เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1522 เวรกรรมตามทัน
ตอนที่ 1,522 เวรกรรมตามทัน
“นางเห็นภาพนิมิตจากในอนาคต”
เมื่อนักพรตหญิงชินพูดประโยคนี้ออกมา หัวใจของหลินเป่ยเฉินก็กระตุกวูบ หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
“นางเห็นอะไร?” เขาถามออกไปเสียงดัง
“ไป๋ชินอวิ๋นมองเห็นจุดจบของเผ่าจันทราขาว การล่มสลายของแผ่นดินตงเต้า เทพเจ้าและผู้คนสูญสิ้น การสูญพันธุ์ของเผ่าทะเล มองเห็นการเสียชีวิตของสหายเก่าในเมืองหยุนเมิ่งและจุดจบของนครเจาฮุย อีกทั้งยังมองเห็นผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินกลายเป็นรูปปั้นหิน ไป๋ชินอวิ๋นมองเห็นความตายของตนเองด้วยเช่นกัน… แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือนางมองเห็นความตายของเจ้าในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วยอิทธิฤทธิ์ของหอกแห่งโชคชะตาหน้าแท่นบูชาเก้าชั้น… แม้มันจะเป็นการเห็นนิมิตในเวลาอันน้อยนิด แต่ในความรู้สึกของไป๋ชินอวิ๋นนั้น นี่คือภาพที่ฉายวนเวียนอยู่ตลอดเวลา”
แม้นักพรตหญิงชินจะรับหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวแทนผู้เฒ่าซวี แต่เรื่องราวก็ยังคงน่าตกตะลึงมากเกินไปอยู่ดี
หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นด้วยเหตุผลนี้เอง
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินถึงได้รับทราบความจริงว่าตอนที่เขาลากโอรสสวรรค์เข้าไปต่อสู้ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง นักพรตหญิงชินที่ต่อสู้อยู่ทางด้านนอกกับไป๋ชินอวิ๋นได้พ่ายแพ้ให้แก่ไป๋ชินอวิ๋นอย่างหมดรูป
“การสละชีวิตของชาวเผ่าจันทราขาวมาพร้อมกับคำสาปเฉพาะตัว คำสาปที่จะทำให้ทุกคนลืมเลือนพวกเขาไปตามกาลเวลา… ดังนั้น หากข้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ออกมา เจ้าก็คงไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าเพราะเหตุใดไป๋ชินอวิ๋นถึงไม่อยู่ที่นี่? และนั่นก็เป็นเพราะว่าคำสาปของพวกเขาทำงานแล้วนั่นเอง…”
นักพรตหญิงชินอธิบายต่อไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เว่ยหมิงเฉินหยุดทำงาน รับรู้แล้วว่าตลอดการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ไม่ว่าเขาจะมีคู่ต่อสู้เป็นผู้ใดหรือมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ตนเองก็ไม่เคยนึกถึงไป๋ชินอวิ๋นเลยสักครั้ง
ตลอดเวลาที่อยู่ในสนามพลังก่อนหน้านี้ จิตใจของเขามุ่งมั่นอยู่ที่การสังหารหลินเป่ยเฉิน ไม่เคยนึกถึงไป๋ชินอวิ๋นเลย
จนกระทั่งนักพรตหญิงชินพูดออกมานี่เอง เขาจึงนึกถึงนางขึ้นมาได้
และเว่ยหมิงเฉินก็จดจำขึ้นมาได้ในทันที ตามแผนการเดิมที่เขาวางเอาไว้ เว่ยหมิงเฉินตั้งใจจะไว้ชีวิตไป๋ชินอวิ๋นเพื่อนำตัวมาสังหารต่อหน้าหลินเป่ยเฉินในภายหลัง… แต่เขากลับหลงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทใจ
แม้แต่ใต้เท้าเหลียนก็ดูเหมือนจะลืมเลือนตัวตนของเด็กสาวเท้าเปล่าในชุดเสื้อคลุมสีดำไปเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว
หลังจากที่เขาออกมาจากอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ เขาก็มัวแต่นึกถึงนักพรตหญิงชิน ไม่ได้คิดถึงไป๋ชินอวิ๋นแม้แต่น้อย
คนตายเหล่านั้นอาศัยอยู่ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของไป๋ชินอวิ๋นอย่างนั้นหรือ?
ดังนั้น ไป๋ชินอวิ๋นจึงใช้อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของตนเองเป็นที่หลบซ่อนตัวของผู้คนในเผ่าพันธุ์และหาทางแก้ไขภาพนิมิตที่นางเห็นในอนาคต
ขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว ไม่ทราบว่าไป๋ชินอวิ๋นเป็นอย่างไรบ้าง?
เว่ยหมิงเฉินทั้งโกรธแค้นและเศร้าโศกในเวลาเดียวกัน ได้แต่ถอนหายใจ ไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรพูดอย่างไรดี “คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าข้าจะต้องมาพ่ายแพ้ในสถานที่แห่งนี้… เทพธิดาชิน ไป๋ชินอวิ๋นถ่ายทอดพลังทั้งหมดมาให้เจ้าอย่างนั้นหรือ?”
นักพรตหญิงชินตอบว่า “ข้าดูดซับพลังวิญญาณมาจากชาวเผ่าจันทราขาวต่างหาก และข้าก็เดิมพันทุกอย่างด้วยการโจมตีในจังหวะที่เจ้ากำลังจะหลอมรวมพลังได้สำเร็จ โอสถวิเศษกลายเป็นหนึ่งเดียว และสุดท้าย โอสถวิเศษนั้นก็มาอยู่ในมือของคนที่สมควรครอบครองมันอย่างแท้จริง…”
เว่ยหมิงเฉินพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลาเนิ่นนาน
เขาคิดว่าตนเองสามารถควบคุมทุกอย่างได้แล้วแท้ ๆ
แต่ที่ไหนได้ สุดท้าย เขาก็ถูกผู้อื่นหลอกใช้เป็นเครื่องมือหลอมโอสถเช่นกัน
เว่ยหมิงเฉินต้องใช้พลังจำนวนมหาศาลในการหลอมรวมโอสถวิเศษทั้งสามให้กลายเป็นหนึ่งเดียว แต่กลายเป็นว่าความพยายามทั้งหมดของเขา คือการหลอมโอสถส่งมอบให้แก่หลินเป่ยเฉิน
ต่อให้เว่ยหมิงเฉินยังมีไป๋ชินอวิ๋นอยู่ข้างกาย แต่สุดท้ายนางก็กลายเป็นหนอนบ่อนไส้ ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีก
ยังคงมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวใจขณะเว่ยหมิงเฉินกล่าวว่า “เหตุไฉนไป๋ชินอวิ๋นจึงเชื่อมั่นในตัวเจ้าถึงเพียงนี้? นางไม่กลัวหรือว่าเมื่อเจ้ามีโอสถวิเศษอยู่ในมือ เจ้าจะหลอมรวมพลังจากมันเอง แทนที่จะส่งมอบให้แก่หลินเป่ยเฉิน?”
นักพรตหญิงชินไม่ได้อธิบาย
เพราะไม่จำเป็นต้องอธิบาย
เนื่องจากไม่ว่าอธิบายอย่างไร บุคคลอย่างเว่ยหมิงเฉินก็คงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าในโลกใบนี้ ต่อให้มีโอสถวิเศษเป็นพันลูก ก็ไม่สามารถเทียบได้กับชีวิตของคนผู้หนึ่ง
ไป๋ชินอวิ๋นเชื่อมั่นในตัวนักพรตหญิงชินเพราะรู้ว่านางรักหลินเป่ยเฉิน
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ไป๋ชินอวิ๋นเลือกนาง
เด็กสาวผมแดงผู้ลาลับมั่นใจว่าหากในโลกนี้จะมีผู้ใดส่งมอบโอสถวิเศษให้แก่หลินเป่ยเฉินโดยไม่คิดเก็บมันเอาไว้เอง คนผู้นั้นก็ต้องเป็นนักพรตหญิงชิน
เว่ยหมิงเฉินยังคงซักถามด้วยความไม่เข้าใจ “เหตุไฉนไป๋ชินอวิ๋นจึงไม่หลอมรวมพลังด้วยตนเอง? บัดนี้นางอยู่ที่ใด?”
ก่อนตาย เว่ยหมิงเฉินอยากจะเห็นหน้าเด็กสาวผู้นี้อีกสักครั้ง
นักพรตหญิงชินไม่ตอบรับคำใด
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าไป๋ชินอวิ๋นต้องทุ่มเทเพื่อเขาไม่น้อย ในหัวใจจึงรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง
เว่ยหมิงเฉินพลันระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ “ฮ่า ๆๆ ข้ารู้แล้ว นางตายแล้วสินะ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง มิเช่นนั้น เจ้าก็คงหลุดออกมาจากอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของนางไม่ได้ และเจ้าก็ไม่มีทางบุกเข้ามาในสนามพลังของข้าได้เด็ดขาด ฮ่า ๆๆ ช่างน่าขำเหลือเกิน นางตายแล้ว… นางยอมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังต้องตายอยู่ดี ช่างโง่เขลานัก ช่างโง่เขลาจริง ๆ…”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
ไป๋ชินอวิ๋นยอมสละชีวิตของตนเองเชียวหรือ?
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่นักพรตหญิงชิน คาดหวังที่จะเห็นนางส่ายศีรษะตอบกลับมาว่าไม่ใช่อย่างที่เขาคิด
แต่ในดวงตาคู่งามของนักพรตหญิงชินหลงเหลือเพียงความเสียใจและความเศร้าโศกเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงครางแหบต่ำในลำคอ แทบจะบดขยี้ร่างกายครึ่งหนึ่งของเว่ยหมิงเฉินแหลกสลายไปด้วยเท้าของตนเอง
โลหิตไหลทะลัก
เว่ยหมิงเฉินยังคงหัวเราะด้วยความสะใจต่อไป “ฮ่า ๆๆ โกรธแค้นใช่หรือไม่? เจ้าต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอีกคนแล้ว โอสถวิเศษมีค่ากับเจ้ามากไม่ใช่หรือ? มันแลกมาด้วยชีวิตของมิตรสหายและอาจารย์สุดที่รักของเจ้าเชียวนะ เจ้าต้องมีชีวิตอยู่รอดต่อไปเพื่อทนรับความเจ็บปวดไปตลอดกาล…”
หลินเป่ยเฉินยกเท้าขึ้นอีกครั้งและกระทืบลงไปบนศีรษะของเว่ยหมิงเฉิน
แต่เว่ยหมิงเฉินก็ยังคงหัวเราะด้วยความคลุ้มคลั่งไม่หยุดยั้ง “ฮ่า ๆๆ เพื่อช่วยชีวิตเจ้า เด็กสาวผู้โง่เขลานางนั้นถึงกับยอมทำตามคำสั่งของข้า นางยอมสร้างค่ายอาคมดูดกลืนวิญญาณผู้คนขึ้นมาทั่วแผ่นดินตงเต้า นี่คือความผิดของนางเช่นกัน แต่ทั้งหมดนี้นางทำก็เพื่อเจ้า ฮ่า ๆ เจ้าก็ต้องแบกรับผลกรรมไปด้วย หลินเป่ยเฉิน เจ้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดและความทรมานไปจนวันตาย ฮ่า ๆๆ…”
นักพรตหญิงชินหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเป็นกังวล
คำพูดของเว่ยหมิงเฉินสามารถทิ่มแทงหัวใจผู้คนได้อย่างโหดร้ายอำมหิต
แต่หลินเป่ยเฉินยังคงนิ่งเฉยเย็นชา เพียงขัดจังหวะเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของเว่ยหมิงเฉินด้วยการพูดว่า “ไม่ เวรกรรมตามทันเจ้าต่างหาก เสี่ยวไป๋ไม่สามารถขัดคำสั่งเจ้าได้ ต่อให้นางไม่ทำ ก็จะเป็นผู้อื่นมาทำหน้าที่นี้แทนอยู่ดี บางทีอาจจะเป็นใต้เท้าเหลียน บางทีอาจจะเป็นใต้เท้ากั้ว หรือคนอื่น ๆ ที่เจ้าคิดว่าสามารถกระทำได้…”
เสียงหัวเราะของเว่ยหมิงเฉินขาดหายไป
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อว่า “การปรากฏตัวของเจ้าทำให้โลกนี้พังพินาศ เจ้าไม่ต่างจากโรคระบาดที่น่ารังเกียจ… เสี่ยวไป๋ไม่มีทางเลือก ถึงอย่างไรผู้คนบริสุทธิ์ก็ไม่อาจหนีเงื้อมมือของเจ้ารอดพ้นอยู่ดี นางจึงมีแต่ต้องลงมือด้วยตนเองเท่านั้น แม้ว่านางจะช่วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ทุกคนไม่ได้ แต่อย่างน้อยนางก็ช่วยเหลือข้าเพื่อให้มาหยุดยั้งเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้ เสี่ยวไป๋จึงใช้โอสถวิเศษเป็นการไถ่บาปของนาง”
“แต่คนที่เจ้ารักได้ตายไปหมดแล้ว”
เว่ยหมิงเฉินคำรามออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ “ทุกคนตายด้วยค่ายอาคมดูดวิญญาณ หลินเป่ยเฉิน… เจ้ากำลังฝันอยู่หรืออย่างไร?”
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอกนะ”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าผ่อนคลายมากขึ้น “ต่อให้ไม่ใช่แผ่นดินตงเต้าหรือดินแดนทวยเทพ แต่ก็ยังมีภพภูมิอื่น ๆ อยู่อีกไม่ใช่หรือ? ข้าจะต้องหาทางชุบชีวิตทุกคนกลับมาให้ได้”
“เป็นไปไม่ได้ เจ้ากำลังเพ้อฝัน ฮ่า ๆ สิ่งที่เจ้าคิดไม่มีทางเป็นจริงเด็ดขาด” เว่ยหมิงเฉินหัวเราะเยาะ แต่ดวงตาปรากฏความตื่นตระหนกและความโกรธแค้น
หากเป็นในภพภูมิอื่น ๆ อาจจะมีวิธีชุบชีวิตคนตายก็เป็นได้!
หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองศีรษะของเว่ยหมิงเฉิน ดวงตาแดงก่ำ พูดเน้นย้ำทีละคำ “เจ้าไม่กลัวความเจ็บปวด และไม่กลัวความตาย เจ้าคิดว่าความทรมานทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่พอดีข้าเพิ่งคิดวิธีใหม่ขึ้นมาได้น่ะสิ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าความเจ็บปวดทรมานและความสิ้นหวังที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ข้าจะทำให้เจ้าต้องยอมคุกเข่าต่อหน้าข้าและร้องขอความเมตตา เว่ยหมิงเฉิน เจ้าเชื่อหรือไม่?”
เว่ยหมิงเฉินหัวเราะเยาะ
เขากำลังจะตายแล้ว ยังมีอะไรที่เขาต้องกลัวอีกหรือ?
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะนำสิ่งของบางอย่างออกมาจากพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์ในแอปสวิ่นเล่ย
สีหน้าของเว่ยหมิงเฉินแปรเปลี่ยนไปโดยทันที