เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1492 โอรสสวรรค์
ตอนที่ 1,492 โอรสสวรรค์
“นางเฒ่าซวี!”
เด็กสาวเท้าเปล่าในชุดเสื้อคลุมสีดำเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองถูกหญิงชราหลอกลวง
เด็กสาวไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าใต้เท้าซวีผู้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด กลับเล่นลวดลายลูกไม้ใต้จมูกของนางเอง และนั่นก็ทำให้แผนการขั้นสุดท้ายต้องพังทลายลง
หากนางกลับไปตอนนี้…
เรื่องราวคงไม่จบลงอย่างง่ายดายเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว
ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรดีนะ?
“มันต้องมีวิธีบ้างสิน่า”
เด็กสาวเท้าเปล่าขมวดคิ้วใช้ความคิด สีหน้าเคร่งเครียด คล้ายกับว่ากำลังจะต้องตัดสินใจเรื่องราวสำคัญบางประการ
พลัน เด็กสาวยกมือขึ้น โลหิตหยดหนึ่งค่อย ๆ ไหลซึมออกมาจากปลายนิ้วชี้ โลหิตหยดนั้นมีขนาดเท่ากับเมล็ดข้าวส่องแสงสว่างเป็นประกายเรืองรอง
เด็กสาวใช้ปลายนิ้วชี้ค่อย ๆ กดลงไปที่ดวงตาข้างซ้ายของตนเอง
หยดโลหิตไหลซึมเข้าดวงตา
พลังแปลกประหลาดปกคลุมดวงตา
และทันใดนั้น ดวงตาข้างซ้ายของนางก็กลายเป็นสีแดงฉาน คลื่นพลังในดวงตาหมุนวนราวกับว่าต้องการจะมองหาอะไรบางอย่างบนพื้นหิน…
“ได้การล่ะ”
รอยยิ้มด้วยความดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กสาวเท้าเปล่าในชุดเสื้อคลุมสีดำ
โผละ!
ดวงตาข้างซ้ายของนางระเบิดออก
เบ้าตาซ้ายกลายเป็นรูกลวงว่างเปล่า
แต่เด็กสาวกลับหมุนตัวรีบเดินออกไปจากวิหารของเทพีแห่งตลาดการค้า ราวกับว่าไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย
…
แผ่นดินตงเต้า
ยอดเขาอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน ภูเขาลักชิว
ในวิหารใหญ่ ได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงดังออกมาไม่ขาดสาย
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป
ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ขนาดใหญ่เป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีเท่านั้น
เขามีใบหน้าอัปลักษณ์ ผมสีน้ำเงินยาวสลวย จมูกงองุ้มดั่งตะขอ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยปรุราวกับพื้นผิวของดวงจันทร์ ดวงตาเล็กราวกับเม็ดถั่ว นับเป็นโฉมหน้าที่ไม่ชวนมองแม้แต่น้อย
ขนาดคนธรรมดาที่ถูกเรียกขานว่าคนอัปลักษณ์ ก็ยังไม่มีใบหน้าที่อัปลักษณ์เช่นนี้
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบนใบหน้าอัปลักษณ์นี้มีเส้นรอบดวงตาเป็นสีดำคล้ำ สภาพของเด็กหนุ่มไม่ต่างจากผู้ที่ร่ำสุรามากเกินไป
ด้านหลังของเด็กหนุ่มอัปลักษณ์มีบุคคลสองคนยืนขนาบซ้ายขวา
ผู้ที่ยืนอยู่ข้างซ้ายเป็นชายชราร่างผอมสูงผมสีเทา
บุคคลผู้นี้มีร่างกายกำยำ และกล้ามเนื้อปูดโปน แม้จะยืนอยู่เฉย ๆ แต่มวลอากาศรอบกายก็เกิดเป็นความปั่นป่วนชนิดหนึ่งแล้ว
ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ฝั่งขวามือเป็นคนแคระที่มีความสูงเท่ากับเด็กหกหรือเจ็ดขวบเท่านั้น
คนแคระผู้นี้มีร่างกายเท่ากับเด็ก แต่ใบหน้าเป็นผู้ใหญ่ หากมองเพียงแต่ใบหน้าอย่างเดียวก็นับว่าเป็นใบหน้าที่หล่อเหลายิ่ง แต่น่าเสียดายที่ใบหน้านี้เมื่อประดับอยู่บนร่างกายของคนแคระก็นับว่าเป็นเคราะห์กรรมชนิดหนึ่ง ยามแรกเห็นทุกคนก็อดรู้สึกสงสารเวทนาไม่ได้ หากเขามีร่างกายเป็นคนปกติ บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็จะนับว่าเป็นหนึ่งในผู้หล่อเหลาอย่างหาตัวจับยากทีเดียว
ชายต่างวัยทั้งสองคนล้วนเป็นองครักษ์ของเด็กหนุ่มผู้อัปลักษณ์
พวกเขายืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มอัปลักษณ์ มักประพฤติตนเสมือนเรื่องราวรอบข้างไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
ชายชราผมสีเทาผู้มีร่างกายกำยำหลับตาตลอดเวลา ส่วนคนแคระหนุ่มหล่อก็กวาดตามองรอบบริเวณอยู่เสมอ
“ฮ่า ๆๆ คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะไม่ต่างไปจากรูหนูโสโครก ไม่เห็นจะสนุกเลยสักนิด”
เด็กหนุ่มยกถ้วยสุราในมือขึ้นดื่ม สุราทั่วไปเขาไม่สามารถดื่มได้ สุราที่เด็กหนุ่มสามารถดื่มได้ย่อมต้องเป็นยอดสุราเท่านั้น และเด็กหนุ่มก็ดื่มอย่างไม่รักษามารยาท สุราจำนวนมากไหลหยดเปื้อนใบหน้าและใต้คาง…
อัปลักษณ์และหยาบคาย
สาวงามสองคนผู้สวมใส่เสื้อผ้าบางเบาคอยปรนนิบัติอยู่สองข้างกายซ้ายขวาเอาอกเอาใจ
แต่พลังที่แผ่ออกมาจากตัวพวกนางนั้นก็ไม่ธรรมดา ปรากฏว่าสาวงามทั้งสองนี้เป็นเทพเจ้าด้วยกันทั้งคู่
ในยุคสมัยที่กลุ่มเทพอสูรเรืองอำนาจในแผ่นดินตงเต้า แต่เทพเจ้าอย่างพวกนางกลับต้องมาเป็นคนรับใช้เด็กหนุ่มอัปลักษณ์
มืออันหยาบช้าของเด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ลูบไล้สำรวจเรือนร่างของสองสาวงามทุกซอกทุกมุม โดยไม่สนใจว่าจะมีผู้อื่นกำลังจ้องมองอยู่หรือไม่
พฤติกรรมเช่นนี้ เขาสมควรเป็นได้เพียงอันธพาลข้างถนนเท่านั้น ไม่ควรค่าที่จะได้รับการดูแลอย่างสูงส่งเช่นนี้เลย
แต่เห็นได้ชัดว่างานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเด็กหนุ่มอัปลักษณ์
นอกจากสองสาวเทพเจ้าจะต้องคอยเอาอกเอาใจเขาแล้ว แม้แต่เว่ยหมิงเฉินซึ่งเป็นร่างกำเนิดใหม่ของท่านมหาเทพ ก็ยังต้องขยับมานั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งขวามือ ตลอดเวลาได้แต่ยกถ้วยสุราชูสูงและกล่าวถ้อยคำประจบประแจง…
“แด่ความยิ่งใหญ่ของท่านโอรสสวรรค์”
เว่ยหมิงเฉินดื่มฉลองอย่างยิ้มแย้มและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ตามข้อเรียกร้องของพระองค์ ข้าน้อยได้เตรียมค่ายอาคมไว้ทุกหนทุกแห่งเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะสตรีผู้ที่มีร่างกายตรงตามคุณสมบัติ ขอเพียงท่านโอรสมอบคำบัญชาออกมาเท่านั้น แผนการทั้งหมดก็สามารถดำเนินการได้ทันที”
“ฮ่า ๆๆ เจ้าหน้าจืด เจ้าอยากจะขึ้นเป็นราชันย์อันดับหนึ่งของแดนโสโครกแห่งนี้ไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะยังอยู่ที่นี่ต่อไปอีกเพื่ออะไร? จงหนีไปซะเถอะ เพราะทุกอย่างที่เจ้ามีกำลังจะสูญสลายหายไปกับตา… ไม่มีใครจะเห็นหัวเจ้าอีกต่อไปแล้ว”
เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ดื่มสุรารับประทานอาหารและหยอกล้อสาวงาม กล่าววาจาทั้งหมดนั้นออกมาโดยไม่เหลียวหน้ามองเว่ยหมิงเฉินแม้แต่แวบเดียว น้ำเสียงแสดงออกถึงความเหยียดหยามเย้ยหยันชัดเจน
หากผู้อื่นเป็นคนพูดประโยคนี้ออกมา เกรงว่าคงได้ตายคาถ้วยสุราไปนานแล้ว
เพราะท่านมหาเทพจะทนโดนดูถูกได้อย่างไร?
แต่แทนที่จะโกรธแค้น เว่ยหมิงเฉินกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเคารพมากกว่าเดิม
“พลัง อำนาจ สาวงาม และความร่ำรวย ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ข้าน้อยเคยสัมผัสมาหมดแล้ว มันช่างจืดชืดไร้รสชาติเหลือเกิน ข้าน้อยจึงอยากจะเดินทางไปสำรวจดูดินแดนในภพภูมิอื่น ๆ บ้างขอรับ…”
“เพราะฉะนั้น หากท่านโอรสสวรรค์ยินดีช่วยเหลือข้าน้อยในการเดินทางสู่ภพภูมิอื่น สถานที่แห่งนี้ ข้าน้อยก็มอบให้แก่ท่านได้โดยไม่คิดเสียดาย…”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เว่ยหมิงเฉินก็ลุกขึ้นยืน ดื่มฉลองแสดงความเคารพ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปปรบมือ
บรรดานางรำค่อย ๆ ล่าถอยออกไปจากห้องโถงใหญ่
เด็กสาวในชุดมือกระบี่สีขาวผู้ไม่สวมใส่รองเท้าผู้หนึ่งพลันเดินสวนเข้ามา
นางมีใบหน้างดงามจับใจ คิ้วเข้มคมชัดยิ่งกว่าคมกระบี่ เรือนร่างผอมสูง เอวคอดกิ่ว ช่วงขาเรียวยาว ผมสีดำขลับรวบเป็นหางม้ายกสูง ดวงตาสดใสแสดงออกถึงความดื้อรั้น สีหน้าท่าทางบอกถึงความถือดีในตนเอง…
“หืม?”
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์ผู้ถูกเรียกว่าโอรสสวรรค์โยนถ้วยสุราในมือทิ้งไป ผลักสองสาวที่อยู่สองข้างกายซ้ายขวาออกไป ก่อนจะลุกขึ้นและจ้องมองไปยังเด็กสาวมือกระบี่ชุดขาวผู้นั้น
ดวงตาของเขาเกิดประกายแปลกประหลาด ราวกับว่าเด็กหนุ่มกำลังใช้วิชาลับบางอย่างสำรวจมองเรือนร่างของเด็กสาวมือกระบี่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
สีหน้าของเด็กหนุ่มอัปลักษณ์แสดงออกถึงความประหลาดใจ ก่อนกล่าวต่อด้วยความยินดี “พลังหยินไม่สูญหาย ปราณบริสุทธิ์ยังคงอยู่ แม้ว่าโลหิตจะน้อยไปสักหน่อย แต่ก็ถือได้ว่ามีแกนดาราที่หาได้ยากยิ่ง นับว่าโชคดีจริง ๆ …ประเสริฐมาก ประเสริฐที่สุด”
เว่ยหมิงเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ตราบใดที่ดาวมรณะผู้นี้พึงพอใจ แผนการขั้นต่อไปก็ง่ายขึ้นแล้ว
“พันธะทั้งหมดของร่างนี้ตัดทิ้งไปแล้วใช่หรือไม่?”
ประกายแปลกประหลาดในดวงตาของเด็กหนุ่มอัปลักษณ์สลายหายไปและเขาก็ถามต่อ “หวังว่านางคงไม่มีพันธะผูกพันอยู่กับผู้ใดหรอกนะ?”
เว่ยหมิงเฉินตอบว่า “ท่านโอรสสวรรค์ไม่ต้องเป็นกังวล พันธะทั้งหมดนั้นเป็นนางตัดทิ้งด้วยมือตนเองหมดสิ้นแล้ว”
“ดีมาก”
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์พยักหน้าและกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเตรียมการได้ อีกหนึ่งชั่วยาม จงเปิดใช้งานค่ายอาคมให้หมดทุกจุด คงต้องใช้เวลาหลอมรวมพลังสักหน่อย และเราจะผ่านค่ำคืนอันยาวนานนี้ไปด้วยกัน”
เว่ยหมิงเฉินก้มหน้ารับคำสั่ง “ข้าน้อยจะไปปฏิบัติตามคำบัญชาเดี๋ยวนี้”
กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากวิหาร
เมื่อโอรสสวรรค์และสององครักษ์มองไม่เห็น ดวงตาของเว่ยหมิงเฉินก็เป็นประกายเหยียดหยามสะใจขึ้นมาทันที
เว่ยหมิงเฉินเดินออกมาหยุดยืนนอกวิหาร
เหล่านางรำที่เข้าไปทำการแสดงในวิหารเมื่อสักครู่ยังคงยืนรออยู่บริเวณนี้ เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มปรากฏตัว พวกนางก็รีบเข้ามาประสานมือทำความเคารพอย่างร้อนรน
เว่ยหมิงเฉินเพียงเดินผ่านพวกนางไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ร่างกายของนางรำสาวทั้งสิบคนนั้นพลันระเบิดกระจายเป็นม่านหมอกเลือด จิตวิญญาณดับสูญ ตัวคนตายสิ้นตลอดกาล
ผู้ที่รับรู้การปรากฏตัวของท่านโอรสสวรรค์จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปไม่ได้เด็ดขาด
และผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์วันนี้ก็จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปไม่ได้อีกเช่นกัน