เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1488 เล่นงานเทพไม้เขียว 4
ตอนที่ 1,488 เล่นงานเทพไม้เขียว 4
เมื่อพูดประโยคนั้นออกมา ดวงตาของนักเวทชราอู่จิวก็เป็นประกายวาวโรจน์ ราวกับว่าความแค้นที่เก็บสะสมมานานได้ระเบิดตัวออกมา
ร่างกายของชายชราที่เคยมีแผ่นหลังโค้งงอ… พลันกระดูกกลับยืดตรงดั่งคันทวน!
พลังศักดิ์สิทธิ์มหาศาลระเบิดออกมาจากร่างกาย
ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าครอบคลุมด้วยลำแสงสีทองคำ ในอากาศโดยรอบเป็นประกายระยิบระยับ ราวกับว่านักเวทชราอู่จิวเป็นศูนย์กลางจักรวาล มีดาวเคราะห์น้อยใหญ่คอยโคจรรอบตนเอง
ใต้เท้ากั้วกำมือแน่นจนข้อมือเป็นสีขาวโพลน
ความโกรธแค้นกลืนกินสติสัมปชัญญะ แต่ถึงกระนั้น เทพเจ้าร่างใหญ่กลับยังไม่กล้าลงมือ
เพราะใต้เท้ากั้วไม่มั่นใจ
ในเมื่อคำสาบานของชายชราไม่เป็นผล ในเมื่อนักเวทอู่จิวไม่ยอมก้มหัวอีกต่อไป ต่อให้ใต้เท้ากั้วจะเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ในวันนี้มาเนิ่นนานหลายปี แต่ยามเผชิญหน้ากับเหตุการณ์จริง ใต้เท้ากั้วกลับไม่มีความกล้าหาญอย่างที่ตนเองคิด
ความทรงจำในอดีตผุดวาบขึ้นมา
นั่นคือภาพความทรงจำในค่ำคืนแห่งความตายของเทพเจ้าหวง พ่อบ้านชราผู้ติดตามเทพเจ้าหวงซึ่งไม่เคยแสดงฝีมือออกมาก่อนกลับระเบิดพลังต่อสู้ที่น่าเกรงขาม… ภาพเหตุการณ์สังหารหมู่เทพเจ้าด้วยฝีมือของชายชรายังติดตาใต้เท้ากั้วไม่เสื่อมคลาย…
หากไม่ใช่เพราะว่าชายชราหมดแรงสิ้นสติไปเอง เกรงว่าแม้แต่ท่านมหาเทพก็คงไม่อาจรับมือเขาได้ด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะถูกพันธนาการด้วยคำสาปและคำสาบานมาเนิ่นนานหลายปี แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดรู้เลยว่านักเวทชราอู่จิวยังคงหลงเหลือพลังจากอดีตมากน้อยเพียงใด
และบัดนี้ ชายชราถึงกับกล้าผิดคำสาบาน หรือนี่หมายความว่านักเวทอู่จิวสามารถปลดผนึกพลังในร่างกายได้แล้ว?
ใต้เท้ากั้วเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาทันที
…
คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
ม่านพลังศักดิ์สิทธิ์สิบหกชั้นถูกทำลาย
ค่ายอาคมรักษาเส้นทางชั้นในสามสิบหกจุดลงเหลืออยู่เพียงไม่ถึงยี่สิบจุด
ค่ายอาคมดั้งเดิมสมัยที่วิหารหลังนี้อยู่ในการครอบครองของใต้เท้าฉางถูกเปิดใช้งาน
แม้แต่มดแมลงสักตัวก็ไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้
หากจะบุกเข้ามา ก็มีแต่ต้องเดินเท้าเข้ามาเท่านั้น
นี่คือสิ่งที่สามารถรับประกันความปลอดภัยของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนได้เล็กน้อย
แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เปลวไฟลุกโชนสว่างไสวรอบทิศทาง กองทัพเทพเจ้าจำนวนมากมองจากระยะไกลไม่ต่างจากฝูงมดมหาศาลกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน…
เปลวไฟที่ลุกโชนสว่างไสว เป็นเปลวไฟที่เผาไหม้ร่างกายของนักรบเทวะชั้นผู้น้อย
ในทุก ๆ สงคราม นายทหารชั้นผู้น้อยจะถูกส่งออกไปตายก่อนเป็นลำดับแรกเสมอ
แม้แต่สงครามเทพเจ้าก็ไม่มีข้อยกเว้น
กลุ่มเทพเจ้าระดับสามัญและกลุ่มเทพเจ้าขั้นกลาง ไม่ว่าจะเป็นสายนักรบหรือสายนักเวท ต่างก็เข้าร่วมการรบด้วยดวงตาแดงก่ำ สีหน้าบ้าคลั่ง ความปรารถนาในหัวใจถูกขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณดิบ ไม่ต่างจากฝูงหมาป่าที่กัดกันเพื่อแย่งอาหาร และการสู้รบอันดุเดือดเลือดพล่านนี้ ก็เกิดขึ้นหน้าคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน…
“พวกเรามาฆ่าผู้ติดตามของเจี๋ยนเซียวเหยาเพื่อรับของรางวัลกันเถอะ…”
“ผู้ใดก็ตามฆ่าผู้ติดตามของเจี๋ยนเซียวเหยาได้หนึ่งคน รับไปเลยคะแนนศรัทธาหนึ่งหมื่นแต้ม”
“ใครก็ตามที่สลายค่ายอาคมในวิหารได้สำเร็จ รับไปเลยคัมภีร์ฝึกยุทธ์ขั้นสูงสุด”
ท่ามกลางเสียงรัวกลองออกศึก ยังคงมีเสียงตะโกนจากบรรดาแม่ทัพใหญ่ของกองทัพเทพเจ้าดังกังวานถึงหูของทุกผู้คน แม้แต่บรรดานักรบที่อยู่ในสมรภูมิก็ยังได้ยินถ้อยคำเหล่านี้เช่นกัน
บนท้องฟ้า มีร่างของคนสามคนลอยวนเวียน
พวกเขาสามารถเหาะเหินในพื้นที่ต้องห้ามได้อย่างไม่มีปัญหา
เพราะทั้งสามคนเป็นเทพเจ้าระดับสูง
เทพเจ้าระดับสูงทั้งสามคนปลดปล่อยพลังกดดันทำให้มวลอากาศใต้ฝ่าเท้าปั่นป่วนโกลาหล
พลังกดดันคุกคามจากเทพเจ้าทั้งสามคนนี้ยิ่งทำให้กลุ่มกองกำลังของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนตื่นตระหนกตกใจ ประสิทธิภาพในการต่อสู้ลดลง…
เทพเจ้าระดับสูงทั้งสามคนนี้ ย่อมต้องเป็นเทพแห่งเหมืองแร่ เทพอัคคีและเทพนภา
เทพสงครามทั้งเจ็ดเมื่อไม่มีเทพไม้เขียวอีกต่อไป พวกเขาก็ยังเหลือกันอยู่อีกหกคน
เทพสงครามเป็นชนชั้นเทพเจ้าที่สูงส่งมากกว่าเทพเจ้าระดับสูงทั่วไป
แม้ว่าสถานะของพวกเขาจะไม่ได้สูงส่งเท่ากับห้าใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้า แต่ด้วยความที่สภาเทพเจ้ามักแต่งตั้งตำแหน่งใต้เท้าใหญ่กันตามใจชอบ ไม่ได้คัดเลือกจากฝีมือที่แท้จริง นี่จึงไม่ได้หมายความว่าเทพสงครามทั้งหกจะมีฝีมือต่อสู้อ่อนด้อยกว่าใต้เท้าใหญ่ทั้งห้าเสมอไป…
บัดนี้ ผู้ที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าก็คือตัวแทนของกลุ่มเทพสงคราม
พันธมิตรทั้งสี่คนบัดนี้เหลืออยู่เพียงสาม
เนื่องจากเทพไม้เขียวถูกกลุ่มกองกำลังลูกสมุนเจี๋ยนเซียวเหยาลอบสังหารไปเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น พวกเขาจึงรีบมาปรากฏตัวที่นี่เพื่อบัญชาการสู้รบด้วยตนเอง
การปรากฏตัวของเทพสงครามทั้งสามหมายความว่าการสู้รบดำเนินมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว
ไม่มีโอกาสพลิกฟื้นสถานการณ์
เมื่อมีการปรากฏตัวของเทพสงครามทั้งสาม กลุ่มกองกำลังของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนก็ทำได้เพียงล่าถอยไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
การต่อสู้ก่อนหน้านี้เปรียบได้ดั่งการทะเลาะวิวาท
แต่ครั้งนี้คือสงครามที่แท้จริง
เป้าหมายของการทำสงครามก็คือการกำจัดศัตรูให้สิ้นซาก
การต่อสู้บนพื้นดินยังดำเนินต่อไป
เทพสงครามทั้งสามคนกวาดตามองสนามรบด้วยแววตาเย็นชา
แม้จะเห็นสาวกของตนเองเสียชีวิตลงเป็นจำนวนมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจแม้แต่น้อย
เหตุผลที่เทพสงครามทั้งสามยังไม่ลงมือโจมตีด้วยตนเอง เป็นเพราะว่าสมาชิกระดับผู้นำกองกำลังเจี๋ยนเซียวเหยายังไม่ปรากฏตัวออกมา
ทหารเลวสู้กับทหารเลว
แม่ทัพใหญ่สู้กับแม่ทัพใหญ่
นี่คือสิ่งที่พวกเขาอยากจะเห็น
อีกอย่าง คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนมีเพียงเจี๋ยนเซียวเหยาผู้เดียวเท่านั้นที่ฝีมือน่ากลัว
ส่วนเทพเจ้าหน้าใหม่คนอื่น ๆ น่ะหรือ?
ก็แค่สุนัขข้างถนนเท่านั้น
มีเพียงเจี๋ยนเซียวเหยาผู้เดียวที่ควรค่าเป็นคู่ต่อสู้ของกลุ่มเทพสงคราม
บุรุษหนุ่มผู้นี้ปรากฏตัวได้เพียงไม่กี่เดือน แต่กลับสามารถสั่นสะเทือนเมืองเยี่ยเฉิงได้ทุกซอกมุม เจี๋ยนเซียวเหยาสร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่เทพเจ้าระดับใต้เท้าใหญ่ก็ยังไม่สามารถเมินเฉยต่อเขาได้
เทพสงครามทั้งสามกำลังรอคอยให้เจี๋ยนเซียวเหยาปรากฏตัวออกมา
ตอนนั้นจึงจะเป็นการกำหนดผลลัพธ์ที่แท้จริง
การสู้รบยังดำเนินต่อไป
พื้นที่ซึ่งมีกลุ่มกองกำลังของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนปักหลักอยู่เริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ
ค่ายอาคมที่เป็นเสมือนเกราะกำบังแน่นหนาของพวกเขา ถูกสลายลงทีละชั้นทีละชั้นราวกับเป็นการลอกเปลือกหัวหอม…
กลยุทธ์การสู้รบของกองทัพเทพเจ้าไม่มีสิ่งใดซับซ้อน พวกเขามีจำนวนกำลังพลที่เหนือกว่า จึงใช้เทพเจ้าชนชั้นผู้น้อยออกไปสละชีพลดทอนกำลังของฝ่ายตรงข้าม และเมื่อความเสียหายใหญ่หลวงมากขึ้น ฝ่ายคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนก็จะไม่เหลือพลังมาหล่อเลี้ยงค่ายอาคมเหล่านี้อีกต่อไป
แม่ทัพใหญ่ของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนขณะนี้คือกลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้า ซึ่งประกอบไปด้วยเฉียนหลง กวนรั่วเฟย มู่หลินเซิน ซือเกินตั๋งและลู่ปิงเหวิน
ส่วนสามพี่น้องตระกูลต้วนเป็นผู้นำหน่วยรบกองกำลังพิเศษ
พวกเขาพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะเป็นไปได้ในการชะลอความเร็วการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม บางครั้งกลุ่มคุณชายก็ส่งกองกำลังออกไปตอบโต้ ภารกิจเดียวของพวกเขาคือการถ่วงเวลาให้ได้นานมากที่สุด
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด
ซากศพนายทหารจากกองทัพเทพสงครามทับถมกันสูงเป็นภูเขาลูกใหญ่ และจำนวนซากศพก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โลหิตไหลเนืองนองราวกับแม่น้ำแดงฉาน…
ดินแดนทวยเทพในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา ไม่เคยเกิดสงครามเช่นนี้มาก่อน
ครั้งสุดท้ายก็คือค่ำคืนแห่งการลอบสังหารนั่นเอง
“รีบถอย รีบถอยเร็วเข้า… อย่าได้บุ่มบ่ามมากเกินไป”
ในสนามรบ หลินเป่ยเฉินอุ้มไหดินเผาขนาดใหญ่ร้องตะโกนเสียงดังกังวาน
เพราะก่อนหน้านี้ส่งเสียงตะโกนมานับครั้งไม่ถ้วน เสียงของชายหนุ่มจึงแหบแห้ง เฉียนหลงรู้สึกเจ็บคอจนแทบจะกระอักเลือด แต่เขาก็ไม่มีเวลาใช้พลังศักดิ์สิทธิ์รักษาอาการเจ็บคอของตนเอง
เพราะในการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้ เขาจะนำพลังศักดิ์สิทธิ์มาใช้อย่างเปล่าประโยชน์ไม่ได้เด็ดขาด
พลังศักดิ์สิทธิ์สมควรมีไว้เพื่อใช้ป้องกันตนเองและสังหารศัตรู
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในห้าแม่ทัพใหญ่แห่งคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน เฉียนหลงจึงข้องเกี่ยวกับการสู้รบมาตั้งแต่แรก บัดนี้ ร่างกายของเขาเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต
ไม่ทราบเลยว่าเป็นโลหิตของเขาเองหรือเป็นโลหิตของศัตรูกันแน่
เฉียนหลงรับประทานโอสถฟื้นฟูพลังมาแล้วหลายสิบครั้ง และเพราะเหตุนี้ เขาจึงมีพลังสู้ต่อไป
เฉียนหลงอดรู้สึกแปลกใจในตนเองไม่ได้ ก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนที่ชอบหลีกเลี่ยงการต่อสู้มากที่สุด แต่ปัจจุบัน เฉียนหลงกลับยืนหยัดอยู่ในสนามรบต่อสู้อย่างไม่กลัวตาย พร้อมที่จะเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือสหายร่วมรบเสมอ
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนไป?
การได้รับตำแหน่งเทพเจ้าใช่หรือไม่?
หรือว่าการที่มีคนนับหน้าถือตามากขึ้น?
ไม่ใช่
นี่คือความรู้สึกที่เป็นมากกว่าการได้รับความเคารพและการถูกจดจำ
แต่มันเป็นเพราะเฉียนหลงกำลังทำงานรับใช้ใต้เท้าเจี๋ยนเซียวเหยาต่างหาก
โชคชะตาถือเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด
บางครั้งโชคชะตาก็จะนำพาคนที่มีลักษณะนิสัยเหมือนกัน มีเป้าหมายเดียวกัน มาทำความรู้จักคุ้นเคยกัน
และเพื่อทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จ เฉียนหลงก็สามารถกระทำได้ทุกอย่างตามความประสงค์ของใต้เท้าเจี๋ยนเซียวเหยา
เฉียนหลงยังคงกลัวตาย
แต่ยังคงมีเหตุผลอื่นที่ทำให้เขาสามารถเอาชนะความกลัวและยังสู้ต่อไปได้
แม้แต่ในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุด เฉียนหลงก็ยังสงบเยือกเย็นเสมอ
เขานำลูกสมุนของตนเองล่าถอยไปยังจุดยุทธศาสตร์ที่หลี่อี้เทียนได้กำหนดเอาไว้ ไม่ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเขาจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ สิ่งสำคัญสูงสุดก็คือต้องถ่วงเวลาฝ่ายตรงข้ามไว้ให้ได้นานมากที่สุด
นี่คือมติของสมาชิกทุกคนในคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
เหตุไฉนพวกเขาถึงเห็นด้วย?
เพราะว่าทุกคนมีความเชื่อมั่น
เพราะว่าผู้ที่คอยหนุนหลังพวกเขา คือบุรุษผู้เป็นตัวแทนแห่งปาฏิหาริย์และความแข็งแกร่ง
เพราะว่าพวกเขาเชื่อมั่นในตัวบุรุษหนุ่มผู้นั้นหมดหัวใจ
ดังนั้น สมาชิกของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนจึงกัดฟันควงกระบี่ หากยังไม่ได้รับคำสั่งให้ล่าถอย พวกเขาก็จะไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด…
ด้วยเหตุนี้เอง กองกำลังของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนจึงมีความแข็งแกร่งยิ่งนัก
ทุกคนไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
แม้บางคนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่อาจรอดชีวิตได้อีกต่อไป พวกเขาก็ยังระเบิดพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายและพุ่งเข้าไปหาศัตรูเพื่อที่จะได้ตกตายไปตามกัน…
เฉียนหลงต้องสูญเสียผู้ติดตามไปเป็นจำนวนมาก
เจ้าโง่พวกนั้น
ขณะนี้ เฉียนหลงนำไหดินเผาไปแบกอยู่บนแผ่นหลัง ด้านในบรรจุด้วยของเหลวสีเหลืองอร่าม ปากไหยังมีหมอกควันสีเขียวลอยขึ้นมา และเมื่อโคจรพลังทำให้สายลมกระโชกแรง หมอกควันเหล่านั้นก็ลอยไปยังทิศทางของกองทัพเทพสงคราม…
ไหดินเผาสั่นสะเทือน ของเหลวด้านในเดือดปุด ในอากาศตลบอบอวลไปด้วยหมอกควันพิษ…
นี่คือหมอกควันพิษสำหรับใช้เล่นงานสาวกเผ่าเทพไม้เขียวโดยเฉพาะ เมื่อพวกเขาสัมผัสมันแม้เพียงเล็กน้อย ร่างกายก็จะระเหยหายไปทันที และสำหรับผู้ที่เป็นนักเวทเมื่อได้สูดดมหมอกควันเหล่านี้เข้าไป ลำคอก็จะเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน ไม่สามารถร่ายคาถาได้ชั่วคราว…
บัดนี้ ทุกคนล่าถอยไปตามคำสั่งของเฉียนหลง
ในที่สุด เขาก็มาถึงกลุ่มลูกสมุนของตนเองที่ไปติดกับดักอยู่ในค่ายอาคมของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งกำลังรอคอยความตายด้วยความหมดหวัง
“พวกเจ้ารีบกลับเข้าไปได้แล้ว”
เฉียนหลงดึงตัวลูกสมุนออกมาจากในค่ายอาคมและโยนกลุ่มคนเหล่านั้นกลับเข้าไปยังอาณาเขตของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน ก่อนระเบิดเสียงคำรามโดยไม่เหลียวหน้ามองกลับไป “ข้าบอกพวกเจ้ากี่ครั้งแล้วให้ใช้สมองกันหน่อย ลอบโจมตี ใช้ยาพิษ วางกับดัก ทำอะไรก็ได้ที่ตนเองไม่ต้องเสี่ยงอันตราย… เราต้องรอคอยให้ใต้เท้าเจี๋ยนกลับมาเท่านั้น… สิ่งที่ใต้เท้าอยากจะเห็นก็คือการที่พวกเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ได้เห็นเพียงป้ายหน้าหลุมศพพวกเจ้า”
เหล่าลูกสมุนที่ถูกช่วยเหลือล่าถอยกลับเข้าไปในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว
เฉียนหลงยังคงปลดปล่อยควันพิษอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าเขาเดินผ่านไปบริเวณใด พื้นที่บริเวณนั้นก็จะเต็มไปด้วยหมอกควันพิษ ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
เมื่อเห็นว่าเป้าหมายของตนเองบรรลุผลแล้ว เฉียนหลงก็รีบล่าถอยกลับไปเช่นกัน
ทันใดนั้น…
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เถาวัลย์สีเขียวสดพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินผ่านรอยแตกแยกของก้อนอิฐและก้อนหิน เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วไม่ต่างจากพญามังกรสะบัดหาง
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลูกธนูไม้เขียวฝูงใหญ่ถูกยิงเข้าใส่เฉียนหลงอย่างมืดฟ้ามัวดิน
เฉียนหลงหัวใจกระตุกวูบ สัมผัสได้ถึงอันตรายที่คุกคามเข้ามา
สัญชาตญาณของเขาบอกว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
เป็นอันตรายที่ใหญ่หลวงนัก
เฉียนหลงรู้ดีว่าคู่ต่อสู้ที่เพิ่งปรากฏตัวออกมานี้ ไม่ใช่เพียงยอดฝีมือทั่วไป แต่เป็นขุนพลหมายเลขหนึ่งของเผ่าเทพไม้เขียวที่ซ่อนตัวอยู่ในกองทัพเทพสงครามมาตลอดเวลา และบัดนี้ ขุนพลผู้นั้นก็ได้แสดงฝีมือออกมาแล้ว
การต่อสู้ของบรรดานายทหารชนชั้นผู้น้อยยุติลง
“ล้อมมันเอาไว้”
ลำแสงสีเขียวพุ่งขึ้นมาจากพื้นที่ราบต่ำ
ในลำแสงสีเขียวนี้คือร่างของขุนพลอันดับหนึ่งแห่งเผ่าเทพไม้เขียว ผู้มีนามว่าท่านขุนพลมู่หลิงหลง
เขาลอบสังเกตการณ์สถานการณ์มานานแล้ว
“เฉียนหลง หนึ่งในห้าแม่ทัพใหญ่ของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน มีค่าหัวเป็นศิลาเทวะห้าแสนก้อน… และสำหรับผู้ที่สามารถจับตัวหรือสังหารเฉียนหลงได้นั้น ก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเทพเจ้าระดับสูง พร้อมด้วยคัมภีร์ฝึกวิชายุทธ์ขั้นสูงสุด นี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง อย่าปล่อยให้มันหนีรอดออกไปได้เด็ดขาด”
เสียงของท่านขุนพลมู่หลินหลงดังกังวานมาจากทุกทิศทุกทาง
“ฮ่า ๆๆ คิดไม่ถึงเลยว่าหัวของข้าจะมีราคาแพงถึงขนาดนี้”
เฉียนหลงระเบิดเสียงหัวเราะ รีบหันหลังวิ่งหนีโดยไม่ลังเล “ข้าไม่เล่นกับพวกเจ้าแล้ว”
ด้านหลังเขา อสูรประจำตำแหน่งเทพเจ้าก็กำลังวิ่งตามมาติด ๆ เช่นกัน
นี่คือความสามารถพิเศษของเฉียนหลง
ความสามารถในการหลบหนี
เฉียนหลงมีทักษะสำหรับการหลบหนีเอาตัวรอดยอดเยี่ยมไม่เป็นรองผู้ใด
แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไปจริง ๆ
ชายหนุ่มได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้นในอากาศ เมื่อเงยหน้ามองจึงพบว่ามันเป็นเสียงต้นไม้ที่กำลังไหวเอนไปตามแรงลม
เกิดเป็นเสียงคล้ายกับการท่องคาถา
และเป็นการท่องคาถาแบบประสานเสียง
เฉียนหลงไม่รู้ตัวเลยว่าตามยอดไม้เหล่านั้นมีนักเวทกว่ายี่สิบคนมาปรากฏกายขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และนักเวทเหล่านั้นก็กำลังร่ายคาถาด้วยความพร้อมเพียงกัน
นี่เป็นการสร้างค่ายอาคม!
พวกมันกำลังตามล่าเขา
เฉียนหลงตกตะลึง สัญชาตญาณยิ่งบอกถึงอันตรายชัดเจนแรงกล้า หูของเขาได้ยินเสียงบริกรรมคาถาดังกึกก้อง…
ลำแสงสีเขียวพุ่งขึ้นมารอบกาย
เถาวัลย์จำนวนมากรวมตัวกันกลายเป็นม่านกำแพงปิดกั้นหนทางหลบหนี และกำแพงเถาวัลย์เหล่านั้นก็กำลังบีบวงแคบมาจากรอบทิศทางด้วยความรวดเร็ว…
เฉียนหลงระเบิดพลังออกไปเพื่อต้านทานการเคลื่อนไหวของกำแพงเถาวัลย์
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ การบริกรรมคาถายังคงดำเนินต่อไป บนพื้นดินปรากฏหญ้าแหลมคมไม่ต่างจากเข็มแหลมทิ่มแทงทะลุรองเท้าของเฉียนหลงปักใส่ฝ่าเท้าของเขา…
เกิดเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัส
เฉียนหลงไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว
เถาวัลย์เส้นใหญ่เลื้อยเข้ามารัดพันร่างกายของเขาราวกับเป็นงูยักษ์
“ท่านเฉียนหลง…”
เหล่าผู้ติดตามเฉียนหลงเมื่อเห็นเช่นนั้นจากระยะไกล ก็ละทิ้งแผนการล่าถอยของตนเอง และรีบพุ่งออกมาหมายช่วยเหลือเขากลับไป
“ฮ่า ๆๆ พวกเจ้าไม่รู้ตัวเลยว่านี่คือกับดักมาตั้งแต่แรก”
มู่หลิงหลงเงยหน้าหัวเราะใส่ท้องฟ้า “เทพเจ้าหน้าใหม่อย่างพวกเจ้าล้วนแต่เป็นตัวไร้ประโยชน์… จงตายอยู่ในค่ายอาคมนี้เสียเถอะ”
แต่ทันใดนั้นเอง
ได้ยินเสียงน้ำเดือดปุด แล้วเถาวัลย์เส้นใหญ่ที่ม้วนพันร่างกายของเฉียนหลงก็ขาดลง
มือข้างหนึ่งแทงทะลุออกมาจากใต้เส้นเถาวัลย์นั้น
ทว่า มู่หลิงหลงยังคงหัวเราะต่อไปและโคจรพลังของตนเองสร้างเถาวัลย์อสูรออกมาอีกเป็นจำนวนมาก และเถาวัลย์เหล่านี้ก็มีเกล็ดคล้ายกับเกล็ดอสรพิษ แต่ที่น่าขนลุกก็คือพวกมันมีรากเดียวกัน หากจะเปรียบเปรยให้เห็นภาพชัดเจนก็ต้องบอกว่าเถาวัลย์เหล่านี้เป็นงูยักษ์ที่มีหลายหัวนั่นเอง…
เถาวัลย์ยักษ์เลื้อยเข้าไปรัดพันร่างกายของเฉียนหลงอีกครั้ง
“ฮ่า ๆๆ ข้าจะจับตัวเฉียนหลงกลับไปเพื่อประหารต่อหน้าชาวเมือง…”
มู่หลิงหลงหัวเราะด้วยความสะใจ “และคัมภีร์ฝึกยุทธ์ระดับสูงสุดเล่มนั้นก็ต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว ฮ่า ๆๆ…”
ทว่า เสียงหัวเราะยังไม่ทันขาดหาย
หัวใจของมู่หลิงหลงก็กระตุกวูบอย่างไม่มีสัญญาณเตือน
ทันใดนั้น บรรดานักเวทระดับสูงของเผ่าเทพไม้เขียวทั้งยี่สิบคนต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง การบริกรรมคาถาหยุดชะงัก ไม่มีผู้ใดสามารถเปล่งเสียงออกมาได้อีก…
“นี่มันอะไรกัน…”
มู่หลินหลงอุทานออกมาเมื่อเห็นร่างของนักเวทเหล่านั้นเริ่มละลายหายไปราวกับเป็นเทียนไขที่หลอมเหลว ตัวคนกลายเป็นกองของเหลวขนาดใหญ่ หลงเหลือเพียงกระดูกขาวโพลน…
ตกตายกันไปหมดแล้ว
นี่คือภาพเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนขวัญอย่างยิ่ง
บรรดานักรบเทวะจากเผ่าเทพไม้เขียวที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นพลันร่างกายหลอมเหลวละลายหายไปเช่นกัน…
มู่หลิงหลงมีสีหน้าตะลึงงัน
เมื่อรู้สึกได้ว่าพลังในร่างกายลดน้อยลง เขาก็หันไปมองทางด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
มีบางอย่างที่น่ากลัวกำลังเกิดขึ้น
บรรดาสมาชิกของเผ่าเทพไม้เขียวต่างก็พบเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
ใบหน้าของมู่หลิงหลงซีดขาวราวกระดาษ
แม้ว่ามันจะเป็นความคิดที่น่าเหลือเชื่อ แต่นี่ก็คือเหตุผลเดียวเท่านั้นที่อธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดนักรบและนักเวทของเผ่าเทพไม้เขียวจึงสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์และหลอมเหลวตายไปในพริบตาเช่นนี้
พลังศักดิ์สิทธิ์และอายุขัยของสมาชิกเผ่าเทพไม้เขียวล้วนแบ่งปันมาจากพลังของท่านเทพไม้เขียว หากท่านเทพไม้เขียวถึงแก่ความตาย ชีวิตของทุกคนก็จะต้องดับสูญเช่นกัน…
เมื่อไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตดับสูญ ร่างกายจึงเน่าเปื่อยสลายไปเช่นนี้เอง
แม้ว่าตัวของมู่หลิงหลงจะไม่ได้ฝากชีวิตไว้กับท่านเทพไม้เขียว แต่เมื่อท่านเทพไม้เขียวถึงแก่ความตาย มวลพลังในร่างกายของเขาก็เสื่อมถอยลงไม่น้อย…
นี่ทำให้มู่หลิงหลงเกิดความตื่นกลัว
และทันใดนั้นเอง…
มือข้างหนึ่งก็แทงทะลุหน้าอกของเขา
มือข้างนั้นกระชากกลับออกไป
พร้อมด้วยหัวใจของมู่หลิงหลง
หัวใจที่ยังเต้นตุบ ๆ
“นี่… เจ้า?”
ใบหน้าของมู่หลิงหลงบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด โลหิตไหลทะลักออกปากและจมูก
ไม่มีผู้ใดโจมตีเขาเลย
มีเพียงเฉียนหลงผู้เดียวเท่านั้นที่หลบหนีออกมาจากการพันธนาการของเถาวัลย์ยักษ์ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ
เฉียนหลงลอบโจมตีด้วยความเงียบงัน
สภาพของคุณชายผู้สูงศักดิ์ดูแทบไม่ได้แล้ว
ร่างกายของเฉียนหลงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าปกคลุมด้วยเมือกพิษสีเขียว ผิวหนังเต็มไปด้วยบาดแผลจากหนามแหลมของเถาวัลย์ยักษ์ ใบหน้าเต็มไปด้วยรูพรุนยิ่งกว่าพื้นผิวของดวงจันทร์… ดูไปน่าสยดสยองยิ่งนัก…
แต่เพราะบาดแผลจากหนามแหลมของเถาวัลย์ยักษ์ทำให้เกิดรูบนผิวหนัง เมือกพิษสีเขียวเหล่านั้นจึงซึมผ่านเข้าไปในร่างกาย เมื่อพิษเหล่านั้นผสมรวมกับมวลพลังในร่างของเฉียนหลง มันก็เกิดเป็นกระแสพลังสายใหม่ได้อย่างน่ามหัศจรรย์…
และด้วยเหตุนี้เอง เฉียนหลงจึงสามารถหลบหนีออกมาจากการพันธนาการของเถาวัลย์ยักษ์และสามารถลอบโจมตีมู่หลิงหลงได้สำเร็จ
“ฮ่า ๆๆ ก่อนหน้านี้ เจ้าพูดว่าเทพเจ้าหน้าใหม่อย่างข้าใช้การไม่ได้ใช่หรือไม่?”
เฉียนหลงสามารถโจมตีสำเร็จได้ในกระบวนท่าเดียว สีหน้าจึงปรากฏความมั่นใจเปี่ยมล้น เขาเพิ่มแรงบีบหัวใจของมู่หลิงหลงที่อยู่ในกำมือตนเองมากขึ้นและมากขึ้น ก่อนพูดด้วยเสียงอำมหิตว่า “เจ้าต่างหากที่ทำให้พวกเทพเจ้าหน้าเก่าต้องอับอาย”
มู่หลิงหลงต้องการจะตอบโต้กลับไป
แต่เมือกพิษสีเขียวได้แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย หากเป็นในยามปกติ พิษเพียงเท่านี้คงทำอะไรมู่หลิงหลงไม่ได้ แต่บัดนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายของเขาเสื่อมถอย เมื่อถูกพิษโจมตีและหัวใจถูกควักออกจากร่าง ตัวคนจึงล้มลงโดยทันที…
และเทพเจ้าระดับสูงผู้เป็นขุนพลนักรบอันดับหนึ่งแห่งเผ่าเทพไม้เขียวก็ถึงแก่ความตายไปในบัดนั้นเอง
ดังนั้น กองทัพของเผ่าเทพไม้เขียวที่เคยบุกโจมตีด้วยความเกรี้ยวกราดดุดันพลันถูกความกลัวกลืนกิน รีบทิ้งอาวุธหลบหนีกันไปคนละทิศละทาง
เฉียนหลงยืนหอบหายใจ ก่อนจะหันหลังกลับและวิ่งหนีออกมาเช่นกัน
ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
ไหดินเผาที่แบกอยู่บนแผ่นหลังแกว่งไกวไปมา ในนั้นไม่มียาพิษหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
โชคดีที่สามารถเอาชนะกองทัพศัตรูได้สำเร็จ
เฉียนหลงอดทนข่มกลั้นความเจ็บปวด และในที่สุด ก็สามารถกลับมาถึงค่ายที่พักของตนเองได้ทันเวลา เขาจึงรีบกรอกโอสถฟื้นฟูพลังจากสำนักโอสถเป่ยเฉินเข้าปาก และหลังจากนั้น ก็รีบพอกโอสถบำรุงผิวลงบนใบหน้าตนเองทันที…
“พวกเรารีบถอย”
เฉียนหลงไม่ได้ฉวยโอกาสที่ได้รับชัยชนะไล่ตามล่าศัตรู แต่กลับใช้โอกาสนี้สั่งให้พวกตนเองล่าถอย
ม่านพลังที่คุ้มครองรอบวิหารกำลังจะสลายลงไปแล้ว
อีกไม่นาน การโจมตีจากกองทัพเทพสงครามจะกลับมาอีกครั้ง เพราะถึงกองทัพของเผ่าเทพไม้เขียวจะพ่ายแพ้ไป แต่อีกฝ่ายก็ยังมีขุมกำลังของเทพสงครามอีกสามคนคอยสนับสนุนอยู่ดี
คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนมีเทพเจ้าหน้าใหม่อยู่เป็นจำนวนมาก
พวกเขามีขุมกำลังที่เป็นเทพเจ้าหน้าใหม่มากกว่ากองทัพอื่น ๆ
แม้เทพสงครามทั้งสี่นำผู้ติดตามของตนเองมารวมกัน ก็ยังไม่มีผู้ติดตามที่มีสถานะเป็นเทพเจ้าเท่ากับผู้ติดตามของเจี๋ยนเซียวเหยาด้วยซ้ำ
แต่คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนมีข้อเสียเปรียบอยู่เพียงอย่างเดียว…
คือพวกเขามีจำนวนนักรบเทวะและนักเวทน้อยมาก
เช่นเดียวกับจำนวนสาวกผู้ศรัทธา
จำนวนสาวกคือรากฐานพลังแห่งเทพเจ้า
บรรดาเทพเจ้าระดับสูงแห่งสภาเทพเจ้าต้องใช้เวลายาวนานหลายร้อยปีกว่าจะสร้างรากฐานสาวกให้แข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
เจี๋ยนเซียวเหยาโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็วเกินไปหน่อย เขาสร้างชื่อเสียงขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น แม้จะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่กลับขาดแคลนสาวกที่แท้จริง อันเป็นผลให้รากฐานพลังเทพเจ้าต่ำต้อย
ดังนั้น คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนจึงไม่สามารถรับมือกับสงครามระยะยาวได้
สงครามระยะยาวเช่นนี้ พวกเขามีแต่แพ้กับแพ้เท่านั้น
“กองทัพจากเผ่าเทพไม้เขียว… แตกแล้ว”
บนท้องฟ้า ใบหน้าของเทพสงครามทั้งสามคนแสดงออกถึงความโกรธแค้นสุดขีด โดยเฉพาะเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่
นี่เป็นผลมาจากความตายของเทพไม้เขียว
เทพเจ้าผู้มีระดับเดียวกับพวกเขา
หรือว่าเจี๋ยนเซียวเหยาจะออกมาลงมือด้วยตนเองแล้ว?
“เรารอนานมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”
เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “กดดันให้เจี๋ยนเซียวเหยาปรากฏตัวออกมาเลยดีกว่า”
เขายกเท้าขึ้นและกระทืบเท้าลงไปในม่านพลังที่กางกั้นคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนอยู่ทางด้านล่าง
ทันใดนั้น ม่านพลังที่ปิดกั้นพื้นที่ด้านบนของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนก็พังถล่มทลายราวกับถูกก้อนหินจำนวนมหาศาลหล่นทับ…
คลื่นพลังกดดันหนักหน่วงรุนแรงแผ่กระจายลงไปด้านล่าง
พลังกดดันหนักหน่วงเช่นนี้ไม่ใช่พลังที่พวกเทพเจ้าหน้าใหม่อย่างกลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้าจะสามารถต้านทานได้เด็ดขาด
“เอาแล้วไง…”
เฉียนหลงทราบว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว แต่ตนเองก็ไม่สามารถขัดขวางได้เลย เขาจึงทำได้เพียงจ้องมองม่านพลังชั้นแล้วชั้นเล่าพังถล่มลงไปกับตา…
ตู้ม!
พลัน เสียงระเบิดดังกัมปนาท
สูงขึ้นไปจากพื้นดินเท่ากับตึกสิบชั้น ม่านพลังกึ่งโปร่งแสงปรากฏขึ้นอย่างไม่มีสัญญาณเตือน ช่วยหยุดยั้งพลังโจมตีมหาศาลจากเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่…
“ม่านพลังแห่งฝัน?”
เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ตกตะลึง สีหน้าประหลาดใจ แล้วพูดว่า “แต่ใต้เท้าจะลงมือด้วยเหตุอันใด? ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุไฉนใต้เท้าจึงได้ปกป้องกลุ่มกบฏเหล่านี้?”
ผู้ที่จะสามารถขัดขวางการโจมตีของผู้ที่มีสถานะเป็นเทพสงครามได้ ก็มีแต่ต้องเป็นเทพเจ้าระดับใต้เท้าใหญ่เท่านั้น
ใต้เท้าซิน
ใต้เท้าหญิงผู้เกียจคร้านและลึกลับผู้นั้น!