เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1444 ท่านชอบผู้ใดมากกว่ากัน
ตอนที่ 1,444 ท่านชอบผู้ใดมากกว่ากัน?
“อะไรหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปมองมารดาของหลิงเฉิน “ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาลวนลามบุตรสาวท่านสักหน่อย…”
ทันใดนั้น มือของเขารู้สึกเย็นเฉียบ
หลินเป่ยเฉินไม่ต่างจากถูกไฟฟ้าช็อต
มือของเขากำลังจะกลายเป็นน้ำแข็ง?
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความตกใจ
บัดนี้ แขนของเขาปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น แขนขวาทั้งข้างก็กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว
แต่โชคดีที่เขาสามารถใช้พลังอัคคีเทวะได้ เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์สามารถเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง รวมไปถึงมวลพลังน้ำแข็งเหล่านี้เช่นกัน สุดท้าย เกล็ดน้ำแข็งบนแขนขวาของเขาก็ถูกหลอมละลายระเหยหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ ชินหลันซูก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ
ชินหลันซูย่อมคิดไม่ถึงว่าหลินเป่ยเฉินจะมีพลังต้านทานคำสาปน้ำแข็งนี้
นับว่ามีความสามารถจริง ๆ
นางเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เด็กหนุ่มฟังคร่าว ๆ และสรุปว่า “บัดนี้ เฉินเอ๋อร์มีร่างกายอ่อนแอ พูดคุยมากไม่ได้”
กล่าวจบ นางก็หมุนตัวเดินออกไปไม่ขัดจังหวะพวกเขาอีก
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้ยินชื่อโรคนทีประลัย
หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ มันเป็นโรคน้ำแข็งมฤตยูนั่นเอง
มันเกี่ยวกับพลังปราณธาตุอย่างนั้นหรือ?
ไม่น่าใช่ เพราะเมื่อลองเปรียบเทียบอาการดูแล้ว มันน่าจะมีความคล้ายคลึงกับโรคทางวิทยาศาสตร์ที่ระบบประสาทเสื่อมสภาพ เนื่องจากร่างกายจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ในรูปแบบเดียวกัน
ดังนั้นเขาจึงพยายามค้นหายารักษาในแอปเถาเป่า
แต่กลับไม่เจอยาที่ต้องการเลยสักชนิดเดียว
“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก”
เมื่อหลิงเฉินเห็นว่าหลินเป่ยเฉินไม่ยอมปล่อยมือของนางเลย เด็กสาวจึงรู้สึกอบอุ่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางยิ้มเศร้าหมองพลางพูดว่า “พี่หลิน ก่อนไปจากที่นี่ ข้าได้พบเจอท่านอีกครั้ง เฉินเอ๋อร์นับว่ามีความสุขแล้ว”
“ทำไมเจ้าไม่เคยบอกข้าเลยล่ะว่าตนเองมีโรคประจำตัวร้ายแรงขนาดนี้?”
หลินเป่ยเฉินกล่าวถาม “โรคร้ายนี้มีวิธีรักษาหรือไม่? จำเป็นต้องใช้สมุนไพรวิเศษชนิดใดบ้าง? บอกมาเถอะ ข้าจะหามาให้เจ้าเอง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิงเฉินยิ่งแสดงออกถึงความสุขล้นปรี่
นางสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่จริงใจของหลินเป่ยเฉิน
เขากำลังเป็นห่วงนาง
“ในโลกนี้ ไม่มียาใดจะสามารถรักษาโรคนทีประลัยได้เจ้าค่ะ”
หลังพยายามอยู่หลายอึดใจ หลิงเฉินก็สามารถพูดออกมาได้ในที่สุด “พี่หลิน ท่านช่วยประคองข้าลุกขึ้นนั่งหน่อยได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินช่วยประคองเด็กสาวลุกขึ้นนั่ง และใช้หมอนดันแผ่นหลังของนางไว้เพื่อไม่ให้นางล้มลงพลางพูดว่า “หากในแผ่นดินตงเต้าไม่มียารักษา อย่างนั้นก็ต้องมีในดินแดนทวยเทพ ต่อให้เป็นสมบัติสวรรค์ขั้นสูงสุด ข้าก็จะหาโอสถนั้นมารักษาเจ้าให้ได้ เฉินเอ๋อร์ บัดนี้ข้ามีสถานะเป็นใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้า ไม่มีสมุนไพรวิเศษชนิดใดที่ข้าจะหามาไม่ได้ เจ้าวางใจเถอะ”
หลิงเฉินค่อย ๆ เอนตัวมาซบไหล่หลินเป่ยเฉินขณะที่เขาคลี่ผ้าห่มคลุมไหล่ให้กับนาง “ไม่ว่าเป็นที่นี่หรือที่ดินแดนทวยเทพต่างก็ไม่มีหนทางรักษาทั้งนั้น… พี่หลินหาโอสถที่ว่านั่นไม่เจอหรอกเจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินถึงกับหยุดชะงัก
นางรู้ได้อย่างไรว่าในดินแดนทวยเทพไม่มีหนทางรักษา?
หลิงเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย “พี่หลินคงทราบแล้วว่าในร่างกายของข้านั้นมีอีกหนึ่งวิญญาณอาศัยอยู่ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าอีกหนึ่งวิญญาณของข้านั้นมาได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะแผ่วเบา
บางทีอาจเป็นเพราะพูดมากเกินไป หลิงเฉินจึงเริ่มมีอาการเหนื่อยหอบแล้ว
หลังจากพักเหนื่อยเล็กน้อย นางก็กล่าวว่า “พี่หลินเคยได้ยินชื่ออาณาจักรหงหวงไหมเจ้าคะ?”
หลินเป่ยเฉินถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย
เขาพอจะคาดเดาได้ว่าหลิงเฉินน่าจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับภพภูมิเหล่านั้นลึกซึ้งมากกว่าตนเองหลายเท่า
อย่างน้อยคำว่าอาณาจักรหงหวง ผู้คนธรรมดาไม่น่าจะเคยได้ยินมาก่อน
“ก็เคยได้ยินผู้คนบอกเล่าอยู่บ้าง”
หลินเป่ยเฉินตอบ
หลิงเฉินไม่ได้แปลกใจไปกับคำตอบของเขาขณะอธิบายต่อ “แผ่นดินตงเต้าและดินแดนทวยเทพต่างก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณาจักรหงหวงมาก่อน แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินเหล่านี้ก็ไม่ต่างไปจากกบในกะลา มองเห็นเพียงท้องฟ้า แต่ไม่ทราบเลยว่าโลกภายนอกยิ่งใหญ่เพียงใด”
อุ๊ย
กบในกะลา
หลิงเฉินรู้จักคำเปรียบเปรยนี้ด้วยหรือ?
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ขัดจังหวะ แต่รับฟังอย่างตั้งใจ
หลิงเฉินกล่าวต่อไปว่า “แผ่นดินตงเต้าและดินแดนทวยเทพเปรียบเสมือนบ่อน้ำเล็ก ๆ เท่านั้น อาณาจักรหงหวงจึงจะเป็นโลกกว้างที่แท้จริง พี่หลิน วันนี้ข้ามีความลับสำคัญจะบอกท่าน”
พูดมาถึงตรงนี้ เด็กสาวก็ไอเล็กน้อย ลมหายใจที่ออกมาจากปากและจมูกเจือปนด้วยเกล็ดน้ำแข็งอยู่หลายส่วน ทำให้ม่านอากาศเบื้องหน้ามีละอองน้ำแข็งลอยละล่อง
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นปลดปล่อยพลังอัคคีเทวะ ทำให้ละอองน้ำแข็งเหล่านั้นละลายหายไป
เขาเริ่มเป็นกังวลเล็กน้อย อยากจะช่วยโคจรพลังอัคคีเทวะเข้าสู่ร่างกายของหลิงเฉินเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด แต่อีกใจหนึ่งก็คิดกลัวว่าพลังอัคคีเทวะของเขาจะไปตีกับพลังปราณธาตุน้ำแข็งในตัวของหลิงเฉิน และนั่นก็จะยิ่งทำให้อาการของนางทรุดหนักลงมากกว่าเดิม
“เจ้าบอกมาสิ ข้ากำลังฟังอยู่”
หลินเป่ยเฉินตอบรับด้วยรอยยิ้ม
หลิงเฉินพิงศีรษะอยู่บนหัวไหล่ของหลินเป่ยเฉิน กล่าวว่า “ความจริงนั้น ข้าไม่ใช่ผู้คนของโลกใบนี้ ข้าเป็นผู้คนจากโลกใบอื่น และวิญญาณของพี่สาวข้าที่อยู่ในตัวของข้านั้น ก็เป็นวิญญาณจากภพภูมิอื่นเช่นกัน”
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ
เป็นไปตามที่เขาคาดเดาเอาไว้จริง ๆ ด้วย
เมื่อหลิงเฉินเริ่มพูดถึงอาณาจักรหงหวง หลินเป่ยเฉินก็พอคาดเดาบางสิ่งบางอย่างได้แล้ว
เพียงแต่เมื่อได้รับฟังจากปากของหลิงเฉินเอง เขาก็อดตกตะลึงไม่ได้อยู่ดี
“ท่านแม่ของข้าเป็นผู้ให้กำเนิดข้า แต่ท่านพ่อผู้นี้ไม่ใช่ท่านพ่อที่แท้จริงของข้า ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ต่างจากท่านพ่อที่แท้จริงของข้าแล้ว ท่านแม่เพิ่งมาเปิดเผยความจริงต่อข้าเมื่อไม่นานนี้เอง นางเล่าว่าหลังจากตั้งครรภ์ข้าอยู่สามปีเต็ม ๆ นางก็ได้ให้กำเนิดข้าออกมา…”
“ท่านแม่บอกว่าข้ามาจากโลกที่มีแต่น้ำแข็งและหิมะ เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกายข้าจึงถือเป็นสิ่งแปลกปลอมของโลกใบนี้ ข้าเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติ ไม่สามารถมีอายุขัยยืนยาวเกินกว่ายี่สิบปี เพราะเลือดในกายจะแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็ง และยิ่งใช้พลังในร่างกายมากเท่าไหร่ อายุขัยก็จะยิ่งสั้นลงเท่านั้น”
“เหตุผลที่ท่านแม่ให้ข้าแต่งงานกับเว่ยหมิงเฉินนั้น เป็นเพราะว่าเว่ยหมิงเฉินมีคัมภีร์จากแดนทวยเทพที่ชื่อว่าคัมภีร์วิญญาณหวนคืนมาตุภูมิ ซึ่งหากข้าได้ฝึกคัมภีร์นี้ ข้าก็จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้…”
“เพียงแต่อาการของข้ากลับทรุดหนักรวดเร็วเกินคาดคิด จนแม้แต่คัมภีร์วิญญาณหวนคืนมาตุภูมิ ก็ไม่สามารถยืดอายุขัยของข้าได้อีกแล้ว”
“เดิมที ข้าคิดว่าเมื่อได้พบหน้าท่านเป็นครั้งสุดท้าย ข้ากับวิญญาณที่อยู่ในร่างก็คงถึงคราวดับสูญ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าประตูระหว่างภพภูมิบนท้องฟ้าได้เปิดออก ตระกูลของท่านแม่ในโลกใบเก่าสามารถตรวจพบที่อยู่ของพวกเรา เช้านี้ พวกเขาจึงส่งคนมาตรวจสอบสายเลือดของข้า และบอกว่าหากข้าเดินทางกลับไปฝึกวิชาหิมะน้ำแข็งสลาตัน เลือดในกายข้าก็จะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง”
“เพราะฉะนั้น ข้ากับท่านแม่จึงตกลงที่จะเดินทางกลับสู่โลกแห่งน้ำแข็งและหิมะไปพร้อมกับพวกเขา”
“พี่หลิน ท่านแม่ไม่ยอมให้ข้าบอกเรื่องนี้ต่อท่าน เพราะกลัวว่าจะทำให้ผู้คนในรถม้าด้านนอกไม่พอใจ แต่ถึงอย่างไรข้าก็บอกท่านอยู่ดี ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด?”
พูดจบ หลิงเฉินก็พยายามเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
หลินเป่ยเฉินพยายามปล่อยมุกตลก เพื่อทำให้บรรยากาศแจ่มใสขึ้น
แต่เมื่อถูกนางจ้องเขม็งเอาเช่นนี้ เขาก็ตลกไม่ออกอีกแล้ว
แน่นอน หลินเป่ยเฉินย่อมเข้าใจดีว่าเพราะเหตุใดหลิงเฉินถึงยอมบอกความลับนี้กับเขา
ไม่ใช่แค่หลิงเฉินอยากให้เขารู้ว่านางกำลังจะไปที่ใด
แต่เป็นเพราะหลิงเฉินอยากจะให้หลินเป่ยเฉินล่วงรู้ชาติกำเนิดของนาง
และที่สำคัญก็คือ นางอยากจะให้เขาทราบว่าโลกใบนี้มีแต่ความโหดร้ายอันตราย
หลินเป่ยเฉินยื่นมือไปโอบไหล่หลิงเฉินและสัมผัสได้ถึงละอองน้ำแข็งที่เกาะตามแขนของเขาทันที “เพราะเฉินเอ๋อร์อยากให้ข้าทราบว่ายังคงมีผู้คนจากภพภูมิอื่นอยู่อีก เจ้าไม่อยากให้ข้าประมาท เจ้าไม่อยากให้ข้าทำตัวเป็นกบในกะลา โลกนี้กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลง ขนาดคนในภพภูมิของเจ้ายังเดินทางมาที่นี่ได้ คนอื่น ๆ ในภพภูมิอื่น ๆ ก็สามารถมาที่นี่ได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงควรระวังตัวให้มากกว่าเดิมและเตรียมพร้อมรับมือการรุกรานจากบุคคลภายนอกให้ดี”
หลิงเฉินส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
เขาเข้าใจ
เขาเข้าใจจิตใจของนางจริง ๆ
หลิงเฉินมีความสุขยิ่งนัก
เด็กสาวกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะว่าข้ามีพลังน้ำแข็งอันตรายเช่นนี้ ก่อนจากกัน ข้าคงมอบเรือนร่างให้ท่านได้เชยชมแล้ว… พี่หลิน โปรดบอกมาตามตรง ท่านอยากชมเชยเรือนร่างข้าหรือไม่?”
เอ่อ…
หลินเป่ยเฉินไม่รู้จะตอบรับอย่างไรดี
เขากะพริบตาปริบ ๆ ขณะที่หลิงเฉินถามต่อไป “ในร่างข้ามีวิญญาณอยู่สองดวง ข้าขอถามท่าน… ระหว่างตัวข้ากับพี่สาวที่อยู่ในร่างข้า ท่านชอบผู้ใดมากกว่ากัน?”