เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1304 ใต้เท้าหมิงรั่ว
ตอนที่ 1,304 ใต้เท้าหมิงรั่ว
“ข้าไม่เคยพบเจอผู้ใดยโสโอหังเช่นนี้มาก่อน”
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ วางจอกสุราลงบนโต๊ะอาหาร
พานตั่วชิงโอหังมากเกินไป ถึงกับกล้ามาหาเรื่องเขาถึงที่แล้ว
พานตั่วชิงหัวเราะเยาะอย่างไม่หวาดเกรง “งั้นวันนี้เจ้าก็ได้เห็นแล้ว”
หืม?
คำพูดนี้มันควรเป็นของข้าไม่ใช่หรือ?
เขาหันไปมองหน้านักบวชสาวเซียงเหยียนและถามว่า “หากข้าสังหารมันผู้นี้ในงานเลี้ยง จะถือว่าเป็นการทำผิดกฎการแข่งขันหรือไม่?”
นักบวชสาวเซียงเหยียนส่ายศีรษะอย่างแช่มช้า ตอบว่า “อย่าได้ทำเช่นนั้นเลย”
มือของฮันลั่วเซวี่ยกำเป็นหมัดแน่นด้วยความโกรธแค้นแทนหลินเป่ยเฉิน
พลังศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนออกมาจากรอบกายของเด็กสาวอย่างรุนแรง
นักบวชเซียงเหยียนเห็นเช่นนั้นก็รีบจับแขนของอดีตบุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมเอาไว้และส่ายศีรษะอย่างอ่อนโยน “อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม เจ้าจะทำให้เจี๋ยนเซียวเหยามีปัญหา”
ฮันลั่วเซวี่ยลังเลเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ได้เปิดปากร่ายคำสาปใส่พานตั่วชิง
ทันใดนั้น…
ครืน!
ท้องฟ้ายามราตรีส่งเสียงคำราม มวลอากาศปั่นป่วน
แล้วรถม้าคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มันต้องใช้อสูรอาชาฉุดลากถึงสี่ตัว รถม้าขนาดนั้นกำลังมุ่งหน้ามาที่ยอดเขาเซินเหลียน พลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมาจากห้องโดยสารคือสาเหตุที่ทำให้มวลอากาศปั่นป่วน
พื้นดินบนยอดเขาเซินเหลียนสั่นสะเทือน บรรดานกกาและหรีดหริ่งเรไรพากันเงียบเสียงลง
ไม่ว่าจะเป็นบรรดาองครักษ์ที่อยู่ทั้งด้านในหรือด้านนอกห้องโถงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ชายหรือหญิงที่อยู่ในคฤหาสน์ พวกเขาต่างก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นหิน ก้มหน้ามองพื้นหินด้วยความเคารพยำเกรง
ยิ่งรถม้าคันนั้นเข้ามาใกล้คฤหาสน์มากเท่าไหร่ มวลอากาศก็ยิ่งปั่นป่วนมากเท่านั้น
คลื่นอากาศสั่นไหวจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ช่างเป็นพลังที่น่าเกรงขาม
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบขณะจ้องมองไปที่รถม้าทมิฬคันนั้น
“ใต้เท้าหมิงรั่วมาถึงแล้ว”
นอกห้องโถงใหญ่ องครักษ์สี่นายประสานเสียงร้องตะโกน
รถม้าทมิฬแล่นผ่านเพดานที่เปิดโล่งของห้องโถงใหญ่ไปจอดลงที่หน้าคฤหาสน์ด้านนอก
ร่างที่สูงมากกว่าเก้าเซียะค่อย ๆ ก้าวลงมาจากห้องโดยสารของรถม้า
ใบหน้าของเขาแข็งกระด้าง ดวงตาสีฟ้าเย็นชาปราศจากความรู้สึก ผิวหนังเรียบเนียนราวกับทำมาจากเหล็กไหล ร่างกายสูงใหญ่อุดมด้วยกล้ามเนื้อ ด้านหลังศีรษะปรากฏวงแหวนเรืองแสงปลดปล่อยพลังกดดันคุกคามผู้คน ลักษณะท่าทีน่าเกรงขาม ไม่ต่างไปจากนักล่าที่อยู่จุดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหาร
นี่หรือคือเจ้าภาพที่จัดงานเลี้ยงในคืนนี้?
หลินเป่ยเฉินลองคาดเดาอย่างระมัดระวัง
แล้วคำถามใหญ่ก็เกิดขึ้นในใจของเขาทันที
หลินเป่ยเฉินมีตำแหน่งเป็นทั้งเทพเจ้าบนดินแดนทวยเทพ และเป็นทั้งเซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุน สถานะของเขาก็น่าจะเป็นเทพเจ้าผู้หนึ่งเหมือนกัน
แล้วทำไมหลังศีรษะของเขาถึงไม่มีวงแหวนเรืองแสงแบบนั้นบ้าง?
หรือต้องเป็นเทพเจ้าระดับสูงเท่านั้นจึงจะมีวงแหวนประจำตัว?
ระหว่างที่เด็กหนุ่มคิดมาถึงตรงนี้ วงแหวนหลังศีรษะของใต้เท้าหมิงรั่วก็จางหายไป แล้วพลังกดดันคุกคามผู้คนก็สลายลงตามกันไป
ใต้เท้าหมิงรั่วสะบัดมือเล็กน้อย แล้วรถม้าทมิฬก็พุ่งเป็นลำแสงเข้ามาอยู่บนฝ่ามือของเขาในขนาดที่ไม่ต่างจากรถเด็กเล่นคันหนึ่ง ก่อนที่ใต้เท้าหมิงรั่วจะจัดเก็บไปอย่างง่ายดายในที่สุด
“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”
ใต้เท้าหมิงรั่วยกมือขึ้นบอกต่อบรรดาคนของตนเอง
เสียงของเขาหนาใหญ่และหนักแน่น เพียงรับฟังก็รู้สึกได้ถึงความมีอำนาจที่ทำให้หัวใจผู้คนสั่นระรัว
“ขอบคุณใต้เท้า”
บรรดานักรบ นักเวทและคนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นหินรีบลุกขึ้นยืนทันที
“งานเลี้ยงใหญ่ของเราเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้”
ใต้เท้าหมิงรั่วเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่อย่างเชื่องช้า
ทุกคนรีบหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว
เมื่อใต้เท้าหมิงรั่วเดินเข้ามาในส่วนลึกของห้องโถงใหญ่ พื้นที่บริเวณนั้นก็เป็นที่ตั้งของขั้นบันไดและบัลลังก์ใหญ่ สายตาของผู้ทรงอำนาจกวาดมองบรรดาแขกที่เข้าร่วมงาน รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาเล็กน้อยขณะกล่าวว่า “งานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้ถือเป็นประเพณีสำคัญของสภาเทพเจ้า มีแต่ยอดฝีมืออัจฉริยะเท่านั้นจึงจะได้รับเทียบเชิญให้เหยียบเท้าขึ้นมาบนยอดเขาเซินเหลียน พวกท่านทุกคนคือยอดฝีมืออัจฉริยะรุ่นใหม่ ในอนาคตข้างหน้าก็คงเข้ามาสืบทอดรับช่วงดูแลสภาเทพเจ้าต่อจากพวกเราแล้ว และค่ำคืนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีงาม เทพเจ้าระดับสูงจากสภาจะเข้ามาพูดคุยกับพวกท่าน และไม่แน่พวกท่านคนใดคนหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นเทพเจ้าในสภาคนต่อไปก็เป็นได้ ข้าขอให้ทุกคนจงคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ให้ดี”
“ขอบคุณใต้เท้า”
แขกบางคนมีสีหน้าตื่นเต้นและรีบส่งเสียงตะโกนออกมาด้วยความกระตือรือร้น
หลินเป่ยเฉินหันมามองหน้านักบวชสาวเซียงเหยียนด้วยความสงสัย
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
นักบวชสาวเซียงเหยียนโน้มตัวเข้ามา และกระซิบว่า “ทุกครั้งที่จัดงานเลี้ยงใหญ่ ก็มักจะมีเทพเจ้าระดับสูงจากสภาเทพเจ้าเข้ามาติดต่อแขกในงานที่น่าสนใจเสมอ และหากสามารถเจรจากันได้ด้วยดี แขกผู้นั้นก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเทพเจ้าในสภาโดยไม่มีข้อแม้… แต่แน่นอนว่าคนผู้นั้นต้องมีเงื่อนไขคือห้ามเป็นนักบวชของเทพเจ้าองค์ใด เช่นข้าที่เป็นนักบวชของวิหารเทพพงไพร ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับตำแหน่งนั้นแล้ว”
หืม?
นี่มันไม่ต่างจากงานชุมนุมนักศึกษาบนโลกมนุษย์เลยนี่นา?
พวกเด็กที่เรียนเก่งก็จะมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังมาขอจองตัวไว้ก่อน
นี่จึงเป็นโอกาสดีไม่ใช่น้อย
หากหลินเป่ยเฉินสามารถสร้างผลงานได้สะดุดตาผู้คนมากพอ ก็จะต้องมีเทพเจ้าระดับสูงเข้ามาติดต่อเขาอย่างแน่นอน
นักบวชสาวเซียงเหยียนกล่าวว่า “เมื่อเจ้ากลายเป็นเทพเจ้าในสภา เจ้าก็จะได้รับกองทุนพิเศษจากสภา นอกจากได้รับสมุนไพรวิเศษแล้ว เจ้ายังได้รับชุดเกราะและอาวุธระดับสูงอีกด้วย ข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะเป็นผู้ที่ถูกเลือกในปีนี้ แม้หลังจากนี้เจ้าจะขอถอนตัวจากการแข่งขัน แต่ข้อตกลงระหว่างพวกเขายังคงอยู่ เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันอีกแล้ว”
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ
นี่มัน… ฟังดูเหมือนเขากำลังจะหาทางโกงคนอื่นอย่างไรชอบกล?
ชุดเกราะที่มีในตอนนี้ หลินเป่ยเฉินยังใส่ไม่ครบทุกชุดเลยด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นนวดขมับตนเองอย่างใช้ความคิด
ทันใดนั้น เสียงของใต้เท้าหมิงรั่วพลันเพิ่มระดับความดังกลายเป็นเสียงฟ้าผ่า ทำให้หูของแขกเหรื่อผู้มาร่วมงานถึงกับอื้อไปชั่วครู่หนึ่งเลยทีเดียว
“งานเลี้ยงใหญ่คืนนี้มีของรางวัลอยู่สองชิ้น”
“ของรางวัลชิ้นแรกคือหมวกเหล็กอมตะ”
“ของรางวัลที่ชิ้นที่สองคือคัมภีร์ไพรีดาราราย”
“ของรางวัลทั้งสองชิ้นนี้จะตกเป็นของแขกผู้ที่ผ่านการทดสอบได้คะแนนสูงสุด”
ใต้เท้าหมิงรั่วกล่าว แล้วคลื่นพลังสีแดงก็หมุนวนรอบกายของเขา
ภายในคลื่นพลังที่อยู่ทางซ้ายมือเป็นหมวกเหล็กทองคำซึ่งกำลังหมุนวนรอบทิศทาง มันเป็นหมวกเหล็กของนักรบโบราณ เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นสุดยอดเครื่องมือป้องกันศีรษะชั้นเยี่ยม…
มิเช่นนั้น มันคงไม่ได้ชื่อว่าหมวกอมตะหรอก
ส่วนภายในคลื่นพลังที่อยู่ทางขวามือเป็นศิลาทมิฬที่มีความยาวเท่ากับหนึ่งไม้บรรทัด บนผิวศิลาแกะสลักเป็นลวดลายอักขระของเคล็ดวิชาไพรีดาราราย
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที
หมวกเหล็กวิเศษกับคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์
น่าสนใจจริง ๆ แฮะ
นักบวชสาวเซียงเหยียนที่นั่งอยู่ด้านข้างถึงกับอุทานออกมาว่า
“คิดไม่ถึงเลยว่างานเลี้ยงเบิกฟ้าประจำปีนี้ เจ้าภาพจะนำของดีเช่นนี้ออกมาเป็นของรางวัลแล้ว”
นางส่งเสียงกระซิบ “หมวกเหล็กใบนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของชุดเกราะเทพสงครามอมตะในตำนาน และคัมภีร์ไพรีดารารายก็เป็นเคล็ดวิชาประจำตัวของเทพสงครามอมตะเช่นกัน ความร้ายกาจของวิชานี้เล่าขานกันว่า เพียงใช้ออกมากระบวนท่าเดียวเท่านั้น ก็จะสามารถถล่มทั้งอาณาจักรให้พินาศย่อยยับได้ในเวลาเพียงพริบตาเดียว…”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายระยิบระยับมากกว่าเดิม
เขาพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ใต้เท้าหมิงรั่วช่างมีจิตใจที่กว้างใหญ่ไพศาลราวกับมหาสมุทรนัก ถึงกับนำของวิเศษทั้งสองชิ้นนี้ออกมามอบให้ข้า ข้าคงต้องเตรียมคำพูดขอบคุณเขาสักหน่อย”
นักบวชสาวเซียงเหยียนหันมามองหน้าเด็กหนุ่มผู้ที่มีความมั่นใจในตนเองเปี่ยมล้นและย้ำเตือนด้วยเสียงกระซิบว่า “อย่าเพิ่งรีบดีใจไป การจะได้ครอบครองของวิเศษทั้งสองชิ้นนี้ไม่ง่าย…เพราะครั้งนี้ ข้าเองก็จะพยายามให้เต็มที่เช่นกัน ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้พวกมันไปครอบครองแต่เพียงผู้เดียวเด็ดขาด”