เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1464 รับสุราหรือน้ำชา
ตอนที่ 1,464 รับสุราหรือน้ำชา
ให้ตายเถอะ
คงปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้
ดูเหมือนตำแหน่งเทพเจ้าจะไม่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียวสักเท่าไหร่
ต้องรีบแก้ไข
หลินเป่ยเฉินพยายามจะตั้งชื่อใหม่
แต่สุดท้ายความพยายามก็ล้มเหลว
ไม่ว่าพยายามตั้งชื่อใหม่อย่างไรก็ตั้งไม่สำเร็จ
“เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ…”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า
นี่คงเป็นชื่อที่ไม่เหมาะกับจะให้เป็นองครักษ์ประจำตัวเสี่ยวเซียงเซียงสักเท่าไหร่
ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาเก็บหุ่นเหล็กตัวนี้เอาไว้ใช้เองก็ได้
เอาไว้เสี่ยวเซียงเซียงสามารถจัดการหุ่นเหล็กมฤตยูตัวที่สองนั้นได้เมื่อไหร่ เขาค่อยนำหุ่นตัวนั้นมาตั้งชื่อเพราะ ๆ และมอบให้เป็นองครักษ์ประจำตัวนางก็แล้วกัน
หลินเป่ยเฉินกำลังจะออกคำสั่งให้หุ่นยนต์หมายเลขหนึ่งเดินกลับไปหาเยว่หงเซียง แต่เมื่อหันหน้ามองไปอีกที เขาก็เห็นว่าเยว่หงเซียงสามารถควบคุมหุ่นเหล็กตัวใหม่ได้สำเร็จแล้ว
และเมื่อหลินเป่ยเฉินลองควบคุมหุ่นยนต์หมายเลขหนึ่งให้เยว่หงเซียงดู นางก็ถึงกับต้องตกตะลึง
“ท่านทำได้สำเร็จแล้วหรือ?”
เยว่หงเซียงมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้ม เชิดหน้าขึ้นสี่สิบห้าองศา ตอบด้วยความภาคภูมิใจ “ย่อมสำเร็จแล้ว”
เยว่หงเซียงจุดบุหรี่สูบรวบรวมสมาธิ พยายามรวบรวมข้อมูลค่ายอาคมที่ค้นพบในตัวหุ่นเหล็กทั้งสองตัวนี้ ก่อนจะหันมามองที่หุ่นยนต์หมายเลขหนึ่ง แต่นางกลับรู้สึกว่าหุ่นตัวนี้เปลี่ยนไปจากเดิม มันคือความเปลี่ยนแปลงที่เยว่หงเซียงไม่อาจเข้าใจได้ สุดท้าย เด็กสาวก็ต้องถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว “สมกับเป็นพี่เป่ยเฉินจริง ๆ”
นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ
เพราะสำหรับในหัวใจของเยว่หงเซียง หลินเป่ยเฉินคือผู้ที่สมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน
หลินเป่ยเฉินสอบถามว่า “เจ้าถอดโครงสร้างหุ่นตัวที่สองนี้ได้แล้วหรือ?”
เยว่หงเซียงยิ้มเล็กน้อย “ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“ทำไมถึงเร็วจัง?”
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “แต่หุ่นตัวแรกเจ้าขอเวลาตั้งสามวันเลยนะ?”
เยว่หงเซียงมีดวงตาเป็นประกายสดใสขึ้นมาในทันใด นางเกี่ยวปอยผมไปทัดไว้หลังใบหูอีกครั้ง สีหน้าแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในตนเองอย่างสูงสุด “สำหรับปัญหาที่เคยพบมาแล้วหนึ่งครั้ง การแก้ไขครั้งต่อไป ย่อมเร็วมากกว่าเดิมเสมอ”
“สุดยอด”
หลินเป่ยเฉินยกนิ้วโป้งชื่นชมจากใจจริง “ส่งมาให้ข้าสิ ข้าจะทำให้มันมีชีวิตเอง”
สองชั่วยามต่อมา หลินเป่ยเฉินก็ทำการติดตั้งตำแหน่งเทพเจ้าลงไปบนหุ่นเหล็กตัวที่สอง
เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็สั่งให้มันเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างกายเยว่หงเซียง ก่อนกล่าวว่า “ข้าขอมอบหุ่นตัวนี้เป็นของขวัญให้กับเจ้า”
ดวงตาของเยว่หงเซียงเป็นประกายระยิบระยับด้วยความเหลือเชื่อ “แต่มันมีมูลค่ามากเกินไป”
หลินเป่ยเฉินย่อมไม่ยอมเปิดช่องให้นางปฏิเสธ “เจ้าเป็นนักเวทผู้สร้างค่ายอาคม จำเป็นต้องมีองครักษ์คอยรักษาความปลอดภัยระหว่างการต่อสู้ หุ่นเหล็กตัวนี้เหมาะกับเจ้ามากที่สุดแล้ว เจ้าจะตั้งชื่ออะไรให้มันก็ได้ มันจะคอยเป็นองครักษ์พิทักษ์เจ้าในอนาคต… เมื่อมีมันอยู่ข้าง ๆ เจ้า ก็เหมือนข้าได้อยู่ข้างเจ้าเช่นกัน”
พูดจบ เขาก็จัดการส่งมอบหุ่นเหล็กมฤตยูตัวที่สองให้แก่เยว่หงเซียงอย่างเป็นทางการ
“ขอบคุณพี่เป่ยเฉินมากแล้ว”
เยว่หงเซียงเชื่อฟังหลินเป่ยเฉินทั้งหัวใจ นางไม่ทราบเลยว่าตนเองต้องทำผิดกฎเพราะเขามาแล้วกี่ครั้ง หลังจากลังเลเล็กน้อย เด็กสาวก็ยอมรับหุ่นเหล็กมฤตยูตัวที่สองนี้เป็นของขวัญแต่โดยดี
“ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าอะไรดีนะ?”
เยว่หงเซียงยกบุหรี่ที่คีบอยู่ระหว่างนิ้วมือเรียวยาวขึ้นสูบอึกหนึ่ง หัวคิ้วขมวดมุ่น พึมพำว่า “ต้องเป็นคำที่ฟังเข้าใจง่าย ๆ แต่มีความหมายที่ดี ถ้าอย่างนั้น… ข้าจะตั้งชื่อมันว่า… หุ่นเหล็กมหากาฬ…”
เดี๋ยวก่อนนะ?
จะเอาชื่อนี้จริงสิ?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกใจ “ช้าก่อน”
แต่สายเกินไปแล้ว
เขามอบหุ่นเหล็กตัวนี้เป็นของขวัญให้แก่เยว่หงเซียงอย่างเป็นทางการไปแล้ว
เมื่อสิ้นเสียงพูดของนาง กระบวนการตั้งชื่อก็ดำเนินไปทันที
ดวงตาของหุ่นเหล็กมฤตยูตัวที่สองมีประกายไฟพวยพุ่ง อักขระบนลำตัวเรืองแสงขึ้นมาเสมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน แสงสว่างนั้นวูบวาบอยู่ประมาณสามครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติ
“มีอะไรหรือเจ้าคะ?”
เมื่อเห็นสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน เยว่หงเซียงก็นึกว่าตนเองทำสิ่งใดผิดพลาด จึงสอบถามด้วยความพิศวงสงสัย “เกิดปัญหาสำคัญขึ้นหรือไม่?”
“อ้อ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก…”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว “ช่างมันเถอะ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…”
เขาหมุนตัวโบกมือบ๊ายบายนางโดยไม่เหลียวหน้ามองกลับมา “เจ้าฝึกฝนมันต่อไปเถอะ ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ… ขอตัวก่อน”
เพราะนี่เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินได้รับข้อความจากนักพรตหญิงชินสุดที่รักของเขา
ในที่สุด นางก็อนุญาตให้เขาเข้าพบที่ลานกว้างด้านหลังวิหารแล้ว
เมื่อเห็นอากัปกริยารีบร้อนจากไปของหลินเป่ยเฉิน เยว่หงเซียงก็ยิ่งมึนงงสงสัยมากกว่าเดิม
นางหันกลับมามองที่หุ่นเหล็กมฤตยูหมายเลขสองด้วยความสงสัย หลังจากขมวดคิ้วใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ เด็กสาวก็เหมือนกับจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
“เจ้าหุ่นเหล็ก ย่อเข่าลง”
เยว่หงเซียงพยายามออกคำสั่ง
แต่เจ้าหุ่นเหล็กกลับนิ่งเฉย
เยว่หงเซียงถึงกับหยุดชะงักไปเล็กน้อย
นางเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น!
…
วิหารประจำเมือง
พืชพรรณไม้เขียวขจี ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้า
อากาศสดชื่นบริสุทธิ์ บุปผาบานสะพรั่ง นกน้อยส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว
นับตั้งแต่ที่หัวหน้านักบวชขั้นสูงสุดอย่างเยว่เว่ยหยางมาพำนักอยู่ที่นี่ ภูเขาทั้งลูกก็ปกคลุมด้วยหมอกสีขาวบาง ๆ ตลอดทาง บรรยากาศของภูเขาลูกนี้จึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์และปริศนาดำมืด
วูบ!
ลำแสงสายหนึ่งพุ่งตัวทะลุผ่านม่านพลังที่คุ้มกันวิหารประจำเมืองบนภูเขา หายวับไปทางลานโล่งด้านหลังวิหาร
“ศัตรูบุกรุก”
“มีมือสังหารลอบเข้ามา…”
บรรดานักบวชสาวในวิหารต่างก็รีบออกมาจากห้องพักของตน เพื่อเผชิญหน้ากับศัตรู
แม้แต่หัวหน้านักบวชอย่างเยว่เว่ยหยางก็ยังต้องปรากฏตัวออกมาที่ลานจัตุรัสด้วยความตื่นตระหนก
แต่ในไม่ช้า คลื่นเสียงก็ถูกส่งผ่านออกมาจากทิศทางลานด้านหลังวิหาร
เยว่หงเซียงมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากนั้น นางก็ยกมือบอกทุกคนว่า “วางใจเถอะ นี่ไม่ใช่ศัตรูบุกโจมตี ทุกคนกลับไปปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้แล้ว”
บรรดานักบวชสาวสวยต่างก็ล่าถอยไปด้วยความมึนงง
เยว่เว่ยหยางยังคงยืนกัดริมฝีปากอยู่ที่เดิม สีหน้ามีแต่ความพิศวงสงสัย ดูเหมือนกำลังจะเกิดเรื่องสำคัญบางประการที่นางไม่อาจรับรู้ได้แล้วสิ
…
ณ ลานด้านหลังวิหาร
ใต้ต้นไม้ใหญ่
นักพรตหญิงชินยืนอยู่ใต้กระแสลม
ชายเสื้อคลุมสีเงินและเส้นผมสีเดียวกันปลิวไสวไปตามแรงลม ไม่ต่างไปจากการไหวเอนของต้นไม้พันปีที่มีหิมะปกคลุม
เสื้อคลุมที่นักพรตหญิงชินสวมใส่เป็นเครื่องแบบผู้ทรงศีลทั่วไป แต่กลับมีความงดงามเฉิดฉายเมื่อมาอยู่บนร่างกายของนาง เอวคอดกิ่วนั้นรัดพันด้วยเข็มขัดทองคำเส้นหนึ่ง ชายกระโปรงพลิ้วไหวไปตามกระแสลม เผยให้เห็นถึงเรียวขาขาวเนียนสมส่วน เกิดเป็นภาพที่งดงามราวกับเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว…
หลินเป่ยเฉินพลันทิ้งตัวลงมายืนอยู่ในลานโล่ง
นักพรตหญิงชินเงยหน้ามองม่านพลังที่กำลังสมานตัวบนท้องฟ้า พื้นหินของลานโล่งเกิดรอยแตกร้าวเป็นบริเวณกว้าง ดวงตาที่เย็นชาเสมอมาของนักพรตหญิงชินเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจ “เหตุไฉนจึงต้องรีบร้อนนัก?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ พูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ก็ที่รักอุตส่าห์… เอ๊ย… ก็อาจารย์อุตส่าห์เรียกข้ามาหาทั้งที ข้าก็ต้องมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่แล้วขอรับ มิฉะนั้น ข้ายังจะเป็นผู้คนอยู่อีกได้อย่างไร?”
นักพรตหญิงชินมีสีหน้าระอาใจเหลือเกิน
นางผายมือไปยังชุดโต๊ะรับแขกที่ตั้งอยู่ด้านข้าง
“นั่งลงก่อนเถอะ”
หลังจากนั้น นักพรตหญิงชินก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวขวามือ ขยับเสื้อคลุมให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะใช้มือปัดใบไม้ที่ตกอยู่บนโต๊ะพลางถามเสียงแผ่วเบา “เจ้าจะรับสุราหรือน้ำชา?”
ยังจะต้องถามอีกหรือ?
ผู้ที่ปฏิเสธการดื่มกับสตรียังจะนับว่าเป็นผู้คนอีกได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปเสียงดังฟังชัด “รับสุรา”
นักพรตหญิงชินพยักหน้า “ประเสริฐ”