เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1509 พลังแห่งสายเลือด
ตอนที่ 1,509 พลังแห่งสายเลือด
ดูเหมือนว่าการอัญเชิญแผ่นยันต์สีแดงเมื่อสักครู่จะใช้พลังไปไม่น้อย
ไป๋ชินอวิ๋นจึงต้องนั่งขัดสมาธิกลางอากาศและหลับตาลงฟื้นฟูพลังอีกครั้ง
พลังในร่างกายปั่นป่วนเล็กน้อย
ต่อมา นางเงยหน้ามองแผ่นฟ้าในความเงียบราวกับว่ากำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้น ไป๋ชินอวิ๋นก็พูดออกมาว่า “คุ้มค่าหรือไม่?”
แต่นี่ไม่ใช่เสียงของนาง
เป็นเสียงแหบแห้งที่ฟังระคายหูที่สุด
ทว่า สีหน้าของไป๋ชินอวิ๋นยังคงเป็นปกติดังเดิม
อีกเสียงหนึ่งดังออกมาจากลำคอของนางเพื่อตอบคำถามนั้นว่า “ย่อมคุ้มค่าแน่นอน”
“พี่เป่ยเฉินอาจไม่ให้อภัยเจ้าอีกเลย”
เสียงแหบแห้งนั้นดังออกมาจากปากอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุมได้
“เขาไม่ให้อภัยข้า แล้วมันมีความหมายด้วยหรือ?”
ไป๋ชินอวิ๋นกลับมามีเสียงของตนเองดังเดิมและดวงตาของนางก็เป็นประกายอย่างหนักแน่นมั่นคง
“เด็กโง่”
เสียงที่สามดังออกมาจากปากของไป๋ชินอวิ๋น
คราวนี้เป็นเสียงที่ฟังดูแก่ชรา เป็นเสียงของคนที่ผ่านประสบการณ์ความรักและความเศร้าเสียใจมาอย่างโชกโชน
ไป๋ชินอวิ๋นสะบัดศีรษะเล็กน้อย ผมสีแดงเพลิงของนางปลิวไสว “ทำตามแผนเดิมได้แล้ว”
แล้วอีกสองเสียงนั้นไม่ดังออกมาอีกเลย
ราวกับว่าพวกมันไม่เคยปรากฏขึ้นในโลกใบนี้
…
“ที่นี่คือที่ไหนกัน?”
“เหตุไฉนจึงมีแต่ทะเลทราย ไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตเลยแฮะ?”
“น่าแปลก ทำไมพวกเราถึงไม่เจอพลังกดดันเลยล่ะ เป็นเพราะประตูมิติทำงานผิดพลาด หรือเป็นเพราะพวกเราผิดปกติกันแน่…”
“เมื่อสักครู่นี้ เราผ่านประตูมิติข้ามภพภูมิมาแล้วจริง ๆ หรือ?”
“ทำไมจะไม่จริงเล่า? ข้ารู้สึกเวียนหัวแทบแย่… ขอมือเจ้าหน่อยสิ ข้ารู้สึกอยากอาเจียน”
กลุ่มเทพเจ้าหน้าใหม่จากดินแดนทวยเทพกระโดดลงจากรถบรรทุกของแอปลาล่ามูฟและจ้องมองทะเลทรายรอบกายด้วยความสงสัยและอดรู้สึกผิดหวังขึ้นมาไม่ได้
พวกเขาเป็นเพียงเทพเจ้าหน้าใหม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยเดินทางข้ามภพภูมิมาก่อน จึงไม่เคยพบเห็นว่าแผ่นดินตงเต้านั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ทั้งหมดเข้าใจว่าที่นี่คือโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสาวกผู้ศรัทธาและความศรัทธาจากสาวกเหล่านี้ ก็คือสิ่งที่ช่วยต่ออายุขัยให้แก่เทพเจ้าอย่างแท้จริง
แต่โลกมนุษย์ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด
แน่นอนว่าในคนกลุ่มนี้ย่อมมีผู้ที่เคยพบเห็นแผ่นดินตงเต้ามาก่อน
นั่นก็คือฉู่เหินกับกงกง
ฉู่เหินกวาดตามองรอบตัว ก่อนจะพบเห็นพวกของเยว่หงเซียง หวังซินอวี่ มี่หรู่หยาน คังซานเสวี่ยและบรรดามือกระบี่หญิงสาวงามจำนวนมากยืนอยู่ภายใต้การป้องกันของม่านพลังไม่ห่างออกไป
และไต้จือชุนที่กำลังขี่อยู่บนแผ่นหลังของเสืออสูรตัวหนึ่งก็มาปรากฏตัวด้วยเช่นกัน
ตำแหน่งที่เป็นจุดหมายปลายทางของ ‘รถบรรทุก’ นั้นอยู่ห่างจากมหานครของจักรวรรดิต้าเกี๋ยนหลายพันลี้ แต่หลินเป่ยเฉินก็ได้แจ้งให้พวกของเยว่หงเซียงรับทราบเอาไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น พวกนางจึงมารอคอยอยู่ที่นี่
“โอ้โห งดงามที่สุด”
“นี่คือสาวงามแห่งแผ่นดินตงเต้าใช่หรือไม่? ช่างเจริญหูเจริญตาจริง ๆ”
“เมื่อเห็นแม่นางเหล่านี้แล้ว ข้าก็ชักรู้สึกว่าโลกมนุษย์น่าอยู่ขึ้นมาแล้วสิ”
“ไป ๆๆ พวกเราเข้าไปทักทายกันเถอะ อย่าลืมสิว่าพวกเราเป็นถึงเทพเจ้าเชียวนะ อย่าได้ทำตัวหยิ่งยโสเด็ดขาด”
ไม่มีเทพเจ้าหน้าใหม่ผู้ใดสนใจไต้จือฉุนแม้แต่คนเดียว
โดยเฉพาะพวกคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้า ซือเกินตั๋ง มู่หลินเซิน กวนรั่วเฟย ลู่ปิงเหวินและเฉียนหลง ทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่พวกของเยว่หงเซียงด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
นี่คือสาวงามแห่งโลกมนุษย์
ทันใดนั้น เสียงเย็นชาดังขึ้นจากผู้คนที่อยู่ในกลุ่มเทพเจ้าหน้าใหม่ “สาวงามเหล่านี้ต่างก็อยู่ภายใต้การดูแลของใต้เท้าเจี๋ยน ไม่ว่าพวกท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ขอให้รีบล้มเลิกความคิดนั้นโดยทันที”
เป็นผู้ใดกันนะ?
ห้าเทพเจ้าหนุ่มหล่อพากันหันมองรอบตัวด้วยความประหลาดใจ
แต่ก็ไม่พบเห็นผู้ใดเลย
เสียงพูดนั้นฟังคุ้นหูชอบกล แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของผู้ใด
“เอ่อ… อยู่ดี ๆ ข้าก็รู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยเหลือเกิน คงไม่คู่ควรที่จะได้พูดจากับสาวงามเหล่านี้แล้วกระมัง?”
“ผายลมมารดาเจ้าเถอะ อย่าว่าแต่จะพูดคุยกับพวกนางเลย แม้แต่เหลือบตามอง พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์ด้วยซ้ำ”
พวกของเฉียนหลงรีบเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว
ไม่มีผู้ใดจะไร้ยางอายมากกว่าพวกเขาอีกแล้ว
ซือเกินตั๋งยังคงเป็นผู้ที่ไร้ยางอายมากที่สุด เขายกมือตบหน้าอกตนเองและกล่าวเสียงดังว่า “ทุกคนฟังคำพูดข้าไว้ให้ดี หญิงงามเหล่านี้ต่างก็เปรียบเสมือนมารดาของข้า หากผู้ใดคิดจะเข้าไปพูดจาเกี้ยวพาราสีนาง ขอให้ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ”
สมแล้วที่เป็นซือเกินตั๋งจริง ๆ!
กลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
หลังจากนั้น พวกของฉู่เหินกับเยว่หงเซียงก็ทักทายกันพอเป็นพิธี เมื่อรับทราบถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน พวกเขาก็เริ่มแบ่งแยกกำลังพลและถือแผนที่ซึ่งเตรียมเอาไว้นานแล้วมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งต่าง ๆ ทั่วแผ่นดินตงเต้า โดยมีภารกิจเดียวกันคือการทำลายแท่นบูชาให้หมดสิ้น
หวังซินอวี่ มี่หรู่หยาน คังซานเสวี่ยและคนอื่น ๆ ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางให้แก่กลุ่มเทพเจ้าหน้าใหม่
พวกนางประหลาดใจไม่น้อยที่พบว่ากลุ่มเทพเจ้าหน้าใหม่ออกจะให้ความเคารพตนเองอย่างสูงส่งผิดปกติ
จนกลุ่มเด็กสาวอดสงสัยไม่ได้ว่าบรรดาเทพเจ้าเหล่านี้มาจากดินแดนทวยเทพจริง ๆ หรือ?
กลุ่มผู้นำทางและบรรดาเทพเจ้าออกเดินทางกันอย่างรวดเร็ว พวกเขาพยายามค้นหาแท่นบูชาที่กระจายตัวอยู่ทั่วแผ่นดินตงเต้าให้พบเจอให้เยอะมากที่สุด เพื่อที่จะได้ทำลายค่ายอาคมบูชายัญให้รวดเร็วมากที่สุด
ทุกคนต่างก็ทำงานหนักยิ่งนัก
…
ดินแดนแห่งนี้มืดมิดราวกับเป็นดินแดนแห่งความตาย
แสงสว่างมาจากกองไฟที่ลอยอยู่ในอากาศ โดยรอบมีแต่หมอกหนาสีขาว บรรยากาศกดดันคุกคามจิตใจผู้คน
ทันใดนั้น…
วูบ!
อะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากหมอกขาว
ปรากฏว่าเป็นว่าวกระดาษขาวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่สายป่านขาดวิ่น ว่าวกระดาษปลิวออกมาจากหมอกขาวและกระทบเข้ากับม่านพลังสีฟ้าอ่อนที่กั้นอยู่รอบบริเวณ แล้วว่าวกระดาษตัวนั้นก็ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงไปกองอยู่บนพื้น
ในหมอกขาวมีโลหิตสาดกระจาย
กึก! กึก! กึก!
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังชัดเจนในหมอกขาว
ม่านหมอกขาวปั่นป่วน
แล้วร่างของใครบางคนก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมาจากส่วนลึกของหมอกขาวนั้น
เป็นโอรสสวรรค์
เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่บนร่างกายขาดวิ่น ทั่วตัวเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ ใบหน้าเปียกชุ่มด้วยโลหิต ผมสีน้ำเงินถูกย้อมกลายเป็นสีแดงฉาน ใบหน้าอัปลักษณ์บิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้นแสนสาหัส
“รีบพาข้าไปจากที่นี่ซะ แล้วข้าจะทำให้เจ้าไม่ต้องตายอย่างทรมาน”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มอัปลักษณ์ปรากฏความวิตกกังวลชัดเจน
ในเวลาเดียวกันนี้
ร่างที่เปียกชุ่มด้วยโลหิตของหลินเป่ยเฉินยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า
ปรากฏว่าว่าวกระดาษตัวนั้นก็คือหลินเป่ยเฉินเอง
แขนของเขาหักงอผิดรูป ใบหน้าเปียกชุ่มด้วยโลหิต แต่ดวงตายังคงสดใสด้วยเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่น
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจคำขู่ของโอรสสวรรค์ พลางพึมพำกับตนเองว่า “ให้ตายเถอะ ขนาดลากเข้ามาอยู่ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เราก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันอยู่ดี… สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้ก็คือการยื้อเวลาเท่านั้น… แม่งเอ๊ย นี่เราจะต้องมาตายเพราะไอ้หน้าอัปลักษณ์นี่จริง ๆ เหรอวะเนี่ย…”
พลังปราณธาตุไม้จากวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดี
ส่วนยาชนิดต่าง ๆ ที่เคยซื้อหามาจากแอปเถาเป่านั้น หลินเป่ยเฉินกรอกใส่ปากรับประทานไปนานแล้ว
เขานำสเปรย์ระงับอาการเจ็บปวดออกมาฉีดพ่นตามร่างกาย
“ฮ่า ๆๆ เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก ไม่มีทางเด็ดขาด เพราะข้าเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน เก่งจริงก็ฆ่าข้าให้ได้สิ ชะลาลาละล่ะ เฮ้ เฮ้ เฮ้…”
แอป NetEase Cloud Music กำลังเล่นเพลง ‘Beat Me If You Can’ ซึ่งเป็นเพลงฮิตของประเทศจีนประจำปี 2019 ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบแล้ว
และเพลงนี้ก็ช่วยทำให้หลินเป่ยเฉินมีพลังต่อสู้เพิ่มพูนมากขึ้น
หลินเป่ยเฉินต้องยอมรับเลยว่าโอรสสวรรค์มีความแข็งแกร่งมากกว่าที่ตนเองคิดเอาไว้
เขาไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งถึงระดับนี้มาก่อน
“เจ้าไม่อยากตายดี ๆ หรือไง?”
ดวงตากลมเล็กเหมือนเม็ดถั่วของโอรสสวรรค์เป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความอำมหิต ตัวคนพลันพองโตเหมือนลูกโป่งสูบลม หลังจากนั้น โอรสสวรรค์ก็มีร่างกายขยายใหญ่ยักษ์เท่ากับตึกสิบชั้น กล้ามเนื้อบนร่างกายปูดโปน เส้นเอ็นที่ปูดขึ้นมาใต้ผิวหนังดูแข็งแกร่งไม่ต่างไปจากเส้นลวดเหล็กกล้า
และโอรสสวรรค์ก็ยกมือยักษ์ข้างนั้นตะปบลงมาที่หลินเป่ยเฉิน
“เจ้าทำให้ข้าต้องใช้พลังแห่งสายเลือดที่นี่ เจ้าควรจะภูมิใจนะ…ฮ่า ๆๆ ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก เมื่อเจ้าตายไปแล้ว ค่ายอาคมแห่งนี้ก็จะสลายลงไปทันทีแน่!”
มวลอากาศปั่นป่วนราวกับเกิดสายฟ้าฟาด
ด้วยพลังกดดันจากมือยักษ์ข้างนั้น ม่านหมอกขาวในอากาศก็แตกกระจายออกไปเสมือนเจอกับคลื่นพายุหมุน
หลินเป่ยเฉินกลิ้งตัวหลบการตะปบของฝ่ามือยักษ์ได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนที่เขาจะกระโดดตีลังกาขึ้นไปยืนอยู่บนหลังมือซ้ายและกระโดดย้ายไปเกาะอยู่ที่หลังมือขวา
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนกลมือรัวยิงอย่างต่อเนื่อง
กระสุนลำแสงที่ผนึกอานุภาพการโจมตีด้วยพลังจากวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณสาดกระหน่ำใส่ร่างกายของโอรสสวรรค์ราวกับห่าฝน
เสื้อผ้าของโอรสสวรรค์ฉีกขาดกระจาย
ผิวหนังที่เปลือยเปล่าถูกย้อมด้วยสีโลหิต แต่เมื่อกระสุนลำแสงพุ่งกระทบเป้าหมาย ร่างกายของโอรสสวรรค์กลับเกิดเป็นเพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อยเท่านั้นเอง
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตโดยทันที
เชี่ยแล้วไง
เขาอุทานคำหยาบอยู่ในใจ
ปืนกลมือไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย
หลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไปดี?