานการโจมตีได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เพียงไม่นาน พลังของมันก็เริ่มเสื่อมถอยลง
“เด็กน้อย เจ้ามีฝีมือไม่ธรรมดาจริง ๆ”
หวังฉีกงตกตะลึง ก่อนพูดด้วยความกะตือรือร้น “แต่เพียงเท่านี้ยังไม่พอ เราผู้เฒ่ายังมีกระบวนท่าพิฆาตรอเจ้าอยู่ ฮ่า ๆๆ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ข้าก็จะต้องฆ่าเจ้าให้ได้…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
พรวด!
เยว่หยาเอ๋อผู้นั่งรับชมความสนุกอยู่บนเสาหินต้นหนึ่งพลันกระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่ ใบหน้าของนางซีดขาว สีหน้าไม่สู้ดี
แล้วค่ายอาคมกระบี่เหล่านั้นก็สลายลงไปในพริบตา
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
กระบี่จำนวนนับร้อยเล่มร่วงลงกระทบพื้นเสียงดังเกรียวกราว
“หยาเอ๋อ…”
หวังฉีกงตกใจ รีบวิ่งไปประคองหลานสาวของตนเองด้วยความตื่นตระหนก เมื่อโคจรพลังลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นของเด็กหญิงเรียบร้อย ชายชราจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่สีหน้ากลับยังคงเคร่งเครียดไม่เปลี่ยนแปลง
ชายชราหันกลับมาถลึงตาจ้องมองหลินเป่ยเฉินและพูดด้วยความโกรธแค้นว่า “อำมหิตนัก ทำไมต้องทำกันถึงขั้นนี้?”
หลินเป่ยเฉินแตกตื่นตกใจ
แต่เขาก็จ้องมองกระบี่ที่ตกเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นดิน ก่อนจ้องมองไปยังเด็กหญิงเยว่หยาเอ๋อ แล้วหลินเป่ยเฉินก็ได้เข้าใจอะไรบางอย่าง เขาพูดว่า “กระบี่เหล่านี้ แท้ที่จริงแล้วหลานสาวของท่านเป็นผู้ควบคุมใช่หรือไม่?”
“หากนางเป็นอะไรไป ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่”
หวังฉีกงมีสีหน้าที่บอกชัดว่า ‘ข้าไม่พร้อมรับฟังเหตุผลของเจ้า’ ก่อนจะพยายามถ่ายเทพลังลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่เยว่หยาเอ๋ออย่างหมดหวัง
สีหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความเศร้าและความวิตกกังวล อดรำพึงรำพันออกมาไม่ได้ว่า “หลานปู่ ปู่แค่อยากจะลองทดสอบความแข็งแกร่งของเขาเท่านั้น ทำไมเจ้าต้องฝืนถึงเพียงนี้? หากทนไม่ไหว เจ้าก็น่าจะยอมแพ้สิ”
เยว่หยาเอ๋อส่งเสียงไอออกมาหลายครั้ง ดวงตาของนางเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น เด็กหญิงยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะกล่าวว่า “ในที่สุด หลานก็ได้พบเครื่องมือสำหรับทดสอบว่า ค่ายอาคมของพวกเรามีจุดอ่อนและจุดแข็งตรงไหนบ้าง…”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
เมื่อสักครู่ นางยังเรียกหาเขาเป็น ‘คุณชายสุดหล่อใจดีมีเมตตา’ อยู่เลย
บัดนี้ กลับเรียกหาเขาเป็นแค่เครื่องมือแล้วหรือ?
เด็กหนุ่มโบกมือปล่อยละอองน้ำสาดกระจาย
พลังวารีบำบัด
หลังจากนั้น เยว่หยาเอ๋อที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส ก็ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ ใบหน้าของนางกลับมามีสีเลือดฝาดอีกครั้ง
“ฮื่อ สบายตัวจัง”
เด็กหญิงดีดตัวลุกขึ้นยืน ก่อนกระโดดไปรอบบริเวณด้วยความคึกคักแจ่มใส “ท่านปู่ ดูสิ หลานหายดีแล้ว”
หวังฉีกงยังคงอยู่ในความสับสน ก่อนฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
เขาหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและถามว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
หลินเป่ยเฉินบอกชื่อของตนเองออกไป
“พูดจริงสิ?”
หวังฉีกงเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ “เจ้าคือหลินเป่ยเฉิน ข้าอยากเจอตัวเจ้ามานานแล้ว ฮ่า ๆๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้ากลับมาหาข้าเองถึงที่… แต่ช่างเถอะ วันนี้เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใดรึ?”
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาขบคิดอยู่สักครู่ ก็ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “ผู้เยาว์ได้ยินชื่อเสียงของผู้อาวุโสหวังมานานแล้ว ได้ยินว่าท่านมีความปราดเปรื่องฉลาดเฉลียวไร้ผู้ใดเทียบเคียง ดังนั้นวันนี้ผู้เยาว์จึงมาเพื่อขอสมัครเป็นลูกศิษย์ เรียนรู้วิชาการสร้างค่ายอาคมกระบี่ของผู้อาวุโสขอรับ”