เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1152 ฮัลโหล เทสต์
ตอนที่ 1,152 ฮัลโหล เทสต์
ในที่สุด บรรดาผู้คนที่ต่อสู้อยู่บนสะพานหินก็ได้ค้นพบความเปลี่ยนแปลงขณะนี้
สถานการณ์พลิกกลับตาลปัตร
บรรดาผู้บุกรุกรีบล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านผู้อาวุโสเจี๋ยนอู่จีตายแล้ว”
“ท่านเจ้าสำนักของเราตายแล้ว”
“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”
ได้ยินเสียงผู้คนตะโกนด้วยความตื่นตระหนก
การต่อสู้ยุติลงในทันใด
เพราะไม่มีความสมดุลอีกต่อไป
เว่ยตงเฉิง เสวี่ยนเม่ย ถังหลิวฮัวผู้เป็นสามยอดฝีมือระดับผู้นำสำนักขั้นเซียนระดับสูงต่างก็จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดไม่ฝันว่าสุดท้ายแล้วสถานการณ์จะออกมาในรูปแบบนี้
กลายเป็นว่าผู้เปลี่ยนโฉมหน้าสถานการณ์ทั้งหมด กลับเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่พวกเขาไม่เคยให้ความสนใจมาตั้งแต่แรก…
มีเพียงฉู่อวิ๋นซุนผู้เดียวเท่านั้นที่อยากจะสู้ต่อไป แต่เขาก็ถูกลู่กวนไห่ดึงกลับมา หลังจากพยายามสะบัดหลุดแต่ล้มเหลวหลายรอบ เขาก็สังเกตเห็นร่องรอยของพิษผีเสื้อราตรีบนแขนลู่กวนไห่ ท่านเจ้าเมืองจึงลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างและรีบควานหายาถอนพิษมาให้กับนาง…
นับเป็นบุรุษที่รักภรรยาอย่างยิ่ง
ในเวลาเดียวกันนี้ สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดยืนนิ่งเฉย
ส่วนเจ้าสำนักกระบี่สายฟ้าวายุเม่ยฮัวโส่วและเจ้าสำนักคฤหาสน์กำยานฮั่วเฟยฮัว รวมไปถึงเจ้าสำนักกระบี่กังวานเจิ้นหรู่หลง พวกเขาต่างก็ยืนหยัดเคียงข้างกันอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินนำโทรโข่งออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ ก่อนยกขึ้นทาบริมฝีปากของตนเองและพูดออกไปว่า
“ฮัลโหล เทสต์ พระเอกมาแล้วจ้า อะโจ้ว…”
คลื่นเสียงแผ่กระจายออกไป
ผู้มีพลังขั้นเซียนที่ยังรอดชีวิตอยู่ต้องยกมือขึ้นปิดหูพร้อมกัน
ยอดเยี่ยม
ปรากฏว่าโทรโข่งที่มีราคาเพียงศิลาบูชาสองก้อนเครื่องนี้ มีคุณภาพเสียงใช้ได้ดีทีเดียว แม้มันจะเป็นแค่ของเลียนแบบโทรโข่งยี่ห้อดังก็ตาม
หลินเป่ยเฉินพึงพอใจเป็นอย่างมาก
“เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”
“เริ่มจากการพูดคุยด้วยประเด็นพื้นฐาน…”
“ทุกท่านโปรดฟังให้ดี สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ผู้ใดที่รู้ตัวว่าเป็นศัตรูของพวกเรา ขอให้รีบทิ้งอาวุธลงเดี๋ยวนี้ พร้อมกันนั้นก็สลายพลังลมปราณลงไป และโยนสิ่งของมีค่าที่พกติดตัวอยู่ออกมาข้างหน้าทั้งหมด…”
“ผู้ใดเป็นบุรุษขอให้ใช้มือขวาบีบจมูกของตนเอง ส่วนมือซ้ายยกขึ้นแตะข้อศอกของแขนขวา โน้มตัวลงมาข้างหน้าและนั่งยอง ๆ ส่วนสตรี ขอให้ยกมือขึ้นมาเหนือศีรษะและกางนิ้วออกมาให้ชัดเจน…”
“อย่าบังคับให้ข้าต้องทำอะไรรุนแรง”
เสียงพูดผ่านโทรโข่งของหลินเป่ยเฉินดังกังวานไปทั่วสะพานหินเหนือบ่อลาวาใต้ดิน
…
ดินแดนทวยเทพ
ในดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง
เมืองที่ใหญ่ที่สุดมีนามว่าเมืองเยี่ยเฉิง
หลังพายุหิมะโหมกระหน่ำ อุณหภูมิก็ลดต่ำลง
เมืองเยี่ยเฉิงที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลนดูสวยงามมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง
แต่ความสวยงามเหล่านี้เทียบไม่ได้เลยกับความโหดร้ายของความหนาวเย็น ในอุณหภูมิที่ลดลงต่ำเช่นนี้ มีคนบาปจำนวนไม่น้อยต้องนอนหนาวตายอยู่ข้างถนนและในบ้านพักอันซอมซ่อ
ทุก ๆ ฤดูหนาวมักมีคนตายดั่งใบไม้ร่วง
ณ มุมเมืองฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นศูนย์รวมอาชญากรแห่งหนึ่ง
ในโรงเตี๊ยมราคาถูก กลิ่นมูลสัตว์ลอยตลบผ่านกำแพงเข้ามา ทำให้ผู้คนที่อยู่ในห้องพักรู้สึกคลื่นไส้จนอยากอาเจียน
“น้องชายสุดที่รักของเจ้าสามารถพึ่งพาได้หรือไม่? ทำไมถึงยังไม่เดินทางมาอีก?”
ขอทานสาวเสื้อผ้าเก่าขาดผู้หนึ่งอดบ่นออกมาด้วยความท้อใจไม่ได้
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร มันยังไม่ถึงเวลานี่นา”
ขอทานสาวอีกนางหนึ่งที่มีใบหน้าด่างดำด้วยคราบสกปรกลดเสียงลงกระซิบแอบพูดว่า “เจ้าจะกังวลไปไย? เชื่อแผนการของข้าเถอะ ครั้งนี้ เราต้องทำได้สำเร็จแน่นอน”
“ประเด็นสำคัญก็คือสิ่งที่เจ้าเด็กผู้นั้นพูดสามารถเชื่อถือได้หรือไม่”
ขอทานสาวนางแรกตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ข้าอุตส่าห์ละทิ้งครอบครัวและกิจการของข้ามากับเจ้า แต่ครั้งที่แล้วก็ล้มเหลวไปแล้วรอบหนึ่ง หากครั้งนี้แผนการล้มเหลวอีก ข้าคงต้องถูกพวกเทพแห่งพงไพรจับตัวไปทรมานไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่ ๆ”
“เชื่อใจข้าเถอะ สิ่งที่เขาพูดย่อมเชื่อถือได้”
ขอทานสาวใบหน้าสกปรกยกมือตบหน้าอกตนเองด้วยความมั่นใจ “ก่อนหน้านี้ เจ้าก็ได้รับรากชงโหลวไปแล้วไม่ใช่หรือ? นั่นคือของที่หาได้ทั่วไปหรืออย่างไร? รากชงโหลวถือเป็นของวิเศษหายาก เมื่อเขาสามารถจัดหามาให้เราได้ ย่อมหมายความว่าน้องชายผู้นี้มีความสามารถเหนือธรรมดา เจ้าต้องอดทนรอสักหน่อย เมื่อเขามาแล้ว พวกเราก็ไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีก ถึงตอนนั้น ไม่ว่าต้องการไปที่ใด พวกเราก็ย่อมไปได้ เจ้าเชื่อมั่นในแผนการของข้าเถอะ”
“แล้วเจ้าไปรู้จักเด็กหนุ่มที่ทรงพลังผู้นี้ได้อย่างไร?”
ขอทานสาวนางแรกผู้มีดวงตากลมโตถามออกมาด้วยความสงสัยใจ “ข้ารู้จักเจ้าดี เจ้าเอาแต่ดื่มสุราทั้งวันไม่ทำสิ่งใด แต่ข้ามีกิจการขายน้ำจืดรู้จักผู้คนมากมาย แล้วเหตุไฉน ข้าถึงไม่รู้จักบุคคลเช่นนี้บ้าง?”
“นี่เจ้ากำลังดูถูกข้าอย่างนั้นหรือ?”
ขอทานสาวใบหน้าด่างดำแสยะยิ้ม “เพราะว่าข้าเอาแต่ดื่มสุราทั้งวันไม่ทำอะไรไงล่ะ ข้าถึงได้มีเวลาว่างมากมาย ส่วนเจ้าวันทั้งวันเอาแต่ทำกิจการขายน้ำจืดและขายปุ๋ยหมดอายุให้กับกลุ่มเกษตรกร เจ้าจึงไม่มีเวลาได้มารู้จักกับบุคคลดี ๆ เช่นนี้…”
ขอทานสาวนางแรกหยุดชะงักไปทันที “ขายปุ๋ยหมดอายุอันใด? นั่นคือผลิตภัณฑ์ใหม่ของข้าต่างหาก ใครจะไปคิดว่าแมงป่องตัวนั้นจะไปอยู่ในปุ๋ยของข้าได้ นี่คือเรื่องเข้าใจผิดแท้ ๆ …แต่ช่างเถอะ เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยนะ”
ขอทานสาวใบหน้าด่างดำยักไหล่ “ไม่มีสิ่งใดซับซ้อน พวกเรามารู้จักกันได้ ก็เพราะใบหน้าอันสวยงามและรูปร่างอันเย้ายวนใจของข้า”
ขอทานสาวทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นด้านนอก ก่อนจะมีผู้คนส่งเสียงกรีดร้อง
และเสียงกรีดร้องก็ดังมากขึ้นเรื่อย ๆ
ขอทานสาวทั้งสองนั่งสะดุ้งโหยง
“อุ๊ย สงสัยหน่วยลาดตระเวนของพวกเทพพงไพรคงมากันแล้ว พวกเรารีบไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า”
“ประเสริฐ พวกเรารีบไปกันเถอะ… แต่เจ้าอย่าลืมปิดมือถือด้วยนะ พวกเขาสามารถตามแกะรอยพวกเราผ่านสัญญาณมือถือได้… มีคนมากมายต้องมาตายน้ำตื้นเพราะเหตุนี้นับไม่ถ้วนแล้ว”
“เข้าใจแล้วจ้ะ เจ้าคนขายปุ๋ยหมดอายุ”
…
สุสานกระบี่ เมืองไป๋หยุน
“ประเสริฐ”
หลินเป่ยเฉินลดโทรโข่งลงอย่างมีความสุขและกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีใครเชื่อฟังคำพูดของข้า เพราะฉะนั้น ข้าก็คงต้องสังหารพวกเจ้าให้หมดสิ้นซะแล้ว”
ในเวลาเดียวกันนี้
พวกของเว่ยตงเฉิงมีสีหน้าตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาเห็นกับตาว่าเจี๋ยนอู่จีถูกฆ่าตายในขณะที่ตราศิลาศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่กับตัว ส่วนผู้ร่วมขบวนการอีกสองคนอย่างซยงป่ากับควงซวีจือก็เดินตามรอยเท้าเจี๋ยนอู่จีไปติด ๆ
ทุกคนล้วนตายด้วยฝีมือของหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มที่ไม่มีใครสนใจมาตั้งแต่แรก
เป็นเด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้นี้ปิดบังฝีมือที่แท้จริงมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ?
“พวกเราร่วมมือกัน”
“ไม่มีหนทางให้ถอยกลับอีกแล้ว”
“สู้จนตัวตาย ภักดีต่อนายท่าน”
ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสูงสามคนหันมองหน้ากันและตัดสินใจต่อสู้อย่างถวายชีวิต
พวกเขาเคยเผชิญหน้าอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วน สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเคยพบเจอ ต่อให้มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตในการต่อสู้ พวกเขาก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว
เมื่อเผชิญหน้าหมู่มวลกระบี่ที่พุ่งเข้ามาจากในอากาศ พวกของเว่ยตงเฉิงก็ลงมือโจมตีพร้อมกัน
ห่างออกมาไม่ไกล
ลู่กวนไห่กับฉู่อวิ๋นซุนก็กำลังระเบิดพลังลมปราณออกมาแล้วเช่นกัน
ไม่ว่ามองจากมุมใด ขณะนี้หลินเป่ยเฉินคือพันธมิตรของพวกเขา ต่อให้ฉู่อวิ๋นซุนจะไม่ชอบเด็กหนุ่มคนนี้ก็ตาม แต่เขาไม่มีทางยืนดูหลินเป่ยเฉินถูกฝ่ายตรงข้ามรุมเล่นงานอยู่เพียงลำพังได้เด็ดขาด
แต่สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดนามแม่นางหลินกลับยกมือห้ามทุกคน
“ไม่ต้องกังวล”
น้ำเสียงของนางเงียบสงบปราศจากความตื่นตระหนก “พวกเราดูอยู่เฉย ๆ ก่อนเถอะ”