เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1450 ข้าเกลียดคนอยู่สองประเภท
ตอนที่ 1,450 ข้าเกลียดคนอยู่สองประเภท
กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มเก็บกวาดสมรภูมิรบ
ใบหน้าของทุกคนประดับด้วยรอยยิ้มแห่งผู้ชนะ
กลุ่มนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บมานั่งรวมตัวกัน หลินเป่ยเฉินใช้พลังวารีบำบัดในวงกว้าง สาดละอองน้ำรักษาบาดแผลให้แก่ทุกคน แม้แต่ผู้มีพลังขั้นเซียนที่บาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย หลินเป่ยเฉินก็ยังสามารถชุบชีวิตกลับคืนมาได้อย่างปาฏิหาริย์…
ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนอกเหนือไปจากนี้ เป็นหน้าที่ของนักบวชจากวิหารเทพีกระบี่และหมอยาจากสำนักโอสถเป่ยเฉินคอยดูแลรักษาต่อไป
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สำนักโอสถเป่ยเฉินเติบโตอย่างรวดเร็ว ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดของพวกเขาจะมีชื่อ ‘เป่ยเฉิน’ ต่อท้ายเสมอ ไม่ว่าจะเป็นโอสถสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ หรือจะเป็นยาพิษสำหรับการฆาตกรรม ไปจนถึงผงละลายศพ สินค้าเหล่านี้ต่างก็เป็นที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง จนแทบจะกลายเป็นลัทธิใหม่ขึ้นมาชื่อว่าลัทธิสำนักโอสถเป่ยเฉิน
หมอยาในสำนักโอสถเป่ยเฉินจึงมีสถานะสูงส่งไม่ต่างไปจากนักบวชแห่งวิหารเทพีกระบี่
เมื่อข่าวถูกส่งต่อจากสนามรบเข้าสู่ตัวนครเจาฮุย ชาวเมืองก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดี
นอกจากการประกาศของหลิงฉือและพรรคพวกแล้ว วีรกรรมอันกล้าหาญของหลินเป่ยเฉินยังได้ถูกป่าวประกาศผ่านการโฆษณาชวนเชื่อของเถียนเถียน ซึ่งยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเด็กหนุ่มโด่งดังมากขึ้นกว่าเดิม…
การโฆษณาชวนเชื่อคือสิ่งที่สำคัญมาก
หลินเป่ยเฉินไม่จำเป็นต้องพูดอะไรสักคำ ชาวเมืองทุกคนก็รู้แล้วว่าเขาสามารถสังหารเทพเจ้าระดับสูงได้ในเวลาเพียงพริบตาเดียว ดังนั้น การที่เขาหายตัวไปเป็นระยะเวลาหลายเดือน จึงไม่ส่งผลต่อความนิยมในตัวเขาเลย…
องค์หญิงเหยียนอิงของชาวทะเลยิ้มมุมปากเหยียดหยาม “เจ้าทำตัวอวดดีเกินไปแล้ว”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ตอบกลับไปว่า “พี่หญิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? ในชีวิตนี้ข้าเกลียดคนอยู่สองประเภทที่สุด ประเภทแรกคือคนที่ทำตัวอวดดีนี่แหละ”
เถียนเถียนส่งเสียงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “แล้วประเภทที่สองล่ะขอรับ นายท่าน?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “คนที่ไม่ยอมปล่อยให้ข้าทำตัวอวดดีน่ะสิ”
เหยียนอิงได้ยินดังนั้นก็แทบตกลงมาจากเก้าอี้ล้อเลื่อนแล้ว
สมแล้วที่เป็นบุคคลสมองเสื่อม!
การทำความสะอาดสนามรบดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ
และด้วยการทำลายล้างจากหุ่นเหล็กมฤตยู พื้นที่ริมแม่น้ำซินเจียงทั้งสองฝั่งจึงอยู่ในขั้นตอนการสร้างใหม่ทั้งหมด ภูเขาพังถล่ม พื้นดินมีแต่รอยแตกร้าวกลายเป็นร่องลึกไร้ก้นบึ้ง…
นี่คือพลังทำลายล้างจากเทพเจ้าที่แท้จริง
แต่อย่างไรก็ตาม ในค่ายที่พักของกองทัพจากวิหารเทพพงไพร ยังมีคนกลุ่มหนึ่งสามารถรอดชีวิตออกมาได้
“หืม? องค์ชายอวี่กับบุตรสาวแห่งจักรวรรดิจี้กวงถูกพบตัวอยู่ในสนามรบอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อหลิงฉือได้รับข้อมูลนี้ก็รีบหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินทันที “พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่งข้อความมาบอกว่าอยากพบท่าน เพราะมีความลับสำคัญบางอย่างอยากจะบอก คุณชายจะไปพบพวกเขาหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบว่า “ย่อมต้องไป”
…
หลังจากนั้นไม่นาน
ตรงพื้นที่ซึ่งเคยเป็นค่ายที่พักของกองทัพจากวิหารเทพพงไพร หลินเป่ยเฉินพบเห็นองค์ชายอวี่และองค์หญิงอวี่เค่ออยู่ท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง
ร่างกายครึ่งหนึ่งขององค์ชายอวี่ถูกเผาไหม้ดำเป็นตอตะโก ลมหายใจแผ่วเบารวยริน ดวงตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินพร้อมกับกล่าวว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าวันหนึ่ง พวกเรากลับต้องมาพบเจอกันในสถานการณ์เช่นนี้…”
หลินเป่ยเฉินกวาดตามองดูทีเดียวก็รู้แล้วว่าบุคคลผู้นี้ไม่อาจรักษาได้
นี่คืออาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากพลังอัคคีเทวะ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าปราณธาตุที่หุ่นเหล็กมฤตยูครอบครอง แม้หลินเป่ยเฉินจะมีพลังปราณธาตุน้ำ แต่ก็ไม่สามารถชุบชีวิตองค์ชายอวี่กลับคืนมาได้อีกแล้ว
และองค์หญิงอวี่เค่อที่อยู่ด้านข้างก็มีอาการหนักไม่น้อยไปกว่ากัน
ลำตัวของนางตั้งแต่ช่วงหน้าอกลงไปถูกเปลวไฟเผาไหม้ดำเป็นตอตะโก
พิจารณาจากท่าร่างและตำแหน่งของบิดากับบุตรสาวคู่นี้ สามารถสรุปได้ว่าตอนที่เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งเข้ามา ผู้เป็นบิดาพยายามจะใช้ร่างกายของตนเองกำบังเปลวไฟให้แก่บุตรสาว แต่นั่นก็ยังเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์อยู่ดี
พ่อลูกคู่นี้ถูกพลังอัคคีเทวะเล่นงานเพียงรอบนอกเท่านั้น หากพวกเขาถูกเปลวไฟเหล่านั้นแผดเผาโดยตรง ป่านนี้ร่างกายก็คงแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
“พวกท่านเรียกข้ามาพบ มีอะไรจะพูดหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
เมื่อเป็นศัตรูของประเทศชาติ ความเกลียดชังจึงไม่มีทางสิ้นสุดลงง่าย ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อฮันปู้ฟู่ต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือกองทัพของจักรวรรดิจี้กวง หลินเป่ยเฉินจึงไม่มีเหตุผลที่เขาต้องสงสารผู้คนจากจักรวรรดิจี้กวงอีก
แววตาของหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น
เขาไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป
องค์ชายอวี่ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดด้วยเสียงอ่อนล้า “พวกเราชาวจี้กวงมีเหตุจำเป็นให้ต้องเข้าร่วมกองทัพเทพเจ้า หากเราไม่ยอมเข้าร่วม เทพอสูรเหล่านั้นก็จะฆ่ากวาดล้างจักรวรรดิจี้กวงหมดสิ้น…. เพื่อปวงประชาของพวกเรา ข้าจึงต้องเข้าร่วมกับพวกเขาอย่างไม่มีทางเลือก แต่บัดนี้ พวกเรายินดีสวามิภักดิ์ต่อจักรวรรดิเป่ยไห่ นับจากนี้เป็นต้นไป จักรวรรดิจี้กวงขอเป็นเมืองขึ้นต่อจักรวรรดิเป่ยไห่อย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ อีกแล้ว ฝากพวกท่านดูแลประชาชนของเราด้วย”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิดเล็กน้อย ก็ตอบรับว่า “รับทราบ”
เขาไม่ใช่คนใจจืดใจดำเกินไปนัก
ยังมีอะไรอีกหรือไม่?
ตอนที่หลินเป่ยเฉินอยู่ในเมืองไป๋หยุนก่อนหน้านี้ ก็เคยมีคนพูดเช่นนี้กับเขาแล้วเช่นกัน
เมื่อองค์ชายอวี่เห็นหลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบรับ สีหน้าจึงปรากฏความรู้สึกโล่งอกขึ้นมาอย่างชัดเจน
เมื่อสักครู่นี้ เขาเห็นกับตาว่าหลินเป่ยเฉินสามารถเอาชนะหุ่นเหล็กมฤตยูได้อย่างง่ายดาย นั่นหมายความว่าโชคชะตาของแผ่นดินตงเต้านับจากนี้ไป ล้วนอยู่ในมือของเด็กหนุ่มผู้นี้แล้ว
ดังนั้นความหวังที่ประชาชนชาวจี้กวงจะมีชีวิตอยู่รอด ก็อยู่ในมือของเด็กหนุ่มผู้นี้เช่นกัน!
เมื่อหลินเป่ยเฉินตอบตกลง ก็เท่ากับว่าองค์ชายอวี่ได้รับคำอนุมัติจากฝ่ายสัมพันธมิตร
“การค้นหาร่างของแม่ทัพฮันในหุบเหวดาวตก แม้ว่าเราจะไม่พบเจอร่างของท่านแม่ทัพ แต่เราก็พบว่ามันเป็นหุบเหวที่ไม่มีก้นบึ้ง แต่ดูเหมือนกับว่าก้นเหวแห่งนั้นจะเป็นประตูระหว่างภพภูมิที่นำไปสู่ดินแดนอันไกลโพ้น พวกเราเคยส่งหน่วยกล้าตายไปเป็นจำนวนมาก ทว่าพวกเขาต่างก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เคยส่งข่าวคราวกลับมาอีกเลย…”
องค์ชายอวี่กล่าวต่อไป
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
ก้นเหวดาวตกเป็นประตูระหว่างภพภูมิ?
จริงด้วย เกือบลืมไปเลยนะเนี่ย!
หากเป็นเช่นนี้ ฮันปู้ฟู่อาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้กระมัง?
“รับทราบ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
จักรวรรดิจี้กวงสืบเสาะข้อมูลมาได้ถึงระดับนี้ก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว
“การมาถึงของพวกเทพอสูรเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปทั้งหมด การสำรวจหุบเหวดาวตกของพวกเราถูกกลุ่มเทพอสูรแย่งชิงไป ดูเหมือนพวกเขาจะสนใจหุบเหวดาวตกเป็นอย่างมาก…” องค์ชายอวี่กล่าวต่ออีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบใช้ความคิด
พวกเทพอสูรสนใจประตูมิติอย่างนั้นหรือ?
งั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่ประตูมิติจะไม่ได้นำพาผู้คนไปที่ดินแดนทวยเทพเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
เมื่อองค์ชายอวี่พูดจบ เขาก็เกิดลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะขอร้องอย่างมีความหวังว่า “คุณชายหลิน บุตรสาวข้ายังอายุน้อยนัก ท่านสามารถช่วยเหลือนางได้หรือไม่ นาง…”
หลินเป่ยเฉินสาดละอองน้ำจากพลังวารีบำบัดครอบคลุมลงไปที่ร่างของอวี่เค่อ
แต่มันมีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ความหวังในแววตาขององค์ชายอวี่ดับวูบลงไปทันที
ผิดกับองค์หญิงอวี่เค่อที่ยังคงรักษาสีหน้าเยือกเย็นเอาไว้ได้ นางจ้องมองหลินเป่ยเฉิน ยิ้มกว้างก่อนพูดว่า “น่าเสียดายที่ท่านไม่ได้ทำให้ข้าเปียกฉ่ำก่อนหน้านี้ เป็นเพราะว่าข้ายังเด็กเกินไปและยังโตไม่เต็มที่ ท่านจึงไม่เคยชำเลืองมองข้าเลยใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินไม่ตอบรับคำใด เพราะเขาไม่มีอารมณ์มาโต้เถียงกับนางอีกแล้ว
องค์หญิงอวี่เค่อกล่าวออกมาอีกครั้ง “ท่านจำใต้เท้าหลินจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก
องค์หญิงอวี่เค่อกล่าวว่า “นางคือพี่สาวของท่าน หลินถินชาง”