เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1176 อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ
ตอนที่ 1,176 อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ
นี่เขามาอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมขายเนื้อมนุษย์หรือไง?
ไอ้หมอนี่คงอยากฆ่าเขาเอาเนื้อไปทำเมนูเนื้อแปดกษัตริย์แน่ ๆ
นับว่าดินแดนทวยเทพช่างอันตรายจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกอยากกลับแผ่นดินตงเต้าซะแล้ว
เขายังคงเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราวต่อไป เพราะอยากจะดูว่าบุรุษผู้เป็นเด็กรับใช้ประจำโรงเตี๊ยมต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่ หลินเป่ยเฉินเห็นอีกฝ่ายพูดพึมพำอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะลังเลและลดมีดลง จนกระทั่งหมุนตัวเดินกลับออกไปจากห้องหน้าตาเฉย…
บ้าเอ๊ย ใจหายใจคว่ำหมด
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินคิดมากเกินไปเองหรือไม่?
หรือว่าเนื้อมนุษย์ในเสบียงยังคงมีเหลืออยู่ ชายฉกรรจ์จึงตั้งใจเก็บเขาเอาไว้ฆ่าในภายหลัง?
หลินเป่ยเฉินรีบลุกขึ้นจากเตียง
หนีไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า
เขาถือเป็นคนแปลกหน้าสำหรับดินแดนทวยเทพ ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงยังไม่อยากลงมือทำอะไรจนกว่าเขาจะได้เข้าใจกฎเกณฑ์ในโลกใบนี้
เพียงระยะเวลาสั้น ๆ พละกำลังในร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็ฟื้นฟูกลับมาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว
สมแล้วที่คัมภีร์ห้าธาตุหลอมวิญญาณคือวิชาอันดับหนึ่งในดินแดนทวยเทพ
หลินเป่ยเฉินสูดลมหายใจลึก ก่อนจะใช้มือผลักประตูเปิดออกไป
หลังจากนั้น เขาก็ยืนตัวแข็งทื่อ
เพราะเด็กสาวคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ก่อนหน้านี้กำลังเดินถือถาดอาหารตรงมาที่ประตูห้องนอนของหลินเป่ยเฉินพอดี
“ทำไมเราถึงไม่รู้ตัวเลยนะ?”
หลินเป่ยเฉินตระหนักว่าตั้งแต่มาถึงดินแดนทวยเทพ ประสาทการรับรู้ของเขาก็ดูจะอ่อนด้อยลง หรือจะเป็นเพราะผู้คนในดินแดนทวยเทพมีระดับพลังสูงล้ำมากเกินไป?
“เคเก้ บาดูก้า?”
เมื่อเด็กสาวเห็นหลินเป่ยเฉินสามารถลุกขึ้นมาเปิดประตูห้องพักได้แล้ว นางก็ยิ้มออกมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจสักคำ
หลินเป่ยเฉินล้มเลิกแผนการหลบหนีชั่วคราว เสแสร้งแกล้งทำเป็นมึนงง “อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ…”
นางกำลังนำอาหารมาให้เขารับประทานใช่หรือไม่?
ในอาหารคงไม่มียาพิษอยู่หรอกกระมัง?
ไม่น่ามีหรอกมั้ง
คนที่ถูกวางยาพิษตาย ไม่น่าจะนำเนื้อไปประกอบอาหารได้นะ
หลินเป่ยเฉินถอยหลังกลับเข้าไปในห้อง เด็กสาวเดินถือถาดอาหารเข้ามาในห้อง นางวางชามโจ๊กลงบนโต๊ะไม้ข้างเตียง และผายมือส่งสัญญาณเป็นเชิงให้เขาเริ่มลงมือรับประทานได้เลย
หลินเป่ยเฉินกำลังคิดวิธีทำภาษามือเพื่อปฏิเสธ
แต่แล้วกระเพาะของเขาก็ส่งเสียงร้องโครกครากเป็นการอุทธรณ์ด้วยความหิวโหย
นับตั้งแต่มาถึงดินแดนทวยเทพ เด็กหนุ่มก็รู้สึกหิวมากขึ้น
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าลำบากใจ
“คิกคิก…”
ฮันลั่วเซวี่ยส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
รอยยิ้มของนางดูเป็นมิตรและจริงใจ
หลินเป่ยเฉินใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย หยิบชามโจ๊กขึ้นมารับประทานรวดเดียวหมด
สำหรับบุรุษหนุ่มรูปหล่ออย่างเขา ไม่มีทางตายเพราะถูกสตรีวางยาพิษอยู่แล้ว
มิเช่นนั้น นางคงไม่ช่วยชีวิตเขาไว้ตั้งแต่แรก
นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้กินอาหารเช้าเรียบง่ายอย่างนี้
แต่มันช่างอร่อยจริง ๆ
นี่ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปตอนอยู่มัธยมต้นบนโลกมนุษย์ใบเดิมอีกครั้ง อาหารเช้าที่แม่เตรียมเอาไว้ให้ก่อนไปโรงเรียนทุก ๆ วัน ก็เรียบง่ายแต่อบอุ่นเช่นนี้เอง
สิ่งเดียวที่สร้างความผิดหวังให้แก่หลินเป่ยเฉินก็คือโจ๊กของดินแดนทวยเทพ เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว มันสามารถยับยั้งความหิวโหยได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีสรรพคุณอื่นใดในการเสริมสร้างพลังลมปราณ ยืดอายุขัย เสริมความงาม หรือบำรุงสุขภาพตับไตแม้แต่น้อย
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้
“ท่านอิ่มแล้วหรือไม่?”
เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินรับประทานโจ๊กหมดชามในรวดเดียว ฮันลั่วเซวี่ยก็มองหน้าเขาและถามออกมาอย่างมีความสุข
แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินย่อมฟังไม่เข้าใจ
เขาเสแสร้งแกล้งเป็นใบ้ต่อไป “อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ…”
“น่าสงสารจัง หน้าตาก็ดี กลับมาเป็นใบ้เสียได้” ฮันลั่วเซวี่ยถอนหายใจและถามว่า “ท่านฟังที่ข้าพูดเข้าใจหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยังคงตอบคำถามด้วยคำว่าอะแบ๊ะ อะแบ๊ะต่อไป
พวกเขาทั้งสองสื่อสารกันอย่างยากลำบาก
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยังคงพักอยู่ในโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยเป็นการชั่วคราว
และในที่สุด เขาก็มีโอกาสใช้โทรศัพท์มือถือสแกนหนังสือของดินแดนทวยเทพ เพียงเท่านี้ เขาก็สามารถอ่านและเขียนภาษาเทพได้แล้ว
สุดท้าย เขาก็มีวิธีสื่อสารกับเด็กสาวผู้ช่วยชีวิต… โดยการเขียนข้อความโต้ตอบกัน
นั่นจึงทำให้หลินเป่ยเฉินได้รู้ว่าเด็กสาวผู้นี้มีนามว่าฮันลั่วเซวี่ย บิดาของนางคือฮันหลี่ มารดาของนางคืออู๋เหว่ย ครอบครัวนี้เปิดกิจการโรงเตี๊ยมหาเลี้ยงชีพ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ากิจการดำเนินไปไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ส่วนชายฉกรรจ์คิ้วหนาตาโตที่เคยถือมีดมายืนข้างเตียงหลินเป่ยเฉินก่อนหน้านี้มีนามว่าหรานจื่อชุน เป็นเด็กกำพร้าที่ฮันหลี่รับมาเลี้ยงดู และเขาก็อยู่ช่วยงานที่โรงเตี๊ยมมาหลายปีแล้ว
ฮันหลี่พึงพอใจในตัวของหรานจื่อชุนเป็นอย่างมาก ท่านผู้เฒ่ารู้สึกว่าบุรุษผู้นี้เป็นคนใจดีมีเมตตาและเอาการเอางาน อีกทั้งตนเองยังไม่มีบุตรชาย ดังนั้นฮันหลี่จึงยึดถือหรานจื่อชุนเป็นว่าที่ลูกเขยมาโดยตลอด
เรื่องนี้ทุกคนในครอบครัวล้วนทราบดี
เพียงแต่ว่าฮันลั่วเซวี่ยยังไม่ได้ยินยอมพร้อมใจ มิเช่นนั้น ป่านนี้นางกับเขาคงแต่งงานกันไปแล้ว
สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยการอ่านข้อความ หลินเป่ยเฉินจึงได้เข้าใจรายละเอียดของดินแดนทวยเทพมากขึ้น
สถานที่ที่ ‘โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย’ ตั้งอยู่คือในเมืองเยี่ยเฉิง ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนทวยเทพ
เขตที่อยู่อาศัยของพวกเขาคือพื้นที่ระดับ 3 ประจำแดนตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเยี่ยเฉิง
เมืองเยี่ยเฉิงมีขนาดใหญ่โตมาก ครอบคลุมรัศมีหลายพันลี้ ยึดครองพื้นที่ถึงครึ่งหนึ่งของดินแดนทวยเทพ
ใช่แล้ว นี่คือข้อมูลที่ถูกต้อง
หลินเป่ยเฉินต้องขอคำยืนยันย้ำอีกหลายครั้งเพื่อความแน่ใจ ในที่สุด เขาก็ต้องยอมรับความจริงว่าดินแดนทวยเทพนั้นไม่ได้มีอาณาเขตกว้างขวางอย่างที่เคยจินตนาการเอาไว้
ดินแดนทวยเทพแบ่งออกเป็นเพียงสองส่วนหลักเท่านั้นคือ เมืองเยี่ยเฉิงกับพื้นที่ชานเมือง
เมืองเยี่ยเฉิงถูกปกครองโดยสภาเทพเจ้า
ประชากรกว่า 60% ของดินแดนทวยเทพล้วนอาศัยอยู่ที่นี่
เมืองเยี่ยเฉิงปกคลุมด้วยพื้นที่ป่าและถนนเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ภายในเมืองจึงแบ่งออกเป็นเก้าแดนใหญ่ ประกอบไปด้วยเขตแดนฝั่งตะวันออก เขตแดนฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ เขตแดนฝั่งใต้ เขตแดนฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ เขตแดนฝั่งตะวันตก เขตแดนฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ เขตแดนฝั่งเหนือ เขตแดนฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ และเขตแดนตอนกลาง
ในแต่ละเขตแดนยังแบ่งแยกย่อยอีกเป็นสามระดับชั้น ประกอบไปด้วย พื้นที่เขต 1 พื้นที่เขต 2 และพื้นที่เขต 3
คุณภาพชีวิตของประชากรผู้อยู่อาศัยก็แบ่งตามพื้นที่ในเขตนั้น ๆ
พื้นที่เขต 1 ผู้อยู่อาศัยจะมีความสะดวกสบายและปลอดภัยมากที่สุด
พื้นที่เขต 2 เป็นพื้นที่ของเทพเจ้าชนชั้นกลาง
ส่วนพื้นที่เขต 3 อันเป็นพื้นที่ ๆ โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยเปิดกิจการอยู่นี้ และเป็นพื้นที่ที่ยากจนที่สุดในเขตตะวันตกเฉียงเหนือ
ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพชีวิตหรือทรัพยากรอาหารการกิน ล้วนเทียบไม่ได้กับพื้นที่อีกสองเขตร่วมแดน
พื้นที่เขต 3 ของพวกเขานั้นทุกวันจะมีแสงแดดสาดส่องสว่างเพียงยามบ่าย ส่วนเวลาอื่น ๆ ของวันจะปกคลุมด้วยแสงสลัวสีเทาอันน่าหมองเศร้าเท่านั้น
ประชากรกว่า 60% ในพื้นที่เขต 3 มักจะเป็นคนบาป ส่วนอีก 30% เป็นพลเมืองปกติ และมีอีก 10% ที่เป็นอสูรไม่ทราบแหล่งกำเนิด…
ครอบครัวของฮันลั่วเซวี่ยเป็นพลเมืองปกติ
หลินเป่ยเฉินเข้าใจลำดับชั้นทั้งหมดแล้ว
เขาพบว่าในเมืองเยี่ยเฉิงแห่งนี้มีกำแพงทางชนชั้นที่แข็งแกร่งมาก
ผู้ที่จะสามารถเข้าไปทำงานในสภาเทพเจ้าได้นั้น จำเป็นต้องเป็นเทพเจ้าที่ได้รับการยอมรับในระดับสูง
ต่อให้เป็นเทพเจ้าที่มีลำดับชั้นเท่ากัน แต่หากอีกฝ่ายมีชื่อบรรจุอยู่ในสภาเทพเจ้า ผู้ที่เป็นเพียงเทพเจ้าธรรมดาก็ยังต้องก้มหัวให้ด้วยความเคารพ
เพราะเทพเจ้าที่มีนามบรรจุอยู่ในสภาจะเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพสูงสุด
ส่วนเทพเจ้าองค์อื่น ๆ จะเป็นเพียงเทพเจ้าธรรมดาเท่านั้น
แต่การจะเข้าสู่สภาเทพเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย
ส่วนใหญ่แล้วตำแหน่งในสภาจะสืบทอดกันผ่านทางสายเลือด
นอกจากผู้ที่มีชื่ออยู่ในสภาเทพเจ้าจะได้รับความเคารพเป็นอย่างสูงแล้ว พวกเขายังได้อภิสิทธิ์มากมายในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนคัมภีร์วิทยายุทธ์ระดับสูง การเรียนรู้วิธีปรุงโอสถสูตรลับประจำแดนทวยเทพ ได้เรียนรู้วิธีการหลอมศาสตราวุธวิเศษ รวมไปถึงได้เรียนรู้การสร้างสรรค์ในอีกหลาย ๆ อย่าง
และผู้ที่อยู่ในความดูแลของพวกเขาก็คือกลุ่มพลเมือง…