เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1524 ค่ายอาคมปิดผนึกและเสียงจักจั่นปริศนา
ตอนที่ 1,524 ค่ายอาคมปิดผนึกและเสียงจักจั่นปริศนา
สนามพลังค่อย ๆ สลายตัวทางด้านหลังคนทั้งสามอย่างเชื่องช้า ไม่ต่างจากก้อนเมฆสลายตัวในอากาศ
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉิน นักพรตหญิงชินและเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังกดดันที่แผ่ปกคลุมรอบบริเวณ
ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดชะงักอยู่กับที่
แม้แต่เศษฝุ่นที่ฟุ้งตลบจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็ยังลอยตัวค้างอยู่กลางอากาศ
ณ ลานศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาลักชิว เสื้อคลุมประจำตำแหน่งของนักบวชกว่าสองพันคนยังคงวางกองอยู่ที่เดิม
ไม่มีสายลมโชยพัดผ่าน
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ยกมือขึ้น
แม้แต่มวลอากาศก็ยังเกิดเป็นสภาวะเหนียวหนืด
นักพรตหญิงชินกับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงต้องโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายจึงจะสามารถเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
“เป็นผู้ใดกันสร้างค่ายอาคมปิดผนึกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้เอาไว้?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถือไม้เท้าสีดำ หันมองรอบกาย ก่อนที่สายตาจะมาหยุดอยู่บนใบหน้าของนักพรตหญิงชินและถามว่า “ฝีมือเจ้าหรือ?”
นักพรตหญิงชินส่ายศีรษะตอบอย่างเชื่องช้า
หลังจากนั้น พวกเขาก็ค้นพบว่าไม่ใช่แต่เพียงภูเขาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น พื้นที่โดยรอบในรัศมีหลายพันลี้ต่างก็ถูกปกคลุมด้วยค่ายอาคมปิดผนึกเช่นกัน
“หรือว่าทั่วทั้งแผ่นดินตงเต้าจะถูกปิดผนึกเช่นนี้หมดสิ้น?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เทพเจ้าทั่วไปจะสามารถกระทำได้… แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ เจ้าน้องชายตัวเหม็น เจ้าหลอมรวมพลังจากโอสถวิเศษได้สำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ? หนึ่งในโอสถนั้นหล่อหลอมมาจากวิญญาณแผ่นดินตงเต้า โดยทั่วไปแล้ว เจ้าน่าจะอธิบายได้สิว่าบัดนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หลังการหลอมรวมพลังจากโอสถวิเศษ หลินเป่ยเฉินยังไม่มีเวลาเรียนรู้การใช้งานพลังวิญญาณจากแผ่นดินตงเต้าเลย
เขาจึงหลับตาลงและตั้งสมาธิ
ใบหน้าของเด็กหนุ่มปรากฏความประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ท่านพูดถูกแล้ว แผ่นดินตงเต้าอยู่ภายใต้ค่ายอาคมปิดผนึกจริง ๆ ด้วย” หลินเป่ยเฉินพูดออกไปด้วยความตกตะลึง “นี่เป็นค่ายอาคมที่แข็งแกร่งมากเกินไป ต่อให้ข้าครอบครองพลังวิญญาณของแผ่นดินตงเต้า ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว”
อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ สถานการณ์ของแผ่นดินตงเต้าในขณะนี้ เหมือนมีใครบางคนกดปุ่มหยุดชั่วคราวบนรีโมทโทรทัศน์นั่นเอง
ผู้ที่สามารถกระทำเรื่องราวนี้ได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
“แย่แล้วสิ…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถึงกับหยุดชะงักด้วยความตื่นตกใจ “อย่าบอกนะว่าเว่ยหมิงเฉินยังมีกำลังเสริมหลงเหลืออยู่อีก?”
แม้แต่โอรสสวรรค์ก็ยังไม่สามารถกระทำเรื่องราวเช่นนี้ได้เลย
ความแข็งแกร่งในการต่อสู้กับความสามารถในการสร้างค่ายอาคมคือสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้า “เว่ยหมิงเฉินตายไปแล้ว พลังของเขาสูญสิ้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีกำลังเสริมหลงเหลืออยู่อีก… อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งระดับนี้”
ทั้งสามคนหันมองหน้ากัน
นักพรตหญิงชินนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่เล็กน้อยก็พูดขึ้นมาว่า “บางทีนี่อาจเป็นผลดีกับพวกเราก็ได้”
หลินเป่ยเฉินกับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหันขวับมองหน้านักพรตหญิงชิน เทพธิดาผู้เย็นชากวาดสายตามองรอบตัวและกล่าวต่อ “แผ่นดินตงเต้าถูกค่ายอาคมดูดกลืนวิญญาณของเว่ยหมิงเฉินดูดกลืนพลังชีวิตหมดสิ้น แต่ค่ายอาคมปิดผนึกนี้กลับหยุดเวลาอยู่ที่เดิม… นี่หมายความว่าน่าจะยังคงมีเศษเสี้ยววิญญาณหลงเหลืออยู่ในตัวของผู้คนที่กลายเป็นรูปปั้นหินเหล่านั้นบ้าง บางทีอาจมีวิธีที่พวกเราจะสามารถชุบชีวิตพวกเขากลับคืนมาได้อีกครั้ง”
หัวใจของหลินเป่ยเฉินพองโตด้วยความตื่นเต้น
ใช่แล้ว!
หลินเป่ยเฉินนึกถึงบรรดารูปปั้นหินของผู้คนที่ตนเองรู้จัก ซึ่งปรากฏตัวผ่านม่านพลังฉายภาพที่เว่ยหมิงเฉินแสดงให้เขาดู
หากทุกสิ่งทุกอย่างยังคงถูกปิดผนึกอยู่เช่นนี้ รูปปั้นหินเหล่านั้นก็ยังถูกรักษาอยู่ในสภาพเดิม พูดอีกอย่างก็คือ เขายังคงมีโอกาสช่วยเหลือทุกคนอยู่ใช่หรือไม่?
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเป่ยเฉินก็ถึงกับตัวสั่นเทาด้วยความดีใจ
ทันใดนั้น เขาก็ค้นพบวิธีการใช้งานพลังจากวิญญาณแห่งแผ่นดินตงเต้า เร็วไวเท่าความคิด คลื่นพลังแปลกประหลาดปกคลุมทั่วร่างกายคนทั้งสาม ก่อนที่พวกเขาจะหายวับไปในอากาศ
หลังจากนั้น ทั้งสามคนก็มาปรากฏตัวอยู่เหนือประตูเมืองนครเจาฮุย
นับเป็นการเดินทางที่รวดเร็วยิ่งนัก
หลินเป่ยเฉินสามารถหลอมรวมพลังวิญญาณแห่งแผ่นดินได้สำเร็จ ขณะนี้ เขาจึงสามารถนำพาตนเองผ่านประตูมิติไปยังสถานที่ใดก็ได้ที่ตนเองรู้จัก
เพียงหลับตาลงตั้งสมาธินึกภาพจุดหมายปลายทางเท่านั้น
และยังสามารถนำคนอื่น ๆ เดินทางมาพร้อมกันได้อีกด้วย
บนกำแพงเมือง รูปปั้นหินของเกาเฉิงฮั่น หลิงอู๋ ฉุยเฮาเฟิง ฉุยหมิงโหลวและคนอื่นๆ ยังคงยืนอยู่อย่างสงบเงียบงัน บนผิวของพวกเขาเกิดรอยแตกร้าว แต่จังหวะที่รูปปั้นกำลังจะถล่มตัวลงไปนั้น ค่ายอาคมปิดผนึกก็เริ่มต้นการทำงานพอดี
นี่หมายความว่าในตัวรูปปั้นยังคงมีวิญญาณเจ้าของร่างเหลืออยู่
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
เป็นไปอย่างที่คิด
ค่ายอาคมปิดผนึกเริ่มต้นการทำงานตอนที่เว่ยหมิงเฉินสังหารทุกคน
เขาพาเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกับนักพรตหญิงชินออกเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วแผ่นดินตงเต้า พบกับรูปปั้นของฉู่เหิน เฉียนเหมย เฉียนเจิน ไต้จือฉุน หวังซินอวี่ มี่หรู่หยาน เยว่เว่ยหยาง หลิงไท่ซวีและคนอื่น ๆ ครบถ้วน
รูปปั้นหินทุกตัวต่างก็มีสภาพเดียวกัน พวกมันกำลังจะแตกสลายลงมาอยู่แล้ว แต่ในจังหวะสุดท้ายนั้นเอง ค่ายอาคมปิดผนึกก็เริ่มทำงานหยุดเวลาพอดี
นี่เท่ากับเป็นการช่วยชีวิตทุกคนเอาไว้
“ดูเหมือนจะมีคนแอบช่วยเจ้าอยู่นะ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดอย่างใช้ความคิด
นักพรตหญิงชินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
แต่มีคนน้อยมากที่สามารถกระทำได้เช่นนี้
ไม่ใช่สิ
บอกว่าน้อยมากคงไม่ได้ ต้องบอกว่าในดินแดนทวยเทพหรือในแผ่นดินตงเต้า ไม่มีผู้ใดสามารถกระทำเรื่องราวนี้ได้เลยต่างหาก
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ หรือว่าจะเป็นชายชราปริศนาคนนั้น?
หากเป็นชายชราผู้นั้น ซึ่งสามารถสร้างค่ายอาคมปิดผนึกได้ทั่วแผ่นดินตงเต้า การเข้าสู่อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของหลินเป่ยเฉินได้เองตามใจชอบ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรเลย
สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้ไปขยับรูปปั้นหินที่ใกล้แตกสลายเหล่านั้น
เขากลัวว่าสัมผัสจากตนเองจะทำให้ค่ายอาคมสลายตัวลงไป ส่งผลให้รูปปั้นหินพังถล่มลงมา และนั่นก็จะเป็นสิ่งที่ไม่มีทางหวนคืนได้อีก
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินเริ่มมีความหวังมากขึ้น
จุดจบของสงครามครั้งนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
อย่างน้อยมันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะช่วยชุบชีวิตทุกคนกลับคืนมา
แม้จะเป็นเพียงความหวังเล็กน้อยก็ตาม
เขาเดินทางกลับไปที่เมืองหยุนเมิ่งอีกครั้งและพบว่าชาวเมืองที่ได้รับการคุ้มครองจากเยว่เว่ยหยางไม่ได้มีสภาพกลายเป็นรูปปั้นหิน พวกเขายังคงมีชีวิต แต่ก็ตกอยู่ในค่ายอาคมปิดผนึก ทุกคนจึงยืนแข็งค้างอยู่ในอิริยาบถสุดท้ายไม่ต่างจากรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้ง…
และสิ่งที่แตกต่างจากผู้คนที่กลายเป็นรูปปั้นหินก็คือ ชาวเมืองหยุนเมิ่งยังคงมีชีพจร หากสลายค่ายอาคมปิดผนึกลงไป พวกเขาก็จะสามารถกลับมาดำเนินชีวิตต่อได้ทันที เสมือนมีคนกดปุ่มออกคำสั่งให้โทรทัศน์เล่นภาพต่อจากเดิม
ประเสริฐ
เยว่เว่ยหยางยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องชาวเมืองและผลลัพธ์ที่ออกมาก็คุ้มค่า
หลินเป่ยเฉินเปิดประตูมิติเดินทางไปตามเมืองใหญ่ ๆ ทั่วแผ่นดินตงเต้า รวมถึงเดินทางไปที่ค่ายชาวทะเลด้วยเช่นกัน
ตามเมืองใหญ่ ๆ เหล่านั้น ยอดฝีมือจำนวนมากได้สร้างค่ายอาคมขึ้นมาคุ้มกันชาวเมือง ดังนั้น ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงตกอยู่ในสภาพเป็นรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้ง เช่นเดียวกับสัตว์ป่าและสัตว์อสูรจำนวนมาก
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างด้วยความปลาบปลื้ม
ตื่นเต้นและดีใจ
บรรดาผู้คนที่เขารู้จักต่างก็ยินดีสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่า
สมควรมอบเหรียญกล้าหาญให้จริง ๆ
ต่อให้เผชิญหน้ากับลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ทุกคนก็ยังไม่ละทิ้งหน้าที่ของตนเอง
หลินเป่ยเฉินเปิดประตูมิติกลับมาที่เมืองหยุนเมิ่งอีกครั้ง
เพราะเขาค้นพบบางอย่างที่ผิดปกติ
มีเสียงจักจั่นร้องดังออกมาจากในตัวเมือง
เสียงดังฟังชัดเจน
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกับนักพรตหญิงชินก็มีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน
ภายใต้การทำงานของค่ายอาคมปิดผนึก กาลเวลาถูกหยุดนิ่ง ไม่สมควรมีสิ่งใดเคลื่อนไหวได้อีก แล้วจักจั่นเหล่านี้ส่งเสียงร้องได้อย่างไร?
หรือว่าค่ายอาคมปิดผนึกไม่มีผลกับพวกมัน?
ทั้งสามคนเดินไปตามเสียงร้องของจักจั่น
ในที่สุด พวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
“นี่มันจวนตระกูลหลิน… บ้านเก่าของข้าเองนี่นา?”
เสียงจักจั่นปริศนาดังออกมาจากในจวนตระกูลหลิน นอกจากได้ยินชัดเจนแล้ว เสียงร้องของมันยังฟังดูไพเราะเสนาะหูอีกด้วย