เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1484 ตัดพ่อตัดลูก
ตอนที่ 1,484 ตัดพ่อตัดลูก
หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาว
ใช่แล้ว เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังบอกความลับสำคัญออกมา เด็กหนุ่มจึงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป
‘เทพีองค์นั้นคือใครหรือ?’
ตีเหล็กต้องตีตอนร้อนเสมอ
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยังคงให้คำตอบกลับมาโดยไม่ปิดบัง ‘ก็เทพีกระบี่คนเก่าไงล่ะ นางเป็นคนขโมยหอกไปจากข้า และเมื่อหอกเล่มนั้นไปอยู่ในมือนาง หอกของข้าก็กลายเป็นอาวุธสังหารจนเทพเจ้าหวงต้องตกตาย เฮ้อ และเพราะเรื่องนี้แหละ คนแซ่ชินจึงได้กลายเป็นคนเสียสติ…’
‘เดี๋ยวก่อน สรุปว่าเทพีกระบี่เป็นผู้ลอบสังหารเทพเจ้าหวงอย่างนั้นหรือ?’
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะถามขึ้น
‘ไม่ใช่สักหน่อย’
เห็นได้ชัดว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกำลังมันปาก
นางปรารถนาที่จะแบ่งปันสิ่งที่ตนเองรู้ออกมา
เพราะการเก็บความลับมานานมากเกินไปเกือบจะทำให้เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแทบอกแตกตายแล้ว
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่งข้อความเสียงมาโดยไม่หยุดพักว่า ‘เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าท่านมหาเทพไม่ใช่ตัวดีอันใด? เขาหลอกใช้บุตรบุญธรรมที่ชื่อใต้เท้าเหลียนให้ทำการสังหารเทพเจ้าหวงต่างหาก และเมื่อเทพเจ้าหวงตายไป คนแซ่ชินจึงได้กลายเป็นคนเสียสติ…’
‘ตกลงว่าคนที่ลอบสังหารเทพเจ้าหวงก็คือใต้เท้าเหลียนสินะ?’
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะถามขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าที่นักพรตหญิงชินเคยเล่าว่าเทพเจ้าหวงถูกใต้เท้าเหลียนหักหลัง เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
‘ถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่ในกลุ่มบุตรบุญธรรมก็รักใคร่กันดี เทพเจ้าหวงดูแลพี่น้องของตนเองเสมอ โดยเฉพาะใต้เท้าเหลียน เทพเจ้าหวงเคยช่วยชีวิตนางกลางสมรภูมิรบอย่างน้อยสามครั้ง แต่พูดก็พูดเถอะ เทพเจ้าหวงน่ะโง่ชะมัด เขาไม่ได้ระมัดระวังคนใกล้ตัวสักนิด และเขาก็คงไม่มีทางคิดเลยว่าผู้ที่แทงหอกทะลุหัวใจตนเองในที่สุดนั้นจะกลับกลายเป็นใต้เท้าเหลียนไปเสียได้… เมื่อเทพเจ้าหวงตาย คนแซ่ชินจึงเสียสติ…’
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะเป็นครั้งที่สาม ‘แต่ข้าไม่เข้าใจ ใต้เหลียนก็ดูเป็นคนดีอยู่นะ… ตอนนั้นเทพเจ้าหวงก็ยิ่งใหญ่พอสมควรไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมท่านมหาเทพถึงต้องอยากฆ่าเขาด้วย?’
‘ช่วยหุบปากและฟังข้าก่อนเถอะ’
การถูกขัดจังหวะติด ๆ กันทำให้เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอารมณ์เสีย สุดท้าย นางก็ตวาดกลับมาว่า ‘ข้าอยากจะเล่าเรื่องราวของคนแซ่ชินแทบตายแล้ว…’
ได้สิ งั้นก็รีบเล่ามาเลย
หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจ
แต่ปากพูดเป็นข้อความเสียงกลับไปว่า ‘ข้าไม่ได้อยากรู้เรื่องนาง…’
‘เงียบและฟังที่ข้าพูดซะ’
‘ห้ามเจ้าขัดจังหวะอีกเป็นอันขาด’
‘เรื่องของเรื่องก็คือคนแซ่ชินเคยเป็นหนึ่งในบุตรีบุญธรรมของท่านมหาเทพ นางมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของความงดงามและความแข็งแกร่งของฝีมือการต่อสู้ ในกลุ่มพี่น้องบุญธรรมด้วยกัน หรือแม้แต่ท่านมหาเทพ ต่างก็ต้องเกรงใจนางอยู่หลายส่วน’
‘มีเพียงเทพเจ้าหวงเท่านั้นที่สนิทสนมกับนางมากที่สุด แม้แต่พี่น้องบุญธรรมคนอื่น ๆ อย่างใต้เท้าเหยา ใต้เท้ากั้ว และใต้เท้าซิน ทุกคนต่างก็สนิทสนมและรักใคร่เทพเจ้าหวงราวกับเป็นพี่น้องแท้ ๆ ของตนเอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเทพเจ้าหวงถูกลอบสังหารจนเสียชีวิต กลับไม่มีผู้ใดกล้าขุดคุ้ยเรื่องนี้ นอกจากคนแซ่ชินเพียงผู้เดียว สุดท้าย นางก็พบเจอเบาะแสบางอย่าง’
‘เบาะแสแรกที่นางค้นพบก็คือเทพีกระบี่’
‘ขณะนั้น คนแซ่ชินอยู่ในอาการโกรธแค้นสุดขีด นางจึงสังหารเทพีกระบี่จนตกตาย…’
‘ทุกคนล้วนเข้าใจว่าเรื่องราวคงจบลงแต่เพียงเท่านี้ แต่คนแซ่ชินกลับไม่ยอมปล่อยวาง นางยังคงสืบสาวเรื่องราวต่อไป จนกระทั่งพบว่าท่านมหาเทพเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการลอบสังหารครั้งนี้ คนแซ่ชินจึงนำเรื่องราวมาเปิดโปงต่อสาธารณชน เพื่อที่ท่านมหาเทพจะได้ถูกนำตัวมาสอบสวนและปลดออกจากตำแหน่งในระบบเทพเจ้า…’
‘เรื่องนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายโกลาหลตามมา’
‘แต่น่าเสียดายที่ผู้คนในดินแดนทวยเทพจำนวนมาก แม้จะเคารพเทิดทูนเทพเจ้าหวง แต่ก็ไม่มีใครกล้าแสดงตัวและทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น’
‘ส่วนกลุ่มบุตรบุญธรรมของท่านมหาเทพ มีจำนวนไม่น้อยออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่เทพเจ้าหวง เช่นเดียวกับคนแซ่ชิน แต่สุดท้าย ท่านมหาเทพก็ลงมือด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต บุตรบุญธรรมเหล่านั้นหากไม่บาดเจ็บสาหัสก็ต้องเสียชีวิต หรือผู้ใดที่หนีรอดไปได้ก็ต้องหลบซ่อนตัวไปตลอดกาล มีเพียงบุตรบุญธรรมหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ยังคงเชื่อฟังท่านมหาเทพต่อไป…’
‘และมีเพียงคนแซ่ชินเท่านั้นที่ไม่เคยก้มหัวยอมแพ้แม้แต่ครั้งเดียว’
‘นางยังคงสืบสวนต่อไป จนกระทั่งพบเจอเบาะแสเกี่ยวกับใต้เท้าเหลียน คนแซ่ชินถึงได้รู้ความจริงในที่สุด…’
‘นางต้องการฆ่าใต้เท้าเหลียนเพื่อเป็นการล้างแค้น แต่ในขณะนั้น ใต้เท้าเหลียนเป็นหนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้าแล้ว ท่านมหาเทพจึงออกหน้าขัดขวาง…’
‘ว่ากันว่าคนแซ่ชินโกรธแค้นและผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง นางถึงกับออกมาท้าทายท่านมหาเทพต่อหน้าผู้คน…’
‘และแล้ว คนแซ่ชินกับท่านมหาเทพก็ไปต่อสู้กันที่หุบเหวโหยหวน นับเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน โดยใช้เวลาในการสู้ทั้งหมดสามวันสามคืน แต่ไม่มีผู้ใดทราบผลแพ้ชนะ เพราะทั้งคู่ต่างก็เดินกลับออกมาอย่างมีชีวิต’
‘หลังการต่อสู้จบลง คนแซ่ชินก็ยิ่งเสียสติมากไปกว่าเดิม’
‘นางบุกเข้าไปที่วิหารใหญ่ของเผ่าเทพพงไพร กล่าวขอบคุณที่ท่านมหาเทพชุบเลี้ยงนางมาจนเติบใหญ่ หลังจากนั้น จึงได้อาละวาดฆ่าฟันเทพเจ้าคนอื่น ๆ ที่อยู่ในวิหาร นางทำลายวงแหวนเทพเจ้าของตนเองและเปลี่ยนร่างกลายเป็นมนุษย์ ซึ่งนับจากวันนั้นเป็นต้นมา นางก็ตัดพ่อตัดลูกกับท่านมหาเทพและเดินทางออกมาจากดินแดนทวยเทพโดยไม่คิดกลับไปเหยียบที่นั่นอีกเลย… เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ’
‘เจ้าคิดว่านางเป็นคนเสียสติไหมเล่า?’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจบเรื่องเล่าทั้งหมดในลมหายใจเดียว ในที่สุด ความลับที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจในหลายปีที่ผ่านมาก็ได้รับการปลดปล่อยเสียที นางจึงรู้สึกปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลินเป่ยเฉินจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ในความเงียบ
เขาคิดไม่ถึงเลยว่านักพรตหญิงชินจะต้องพบกับเจอเรื่องราวที่โหดร้ายเช่นนี้
ในจักรวรรดิเป่ยไห่ เคยมีข่าวลือเรื่องที่ว่านักพรตหญิงชินเคยสังหารเทพเจ้า
ปรากฏว่าคนที่นางสังหารก็คือเทพีกระบี่
แต่ไม่มีใครในจักรวรรดิเป่ยไห่ทราบถึงเรื่องราวที่นางต่อสู้กับท่านมหาเทพ และสามารถรอดชีวิตกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย อย่างน้อยนี่ก็แสดงว่านางไม่ได้พ่ายแพ้
ระดับพลังของนักพรตหญิงชินในขณะนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงใดกันนะ?
มิหนำซ้ำ นักพรตหญิงชินยังตัดพ่อตัดลูกกับท่านมหาเทพ สังหารผู้คนในวิหารมากมาย ยอมสละตำแหน่งเทพเจ้าเพื่อมาใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ในจักรวรรดิเป่ยไห่
นี่ต้องใช้ความแข็งแกร่งระดับใดกัน
นี่ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวมากเพียงใด
หลินเป่ยเฉินรู้สึกชื่นชมนักพรตหญิงชินยิ่งนัก
นางมีเรื่องราวชีวิตที่ไม่ธรรมดา
เรื่องราวชีวิตที่เป็นยิ่งกว่าตำนาน
‘นี่ ทำไมเจ้าไม่ตอบอะไรกลับมาเลยล่ะ?’
เมื่อเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเล่าความลับจบลงแล้ว แต่ไม่เห็นการตอบสนองจากหลินเป่ยเฉิน จึงรีบส่งข้อความมาด้วยความไม่พอใจ
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ‘นักพรตหญิงชินช่างเป็นวีรสตรีที่ยากหาผู้ใดมาเทียบเคียงได้… เมื่อเทพีกระบี่องค์เก่าถูกฆ่าตาย ท่านก็เลยไปสวมรอยรับตำแหน่งเป็นเทพีกระบี่องค์ใหม่แทนสินะ?’
‘เจ้าหมายความว่าอย่างไร สวมรอยรับตำแหน่ง? ท่านมหาเทพเป็นคนขอร้องข้าเองต่างหาก ข้าก็เลยต้องรับตำแหน่งอย่างเสียไม่ได้ อีกอย่าง การเป็นเทพเจ้าใช่ชีวิตที่สุขสบายซะที่ไหน วันทั้งวันต้องเอาแต่ฟังคำสวดภาวนาจากบรรดาสาวก ในหูมีเสียงรบกวนตลอดเวลา รับประทานอาหารก็ไม่อร่อย ดื่มสุราก็ไม่ได้อารมณ์ ช่างน่ารำคาญเสียจริง ๆ’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบกลับมาด้วยความขุ่นเคืองใจ
หลินเป่ยเฉินไม่ได้คิดว่านางจะหมายความตามที่พูดจริง ๆ เพราะนางจะดื่มสุราไม่ได้อารมณ์ได้อย่างไร ในเมื่อเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเป็นผู้ที่เมามายอยู่ตลอดเวลา
‘ช่างมันเถอะ ข้าไม่อยากพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว’
หลินเป่ยเฉินรีบตั้งสติและส่งข้อความต่อไป ‘ขณะนี้ข้ากำลังเจอปัญหาใหญ่และมีอีกเรื่องที่ท่านยังไม่รู้ ท่านมหาเทพไม่ได้ตาย แต่กลับมาเกิดใหม่อยู่ในแผ่นดินตงเต้า…’
เขาบอกเล่าสถานการณ์ในแผ่นดินตงเต้า ณ ปัจจุบันให้นางรับทราบและถามว่า ‘ไม่ทราบท่านพอจะมีคำแนะนำใดบ้างหรือไม่?’
หลังจากถามออกมาแล้ว หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเศร้าเสียใจเล็กน้อย
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเป็นผู้ที่ไร้ความรับผิดชอบ ซ้ำยังบกพร่องทางกระบวนการคิดวิเคราะห์แยกแยะ เพราะฉะนั้น คำถามของเขาจึงไม่ต่างจากรบกวนคนตาบอดให้ช่วยนำทาง
‘ข้าสามารถแนะนำเจ้าได้สองประการ’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบข้อความกลับมาอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินถามว่า ‘ท่านจะแนะนำ… ว่าอย่างไรบ้าง?’