เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1501 การต่อสู้แห่งโชคชะตา
ตอนที่ 1,501 การต่อสู้แห่งโชคชะตา
“ดูเหมือน…การต่อสู้จะจบลงแล้วใช่หรือไม่?”
ฉู่เหินหันมามองหน้าหลี่อี้เทียนที่ยืนอยู่ข้างกาย
นักเวทสาวในชุดนักรบพยักหน้า “นับว่าจบสิ้นแล้ว… พวกเราเป็นฝ่ายชนะ”
นี่คือความรู้สึกที่แปลกประหลาดยิ่งนัก
เดิมที พวกเขาคือแกนนำหลักของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน เป็นผู้ตัดสินผลชี้ขาดในสงครามครั้งนี้ แต่สุดท้าย ความดีความชอบทั้งหมดกลับถูกขโมยไปโดยนักแสดงตัวประกอบ ขณะที่นักแสดงหลักอย่างพวกเขาก็ทำได้เพียงเฝ้าดูอยู่เฉย ๆ เท่านั้น
แม้คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ แต่ทำไมฉู่เหินกับหลี่อี้เทียนจึงไม่ได้รู้สึกดีใจเลยนะ?
แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่กล้ารีรออีกต่อไป และรีบมุ่งหน้ากลับไปที่คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน เพื่อจัดระเบียบกองทัพชุดใหม่ สำหรับออกไปกวาดล้างกองทัพเทพสงครามทั้งสี่ที่ยังคงหลงเหลืออยู่…
วูบ!
พลัน ลำแสงกระบี่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า
โลหิตโปรยปรายราวกับสายฝนพร่างพรมลงสู่พื้นดิน
ขณะนี้ บรรดากองทัพของเทพสงครามทั้งสี่ รวมไปถึงนักรบเทวะระดับสูงและนักเวทของทางฝ่ายนั้นต่างก็ถูกลำแสงกระบี่สังหารตายหมดสิ้น
ฉู่เหินและคนอื่น ๆ เงยหน้ามองท้องฟ้า สีหน้าปรากฏความประหลาดใจ
นี่เป็นฝีมือของกระบี่กวาดสวรรค์ ซวีเซี่ยเกอ
ในที่สุด สงครามก็ยุติลงโดยสมบูรณ์
“กองทัพเทพสงครามพ่ายแพ้แล้ว”
“สงครามเทพเจ้าจบลงแล้วจริง ๆ”
“ผู้ใดจะไปคิดเลยว่าเหตุการณ์จะจบลงเช่นนี้”
เทพเจ้าจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดพากันถอนหายใจออกมา
พวกเขาเป็นกลุ่มเทพเจ้าที่ไม่ได้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ แต่ก็ให้ความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด สิ่งที่เทพเจ้ากลุ่มนี้คิดไม่ถึงก็คือสงครามเทพเจ้าที่ควรจะบานปลายกินระยะเวลายาวนานกลับจบลงในระยะเวลาอันสั้น และคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในที่สุด
ทว่า ความวุ่นวายในดินแดนทวยเทพคงไม่จบลงแต่เพียงเท่านี้
บรรดาสัตว์อสูรจากส่วนลึกของหุบผาอเวจียังคงหลุดออกมาทำร้ายผู้คนอย่างต่อเนื่อง ยามเฝ้าประตูถูกฆ่าตาย สัตว์อสูรเหล่านั้นยังคงไหลทะลักเข้ามา…
คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะก็จริง…
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ เหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวได้บังเกิดขึ้นแล้ว
กลุ่มเทพเจ้าที่ไม่เข้าร่วมสงครามต่างก็ส่งเสียงร้องโหยหวนก่อนตกตายอย่างไม่มีสัญญาณเตือน…
เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์เผาไหม้ร่างกายของพวกเขา แม้แต่ดวงวิญญาณก็ดับสูญหายสิ้น
“ที่ดินแดนตงเต้าเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
“ผู้ศรัทธาของพวกเราต่างก็เสียชีวิตหมดแล้ว…”
“อ๊าก! ไม่จริง ที่นั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
กลุ่มเทพเจ้าผู้ถูกเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์เผาไหม้ร่างกายร้องครวญครางออกมาก่อนจะเสียชีวิตลง พวกเขาคือสมาชิกของระบบเทพเจ้าแห่งดินแดนทวยเทพ เมื่อจำนวนผู้ศรัทธาของตนเองสูญสิ้น ชีวิตของพวกเขาก็ต้องดับสูญลงไปเช่นกัน…
นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้เทพเจ้าหน้าใหม่จำนวนมากขนลุกเกรียว
เกิดอะไรขึ้นในโลกมนุษย์เบื้องล่าง?
หัวใจของทุกคนเต้นระทึกด้วยความร้อนรน
ทันใดนั้น ประตูมิติปริศนาได้ปรากฏขึ้นเหนือลานจัตุรัสหน้าคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
ฉู่เหินและพรรคพวกเตรียมตัวรับมือศัตรู
“เดี๋ยวก่อนนะ?”
“นี่เป็นประตูมิติไม่ใช่หรือ?”
“ผู้ที่เปิดประตูมิตินี้เป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่?”
…
ครึ่งชั่วยามก่อนหน้า
แผ่นดินตงเต้า มหานครต้าเกี๋ยน
“นี่คือวิธีการทำงานของมัน”
ฉินโซวชี้มือไปยังแผนภูมิค่ายอาคมที่ลอยอยู่ตรงหน้า ก่อนอธิบายรายละเอียดต่อว่า “นี่คือค่ายอาคมระดับสูงสุดที่เรียกว่าค่ายอาคมมังกรกลืนวิหค ทั่วแผ่นดินตงเต้าในขณะนี้ มีการสร้างค่ายอาคมชนิดนี้ขึ้นแปดร้อยสิบจุด หน้าที่ของมันคือสังหารสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนแผ่นดินแห่งนี้และดูดซับพลังชีวิตเหล่านั้นสู่แกนพลังของค่ายอาคม ซึ่งแกนพลังค่ายอาคมนั้นก็จะทำหน้าที่หลอมรวมพลังทั้งหมดเข้าด้วยกัน…”
“ตามความรู้เท่าที่ข้ามี นี่ต้องไม่ใช่ค่ายอาคมของแผ่นดินตงเต้าหรือดินแดนทวยเทพ แต่มันต้องเป็นค่ายอาคมจากภพภูมิอื่น หากอยากทำลายค่ายอาคมชนิดนี้ เราก็ต้องสังหารผู้ควบคุมค่ายอาคมและทำลายแกนพลังของแท่นบูชาหลักลงให้ได้ ปัญหาใหญ่ก็คือเราไม่รู้เลยว่าแท่นบูชาบริเวณใดเป็นที่ตั้งของแกนพลังที่แท้จริง เพราะพวกมันถูกซ่อนอยู่ในค่ายอาคมทั้งแปดร้อยสิบจุดนี้ และนักสร้างค่ายอาคมที่ชาญฉลาดก็มักจะวางแท่นบูชาสำหรับสร้างค่ายอาคมไว้ห่างจากกันจุดละหลายพันลี้…”
เมื่ออธิบายมาถึงตรงนี้ ฉินโซวก็กวาดสายตามองรอบตัว
ผู้คนที่มารวมตัวอยู่ในห้องโถงใหญ่ขณะนี้ล้วนแต่เป็นกลุ่มผู้นำของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งประกอบไปด้วยเซียวปิง อากวง เยว่เว่ยหยาง เยว่หงเซียง ติงซานฉือ เฉียนเหมย เฉียนเจิน ไต้จือฉุน หลิงไท่ซวี หลิงฉือ หลิงอู๋ อานมู่ซี สือจงเซิ่ง เกาเฉิงฮั่น เด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรหลงหน่า และองค์ชายผู้น่าสงสารของนาง…
แน่นอนว่าในที่นี้ ยังมีหลินเป่ยเฉินรวมอยู่ด้วย
เช่นเดียวกับนักพรตหญิงชินก็กลับมาแล้วเช่นกัน
นางมาปรากฏตัวเข้าร่วมประชุมอย่างที่หาได้ยากยิ่ง
ในที่สุด สายตาของฉินโซวก็เลื่อนมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าหลินเป่ยเฉินและถามว่า “ข้าอุตส่าห์อธิบายขนาดนี้ ไม่ทราบว่าท่านเข้าใจแล้วหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยกมือเกาหลังศีรษะแกรก ๆ
นี่ไม่ต่างจากคำถามของอาจารย์พิเศษที่ช่วยติวข้อสอบก่อนการสอบครั้งสำคัญ และผู้เป็นอาจารย์ก็คาดหวังในตัวลูกศิษย์เอาไว้ไม่ใช่น้อย
หลินเป่ยเฉินรู้สึกปวดหัวตึบ
เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ต่างจากกำลังถูกจ้องมองโดยคุณครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ในชาติภพที่แล้วอย่างไรอย่างนั้น
ฉินโซว เจ้าหมอนี่มันตั้งใจหักหน้าเขาเป็นการแก้แค้นแน่ ๆ
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับ
โชคดีที่เสี่ยวเซียงเซียงเป็นคนพยักหน้าตอบรับแทนว่า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
สมแล้วที่เป็นนักสร้างค่ายอาคมอันดับหนึ่งแห่งกองทัพสัมพันธมิตร
เยว่หงเซียงขมวดคิ้วกล่าวต่อไป “เมื่อค่ายอาคมชนิดนี้ถูกเปิดใช้งาน แผ่นดินตงเต้าก็จะเหลือเวลาเพียงห้าวันเท่านั้น บัดนี้ ผ่านไปแล้วสามวัน สิ่งมีชีวิตได้ถูกดูดกินพลังไปจำนวนมหาศาล หากครบกำหนดระยะเวลาห้าวันเมื่อไหร่ แผ่นดินตงเต้าก็จะกลายเป็นดินแดนอันว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่สามารถฟื้นฟูกลับคืนมาได้อีก… ดังนั้น พวกเราจึงต้องรีบหาแกนพลังที่แท้จริงให้เจอ ในเวลาเดียวกันนี้ก็ต้องรีบทำลายแท่นบูชาเหล่านั้นให้ได้เยอะมากที่สุด ข้าคิดว่าพวกเราสมควรแยกย้ายกันออกไปลงมือ…”
เก้าอี้ล้อเลื่อนของเหยียนอิงลอยตัวอยู่ในอากาศ นางจึงนั่งอยู่ในความสูงที่เหนือมากกว่าระดับศีรษะของทุกคน “แต่ปัญหาก็คือตอนนี้เราขาดกำลังคนน่ะสิ”
ผู้ที่สามารถหลอมรวมพลังจากตำแหน่งเทพเจ้าได้สำเร็จ นับดูแล้วบัดนี้มีไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ
กำลังคนไม่ถึงยี่สิบคนที่ต้องกวาดล้างแท่นบูชาแปดร้อยสิบจุดทั่วแผ่นดินตงเต้า ไม่มีทางทำได้สำเร็จในระยะเวลาสองวันแน่นอน
“ไม่เป็นไร ข้ามีวิธี”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ พูดว่า “เจ้าว่าพวกเราขาดกำลังคนใช่หรือไม่?”
หลังจากนั้น เขาก็เปิดแอปลาล่ามูฟในโทรศัพท์มือถือ จัดแจงจองรถบรรทุกคันหนึ่งเพื่อไปรับตัวเหล่าเทพเจ้าจากคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนให้มาส่งที่แผ่นดินตงเต้า…
คำสั่งขนส่งผ่านไปอย่างราบรื่น
เมื่อจ่ายเงินค่าขนส่งเสร็จเรียบร้อย การขนส่งก็จะลุล่วงในอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามให้หลัง
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินสามารถใช้ประโยชน์จากเทพเจ้านับร้อยชีวิตของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนได้แล้ว
หลินเป่ยเฉินอดดีใจไม่ได้เมื่อนึกภาพว่ารถบรรทุกกำลังจะนำตัวพวกของฉู่เหินกลับมาส่งที่โลกมนุษย์อีกครั้ง
“หากกำลังเสริมมาทันเวลา พวกเราก็ยังมีความหวังที่จะกอบกู้สถานการณ์ในครั้งนี้ได้อยู่เจ้าค่ะ…” ไม่ทราบเลยว่าเยว่หงเซียงขยับเข้ามายืนแทนที่ฉินโซวตั้งแต่เมื่อไหร่ นางเป็นอัจฉริยะด้านการสร้างค่ายอาคม เพียงกวาดตามองดูแผนภูมิค่ายอาคมเล็กน้อย เด็กสาวก็เข้าใจถึงวิธีการทำงานของมันอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินมีหน้าที่ออกคำสั่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ…
สั่งให้ทุกคนทำลายล้างแท่นบูชาให้ราบคาบ
พวกเขาคาดเดากันว่าแท่นบูชาหลักน่าจะตั้งอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของวิหารเทพพงไพร
หลังจากปรึกษาหารือกันเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจอาสาจะไปที่นั่นเอง
“นายท่าน ข้าจะไปกับท่าน”
เฉียนเหมยพูดอย่างกระตือรือร้น
“อย่าไปเลย เจ้าอยู่คอยช่วยเหลือพวกของเซียงเซียงดีกว่า…”
หลินเป่ยเฉินพูดจบประโยคนี้ก็หายตัวไปทันที
เหยียนอิงกล่าวอย่างใช้ความคิดว่า “ดูเหมือนเขาจะวางแผนร้ายอะไรบางอย่างอีกแล้วสินะ…”
ติงซานฉือชำเลืองมองไปที่บุตรสาวของตนเอง กล่าวว่า “เจ้าอย่าได้พูดถึงเขาเช่นนี้สิ…”
บัดนี้ เจ้าลูกเต่าตัวแสบมีพลังแข็งแกร่งเทียมฟ้า ติงซานฉือผู้มีฐานะเป็นอาจารย์จึงต้องปกป้องลูกศิษย์เสมอ แม้ว่าการที่หลินเป่ยเฉินรีบร้อนออกไปโดยไม่อธิบายสิ่งใดเพิ่มเติมเลยสักคำเช่นนี้จะน่าจับมาเขกกะโหลกไม่น้อยก็ตาม
เยว่หงเซียงยกมือขึ้นนวดขมับตนเอง
นางไม่ได้พูดอะไรออกมา
แต่เด็กสาวนักสร้างค่ายอาคมก็พอจะคาดเดาได้ว่า เพราะเหตุใด หลินเป่ยเฉินจึงเดินทางไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของวิหารเทพพงไพรเพียงลำพัง
…นั่นเป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ซึ่งอันตรายมากที่สุดในแผ่นดินตงเต้า และคงจะต้องเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินจึงแบกรับความเสี่ยงด้วยตนเอง ไม่อยากจะพาผู้ใดให้ไปรับอันตรายด้วยกัน
เยว่หงเซียงสูบบุหรี่และพ่นควันสีขาวออกมาจากจมูก รู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าไม่สบายใจด้วยเหตุอันใด
ห่างออกไปหลายพันลี้
หลินเป่ยเฉินนั่งประจำตำแหน่งสารถีของรถม้าทองคำ กำลังโบกไม้โบกมืออย่างมีความสุข “พี่ชิน ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกันไปทั่วแผ่นดินตงเต้า มีเพียงท่านกับข้าเท่านั้นที่จะได้ไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์… โอกาสที่ท่านจะได้แก้แค้นให้แก่เทพเจ้าหวงมาถึงแล้ว”
นักพรตหญิงชินพลันกระโดดขึ้นมายืนอยู่บนรถม้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ
…
แท่นบูชาเก้าชั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์
ลำแสงสีเงินปกคลุมทั่วยอดเขา
เกล็ดหิมะและน้ำแข็งหลอมละลายอย่างรวดเร็ว
ระบบนิเวศของภูเขาลักชิวถูกทำลายลงไปด้วยคลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้
บรรดานักบวชที่รวมพลอยู่บริเวณเชิงเขาศักดิ์สิทธิ์ตัวสั่นเทา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ในหัวใจได้แต่สวดภาวนาเพื่อกำจัดความหวาดกลัวของตนเอง
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นสาวกของวิหารเทพพงไพร แต่พลังทำลายล้างจากแท่นบูชาเก้าชั้นนั้นน่าหวาดกลัวมากเกินไป มันทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงมวลพลังกดดันมหาศาลที่สามารถทำลายโลกทั้งใบได้ในพริบตา
เว่ยหมิงเฉินยืนอยู่ใต้แท่นบูชาด้วยสีหน้าคาดหวัง
มู่ซินเยว่ก้าวเดินขึ้นไปบนแท่นบูชาทีละชั้นด้วยสองเท้าอันเปล่าเปลือย ผมยาวสลวยของนางปลิวไสว
เมื่อเด็กสาวก้าวขึ้นไปอยู่บนชั้นสูงสุดของแท่นบูชา ร่างกายของนางก็ครอบคลุมด้วยลำแสงสีเงิน
ทันใดนั้น พลังที่แผ่ออกมาจากตัวมู่ซินเยว่ก็สามารถทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนได้ทันที
แม้แต่เว่ยหมิงเฉินก็ยังรู้สึกได้ถึงความกดดันเล็กน้อย
เมื่อมู่ซินเยว่ดูดซับพลังเข้าไปจากแท่นบูชา นางก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
“นางมีร่างกายแฝงแกนดาราอย่างที่โอรสสวรรค์พูดเอาไว้จริง ๆ หากเป็นเช่นนี้ นางก็คงสามารถดูดซับพลังทั่วทั้งแผ่นดินตงเต้าได้แล้วสินะ?”
เว่ยหมิงเฉินจ้องมองไปที่เงาร่างของมู่ซินเยว่ ก่อนจะเดินตามขึ้นไปสู่ชั้นบนสุดของแท่นบูชา หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างควบคุมไม่ได้
มู่ซินเยว่เป็นส่วนสำคัญที่สุดในแผนการของเขา
หากร่างกายของนางทนไม่ไหว แผนการของเว่ยหมิงเฉินก็จะพังทลายลงทันที
และภายใต้การจ้องมองของเว่ยหมิงเฉิน มู่ซินเยว่ก็ยังคงดูดซับพลังที่ระเบิดออกมาจากแท่นบูชาอย่างต่อเนื่อง
ครืน!
ทันใดนั้น แท่นบูชาเก้าชั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของเว่ยหมิงเฉินปรากฏความตกตะลึง
เพราะเขารู้สึกว่ามวลพลังที่ไหลทะลักออกมาจากชั้นบนสุดของแท่นบูชานั้น ไม่ต่างจากประตูเขื่อนกั้นน้ำที่พังทลาย แต่ร่างกายของมู่ซินเยว่ก็ยังสามารถดูดซับพลังเหล่านั้นได้อย่างไม่มีปัญหา
“สตรีนางนี้มีร่างกาย… ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
เว่ยหมิงเฉินอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ
และในเวลาเดียวกันนี้เอง…
“เว่ยหมิงเฉิน จงไสหัวออกมารับการลงทัณฑ์เสียดี ๆ”
เสียงตะโกนปานฟ้าถล่มแผ่นดินทลายดังขึ้นทั่วยอดเขาลักชิว พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง รอยแตกร้าวปรากฏขึ้นบนพื้นดิน มวลอากาศปั่นป่วนเกิดเป็นพายุหมุน ผู้คนจำนวนมากบริเวณเชิงเขาล้มลงกลิ้งไปกับพื้น…
เว่ยหมิงเฉินหันหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่งบนท้องฟ้า
ห่างไกลออกไป รถม้าทองคำคันหนึ่งปรากฏขึ้นในอากาศ
บนรถม้า เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดมือกระบี่สีขาวผู้หนึ่งยืนอยู่เคียงข้างกับนักบวชสาวในชุดเสื้อคลุมสีดำ เส้นผมของนางปลิวไสวตามแรงลม และสายตาของคนทั้งคู่ก็กำลังจ้องมองมาที่เว่ยหมิงเฉินด้วยความอาฆาตแค้น
เด็กหนุ่มผู้นั้นย่อมต้องเป็นหลินเป่ยเฉิน
และนักบวชผู้นั้นก็เป็นคนแซ่ชินผู้เสียสติ
ทั้งสองคนมาแล้วจริง ๆ
ดวงตาของเว่ยหมิงเฉินเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยจิตสังหาร
มาก็ดีแล้ว
จะได้ฆ่าให้ตายไปพร้อม ๆ กันเสียเลย
เว่ยหมิงเฉินสะกิดเท้าพุ่งตัวขึ้นไปจากยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ เหินร่างเข้าไปขวางหน้ารถม้าทองคำพร้อมกับระเบิดพลังในร่างกายออกมา คลื่นพลังเหล่านั้นถาโถมออกไปรุนแรงร้ายกาจยิ่งกว่ารัศมีการทำลายล้างของระเบิดปรมาณู
เป็นคลื่นพลังจากปราณธาตุทั้งห้าชนิด!
ปรากฏว่าเว่ยหมิงเฉินก็สามารถปลดผนึกพลังปราณธาตุทั้งห้าชนิดได้ครบถ้วนแล้วเช่นกัน!