เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1426 ใครเป็นผู้ล่ากันแน่
ตอนที่ 1,426 ใครเป็นผู้ล่ากันแน่?
หวังจง?
ฮั่วเฟยฮัวไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
เพราะตอนที่มาแข่งขันประลองกระบี่ในเมืองไป๋หยุน หวังจงไม่ได้ติดตามหลินเป่ยเฉินมาด้วย
และก็ไม่เคยมีใครพูดถึงหวังจง
ฮั่วเฟยฮัวแสดงสีหน้าพิศวงสงสัยออกมา
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของหลินเป่ยเฉินซึ่งเคยเป็นเด็กหนุ่มบ้านนอกจากเมืองหยุนเมิ่งนั้น แท้จริงแล้วก็คือชายชราผู้นี้เองหรือ?
“ผู้อาวุโสแสดงตัวออกมาเช่นนี้ คงคิดจัดการหัวหน้านักบวชแห่งวิหารเทพตะวันแล้วใช่หรือไม่?”
ฮั่วเฟยฮัวถามด้วยความคาดหวัง
หวังจงถอนหายใจ “หากเป็นเมื่อก่อนก็คงใช่ แต่บัดนี้ ข้าเดินทางกลับจากต่างแดนมาพร้อมลูกสมุนฝีมือดีจำนวนหลายคน พวกท่านดูเอาเถอะ แล้วจะรู้ว่าลูกศิษย์ของข้านั้นมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด แม้แต่หัวหน้านักบวชแห่งวิหารเทพตะวันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
ความเคลือบแคลงสงสัยในใจของฮั่วเฟยฮัวพลันเลือนหายไป
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดผู้อาวุโสหวังจงจึงไม่เคยลงมือมาก่อน นั่นเป็นเพราะว่าเขาไปอยู่ต่างแดนมานั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสแล้ว”
ฮั่วเฟยฮัวประสานมือทำความเคารพ
“อย่างที่บอกนะ เรื่องนี้ไม่ต้องถึงมือข้าหรอก ทำไมข้าจะต้องเหนื่อยแรงด้วย?”
หวังจงเอามือไขว้หลัง ชายเสื้อโบกสะบัดตามแรงลม พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าจะให้ลูกศิษย์ทั้งสองคนได้เก็บประสบการณ์สักหน่อย หากข้าลงมือเองนั้น มันก็จะไม่สนุกเอาน่ะสิ”
ฮั่วเฟยฮัวเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ทันใดนั้น นางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ผู้อาวุโสเจ้าคะ ข้าคือเจ้าสำนักคฤหาสน์กำยาน คนของข้ายังถูกคุมขังอยู่ในจวนผู้ว่าเป็นจำนวนมาก รบกวนท่านผู้อาวุโส…”
หวังจงโบกมืออย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอันใด “ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ข้าได้จัดการเรียบร้อย ศิษย์ของสำนักคฤหาสน์กำยานทุกคนต่างก็ถูกช่วยเหลือออกมาหมดแล้ว”
ฮั่วเฟยฮัวได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
นางประสานมือทำความเคารพอีกครั้ง “ผู้อาวุโสช่างมีเมตตา บุญคุณครั้งนี้ ข้าน้อยจะไม่มีทางลืม”
“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
หวังจงโบกมืออีกครั้ง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
การต่อสู้บนท้องฟ้ายังคงดำเนินไปด้วยความดุเดือด
สถานการณ์เป็นไปตามที่ฮั่วเฟยฮัวคาดคิดเอาไว้
เมื่อเซียวปิงกับอากวงร่วมมือกัน พวกเขาก็โจมตีหัวหน้านักบวชแห่งวิหารเทพตะวันได้อย่างต่อเนื่อง ทางหนึ่งต่อยหมัดใส่ไม่ยั้ง อีกทางหนึ่งก็ระเบิดพลังสายฟ้าฟาดเข้าใส่ไม่หยุด
ความเร็วในการฟื้นตัวของหัวหน้านักบวชแห่งวิหารเทพตะวันเชื่องช้าลง
สายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำเข้ามาอย่างต่อเนื่องเริ่มทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพ
พลั่ก!
กำปั้นของเซียวปิงปะทะเข้ากับแก้มซ้ายของหัวหน้านักบวชอย่างจัง
ลำแสงสีเงินสาดประกาย
โลหิตพุ่งกระฉูดออกมาจากปากของหัวหน้านักบวชแห่งวิหารเทพตะวัน
อากวงอาศัยจังหวะนี้เข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายทางด้านหลังและรัวกำปั้นใส่ท้ายทอยด้วยความอำมหิต
“เจ้าสัตว์อสูรต่ำช้า…”
หัวหน้านักบวชร้องคำรามด้วยความโกรธแค้น ตัวคนโซเซอยู่กลางอากาศ
แต่เสียงคำรามของเขาก็ขาดหายไปด้วยพายุหมัดของเซียวปิง
นี่คือการต่อสู้ที่ผู้ใดพลาดก่อน ผู้นั้นก็ต้องพ่ายแพ้
การร่วมมือกันระหว่างเซียวปิงกับอากวงดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบ หลังโจมตีอย่างต่อเนื่อง หัวหน้านักบวชก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะโต้กลับได้อีก ตัวเขาจึงมีสภาพกลายเป็นกระสอบทรายที่มีชีวิต…
ม่านโลหิตโปรยปรายลงมาจากบนท้องฟ้า
วูบ!
ร่างของหัวหน้านักบวชร่วงหล่นจากท้องนภา
กระแทกพื้นอย่างแรง
อากวงกับเซียวปิงทิ้งตัวตามลงมาแล้วกระทืบลงไปที่ศีรษะและหว่างขาของหัวหน้านักบวช
“อ๊าก…”
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากปากของหัวหน้านักบวชแห่งวิหารเทพตะวัน
นี่คืออาการบาดเจ็บถึงตาย
พื้นดินเกิดรอยแตกร้าว
ร่างของหัวหน้านักบวชพร้อมด้วยเซียวปิงกับอากวงพลันจมหายลงไปใต้พื้นดิน
พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับเป็นผิวน้ำ
“ใช้การไม่ได้”
หวังจงแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา “ข้าหรืออุตส่าห์สอนเคล็ดวิชาดี ๆ ให้ไป… แต่พวกเขากลับโง่เกินกว่าที่จะทำตามคำสอนสั่งของข้าได้”
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป
อากวงกับเซียวปิงก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากใต้ดิน
ในมือของเจ้าหนูยักษ์หิ้วศีรษะของหัวหน้านักบวชแห่งวิหารเทพตะวันมาด้วย
ผมสีทองยาวสลวยปิดบังใบหน้า
ฮั่วเฟยฮัวจ้องมองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยความตกตะลึง “หะ หะ… หัวหน้านักบวชตายแล้วหรือ?”
จมูกของเซียวปิงเป็นรอยบวมช้ำ ใบหน้าถูกทุบตีจนแม้แต่มารดามาเห็นหน้าก็คงจดจำเขาไม่ได้ มือของเด็กหนุ่มหิ้วขอบกางเกงอยู่ข้างหนึ่งขณะรีบสวมใส่เสื้อคลุมชุดใหม่ “ถูกต้องแล้วขอรับ สุนัขชั่วตัวนี้ได้ตายไปแล้ว แต่กว่าจะจัดการมันได้ก็ไม่ง่ายเลย…”
สองแก้มของอากวงบวมเป่งราวกับมันกำลังอมอะไรอยู่ในปากขณะส่งเสียงร้องจี๊ด ๆ ออกมาเป็นความหมายว่า “แต่ใครคิดมามีเรื่องกับข้า มันผู้นั้นก็ต้องมีจุดจบเช่นนี้เอง”
ฮั่วเฟยฮัวจ้องมองศีรษะของหัวหน้านักบวชแห่งวิหารเทพตะวัน
เจ้าของใบหน้าอันหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความร้ายกาจนี้ ไม่ทราบเลยว่าคนของสำนักคฤหาสน์กำยานต้องตายด้วยน้ำมือของเขาและพวกตัวประหลาดขนขาวมากมายเท่าไหร่ ฮั่วเฟยฮัวแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะชักกระบี่ออกมาสับศีรษะนั้นให้แหลกละเอียด
“พวกเจ้าเชื่องช้ามากเกินไป”
หวังจงมองไปที่อากวงกับเซียวปิง หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างไม่สบอารมณ์ “แต่ช่างเถอะ สิ่งสำคัญคือภารกิจสำเร็จแล้ว พวกเรารีบไปจากที่นี่กันดีกว่า…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
“ไปจากที่นี่หรือ? ใครอนุญาตให้พวกเจ้าไป?”
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
สีหน้าของฮั่วเฟยฮัวแปรเปลี่ยนไปโดยทันที
“จี๊ด…”
อากวงตกใจจนขนสีเงินทุกเส้นบนร่างกายชี้ชัน
เพราะเสียงนั้นไม่ได้มาจากที่ใด แต่มาจากศีรษะที่อยู่ในมือของมันนั่นเอง
ศีรษะที่ไม่ควรส่งเสียงพูดได้อีกแล้วขณะนี้กำลังแสยะยิ้ม ดวงตาเบิกโต กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง…
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
เซียวปิงตกใจจนแทบปล่อยมือออกจากขอบกางเกงและกระโดดเตะศีรษะมารนั้นลอยกระเด็นออกไป
ลมหายใจต่อมา…
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
มวลพลังเทพเจ้าระเบิดขึ้นมาจากสี่ทิศทางคือทิศเหนือ ใต้ ออก ตก แสงสีทองสาดประกายขึ้นสู่ท้องฟ้า พุ่งทะลวงเข้าไปสู่ก้อนเมฆ…
แสงสีทองเหล่านั้นหลอมรวมกันกลายเป็นม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ ปิดล้อมพวกของฮั่วเฟยฮัวอยู่ตรงกลางไร้หนทางหลบหนี
ลำแสงทองคำพุ่งขึ้นมาจากสี่ทิศทางไม่ต่างจากเสาหินขนาดใหญ่
พลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพตะวันปกคลุมรอบบริเวณ
เกิดเป็นค่ายอาคมปิดล้อมหนทางหลบหนี
“แย่แล้วสิ”
ฮั่วเฟยฮัวหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ค่ายอาคมที่แข็งแกร่งเช่นนี้รับมือได้ไม่ง่ายเลย
แล้วพวกนางจะหนีรอดได้อย่างไร?
ฮั่วเฟยฮัวหันมาจ้องมองหวังจง ผู้อาวุโสยอดฝีมือที่ยืนอยู่ข้างกายโดยไม่รู้ตัว
นางพบว่าชายชรามีสีหน้าเรียบเฉย
แต่ฮั่วเฟยฮัวไม่ทราบว่ามือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อนั้นกำลังสั่นเทาไม่หยุด
ให้ตายเถอะ เรื่องควรจะจบตรงนี้แล้วไม่ใช่หรือ?
ตู้ม!
ลำแสงสีทองพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในแสงสีทองนั้นคือร่างของหัวหน้านักบวชแห่งวิหารเทพตะวัน
ปรากฏว่าศีรษะของเขาที่ถูกเตะกระเด็นออกไปได้งอกร่างใหม่ออกมาแล้ว
หัวหน้านักบวชบิดลำคอไล่ความเมื่อยขบ ได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังกร็อบ ๆ ดวงตาที่เป็นประกายด้วยความอำมหิตจ้องมองกลุ่มคนบนยอดเขาไม่วางตา “พวกเจ้าคิดจริง ๆ หรือว่ามนุษย์ธรรมดาจะสามารถฆ่าเทพเจ้าได้? พวกเจ้ากำลังคิดต่อต้านเทพเจ้าใช่หรือไม่? ช่างโง่เขลายิ่งนัก!”
พลังศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกมาจากร่างกายของเขาอีกครั้ง
เป็นพลังที่หนักหน่วงรุนแรงมากกว่าตอนต่อสู้ก่อนหน้านี้
“เทพอสูรเหล่านี้มีชีวิตเป็นอมตะ”
บุรุษหนุ่มแขนด้วนที่ยืนเงียบมาตลอดพลันกล่าวออกมาอย่างช้า ๆ
บรรดาเทพอสูรที่มาจากภพภูมิอื่นนั้น ไม่ว่าจะถูกฆ่าตายสักกี่ครั้ง ก็สามารถกำเนิดกลับขึ้นมาใหม่ได้เสมอ
ดังนั้น ในการต่อสู้วันนี้ ใครกันแน่คือผู้ล่าและใครกันแน่คือผู้ถูกล่า?
และใครกันแน่ที่กำลังจะต้องตาย?