เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1536 ความเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง
ตอนที่ 1,536 ความเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง
การปรากฏตัวของผู้ที่มีสายเลือดระดับสูงสุดคนที่สองทำให้ท่านหัวหน้าสำนักใหญ่ทั้งหกถึงกับตกตะลึงอยู่กับที่
พวกเขาย่อมเห็นว่าเด็กสาวผู้นี้มีเขามังกรงอกอยู่บนศีรษะ แสดงว่าไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดา ก่อนหน้านี้ก็คาดคิดอยู่แล้วว่านางคงมีสายเลือดไม่ต่ำต้อย แต่ผู้ใดเลยจะคาดเดาได้ว่านางกลับมีสายเลือดระดับสูงสุดเช่นกัน
หลังจากต้องใช้เวลาตั้งสติกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุด การตรวจสอบสายเลือดก็สามารถดำเนินต่อไปได้อีกครั้ง
ขณะนี้ ผู้ที่ยังไม่ได้รับการทดสอบเหลือเพียงเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง หลินเป่ยเฉินและจักจั่นทองคำ
จักจั่นทองคำต้องใช้อุปกรณ์ชนิดเล็กจิ๋วเป็นพิเศษในการตรวจสอบ
และผลการตรวจสอบก็ออกมา
ปรากฏว่าเจ้าจักจั่นทองคำมีสายเลือดขั้นเศษดิน
ทำให้ทุกคนอดประหลาดใจไม่ได้
แม้แต่ตัวของจักจั่นเองก็ไม่พอใจ มันกระพือปีกด้วยความฉุนเฉียวและร้องขอให้ลองตรวจสอบสายเลือดใหม่อีกครั้ง
ผลการตรวจสอบครั้งที่สองยังคงยืนยันว่ามันมีสายเลือดขั้นเศษดินจริง ๆ
นี่เทียบเท่ากับสายเลือดของผู้คนที่พบได้ปกติทั่วไป หาได้มีความพิเศษแตกต่างกันไม่
“นี่มันรับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปแล้วจริง ๆ หรือ?”
อวี้อูู๋เฉียนก็ประหลาดใจกับผลการทดสอบเช่นกัน
เพราะตามความน่าจะเป็นนั้น ต่อให้เป็นผู้ที่มีสายเลือดขั้นเศษดินจริง เมื่อรับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปแล้ว ระดับสายเลือดก็จะถูกเปลี่ยนแปลง ความแข็งแกร่งในร่างกายถูกปรับพื้นฐานใหม่ ไม่ต่างจากการเปลี่ยนกระดูกเลาะเส้นเอ็น
อวี้อูู๋เฉียนลองตรวจสอบดูอีกหลายครั้ง
“เป็นขั้นเศษดิน ไม่มีผิดพลาด”
อวี้อูู๋เฉียนส่ายศีรษะ
กลุ่มเจ้าสำนักใหญ่ทั้งหกแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาโดยทันที
หลิวอู่เหยียนได้แต่ยกมือลูบเครา ไม่พูดคำใด
อันที่จริงนั้น การตรวจสอบออกมาพบว่ามีสายเลือดขั้นเศษดินหาใช่เรื่องที่เสียหายอันใดไม่ เนื่องจากอัจฉริยะยอดฝีมือหลายท่านในปัจจุบัน ก็มีจุดกำเนิดมาจากสายเลือดขั้นเศษดินเช่นกัน แต่ผลการทดสอบก่อนหน้านี้จากกลุ่มคนแปลกหน้า ทำให้พวกเขาอดที่จะคาดหวังขึ้นมาไม่ได้
“จักจั่นตัวนี้รับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปจริง ๆ หรือ?”
ประมุขคฤหาสน์เซินซุยตงฟางติงหัวเราะในลำคอด้วยความเย็นชาและอำมหิต “น่าเสียดายยิ่งนัก พวกเราจับเจ้าจักจั่นผีตัวนี้มารับประทานเป็นอาหารกันดีหรือไม่? บางทีพลังของผลเซียนเหนือฟ้าที่อยู่ในตัวมัน อาจจะตกทอดมาถึงพวกเราบ้างก็เป็นได้”
ระหว่างที่พูด ตงฟางติงก็พยายามเอื้อมมือคว้าจับเจ้าจักจั่นทองคำไปด้วย
หลังจากวาดมืออยู่ในอากาศหลายครั้ง ม่านพลังที่เป็นรูปทรงตาข่ายก็กำลังจะพุ่งเข้าครอบคลุมเจ้าจักจั่นทองคำ
“ไม่ได้”
หลิวอู่เหยียนพลันชักกระบี่ออกมาจากข้างเอวและฟันม่านพลังรูปทรงตาข่ายนั้นขาดสะบั้นลง “ท่านประมุขตงได้โปรดอย่าละเมิดกฎ”
ตงฟางติงมีสีหน้าเคร่งเครียดและปฏิเสธที่จะยอมแพ้ “จักจั่นผีตัวนี้ไม่ถือว่าเป็นมนุษย์ เหตุไฉนถึงฆ่าไม่ได้? หากการรับประทานเนื้อของมันจะให้ผลดีต่อพวกเรา แล้วมีเหตุผลใดที่ข้าจะสังหารมันไม่ได้?”
“เจ้าคนป่าเถื่อน ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้าจะเขมือบเจ้าแน่”
ไม่ทราบเลยว่าเจ้าจักจั่นทองคำไปเอาความกล้าหาญมาจากที่ใด มันกระพือปีกด้วยความเกรี้ยวกราด จ้องมองไปยังตงฟางติงด้วยความอาฆาตแค้น
เพียะ!
หวังจงไม่ส่งเสียงพูดเลยสักคำ แต่ทันใดนั้น พ่อบ้านชรากลับฟาดมือลงไปที่ก้นของเจ้าจักจั่นอย่างจัง ก่อนส่งเสียงดุ “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดอาละวาดเช่นนี้ เจ้าจักจั่นน้อย”
จักจั่นทองคำโกรธแค้นแทบตายแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเดินออกมาเข้ารับการทดสอบ
หลินเป่ยเฉินเฝ้าดูด้วยความสนใจ
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเป็นผู้ที่มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา นางเองไม่ใช่คนของดินแดนทวยเทพโดยกำเนิด เพราะฉะนั้น จึงน่าจะมีระดับสายเลือดสูงส่งเช่นกัน
ผลการตรวจสอบสายเลือดออกมาอย่างรวดเร็ว
อวี้อูู๋เฉียนผู้รับหน้าที่ควบคุมเครื่องทดสอบเงยหน้ามองเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ก่อนจะก้มมองอุปกรณ์ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าและกล่าวด้วยความลังเลใจว่า “ลองตรวจสอบดูใหม่อีกครั้ง บางทีอุปกรณ์อาจจะชำรุด”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถูกเจาะเลือดออกไปอีกครั้ง
หลังจากตรวจซ้ำเป็นครั้งที่สอง อวี้อูู๋เฉียนก็เงยหน้ามองมาที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงด้วยแววตาเหลือเชื่อ “ท่าน… ให้ตายเถอะ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยพบเจอผู้ที่มีสายเลือดในขั้นนี้ ข้าไม่กล้าพูดออกมาแล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ “อย่าบอกนะว่าสายเลือดของข้าสูงส่งมากกว่าสายเลือดระดับสูงสุดเสียอีก? ฮ่า ๆๆ ข้ารู้ดีอยู่แล้วว่าข้ามันไม่ธรรมดา บอกมาเถอะว่าข้ามีสายเลือดอยู่ในระดับใด พูดดัง ๆ ให้ทุกคนได้ยินกันอย่างทั่วถึงซะ”
อวี้อูู๋เฉียนมีสีหน้าลำบากใจ
กลุ่มหัวหน้าสำนักใหญ่ทั้งหกจ้องมองไปที่อุปกรณ์ตรวจสอบสลับกับจ้องมองเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาดพิกล
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสังหรณ์ใจว่ามีบางอย่างผิดปกติ
อวี้อูู๋เฉียนมีอาการริมฝีปากกระตุกก่อนพูดออกมาในที่สุด “แม่นางมีสายเลือดอยู่ในขั้นกากเดน”
“สายเลือดขั้นกากเดน? หมายถึงสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดใช่หรือไม่?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงชะงักเล็กน้อยและถามออกมาด้วยความร้อนรน
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับ
เหตุไฉนเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจึงได้ถามออกมาเช่นนี้? แสดงว่านางไม่รู้เรื่องระบบสายเลือดในแดนมหาแผ่นดินแห่งนี้เลยสินะ? ถ้าอย่างนั้น นางเป็นผู้คนจากภพภูมิใดกันแน่?
“สายเลือดขั้นกากเดนหมายถึงผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ จนไม่สามารถนำมาฝึกฝนวิชาใด ๆ ได้เลย…” อวี้อูู๋เฉียนเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน จึงตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและออกจะเป็นห่วงความรู้สึกของหญิงสาวผู้แปลกประหลาดคนนี้อยู่ไม่น้อย
“ว่าไงนะ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “ข้าเนี่ยนะเป็นผู้อ่อนแอที่สุด? เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินก็ส่งเสียงขึ้นมาเช่นกันว่า “ท่านลุงอวี้ ท่านช่วยตรวจสอบอีกครั้งได้หรือไม่? แน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่ความผิดพลาด?”
“นี่ย่อมไม่ใช่ความผิดพลาด”
อวี้อูู๋เฉียนกล่าว “แม้ว่าสายเลือดขั้นกากเดนจะหาได้ยาก แต่อุปกรณ์ไม่เคยโกหกแน่นอน อุปกรณ์ตรวจสอบสายเลือดนี้คิดค้นขึ้นมาโดยองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ นับตั้งแต่ที่มันถูกประดิษฐ์ขึ้นมา ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามันจะตรวจสอบผิดพลาดเลยสักครั้ง”
ผู้ที่มีสายเลือดขั้นกากเดนนั้น นับว่าสามารถพบได้หนึ่งในล้านเช่นกัน
สำหรับผู้ที่มีสายเลือดอยู่ในขั้นกากเดน ร่างกายของพวกเขาจะมีแต่จุดบอด เส้นลมปราณอุดตัน ไม่สามารถฝึกวิทยายุทธ์ได้เด็ดขาด
เปรียบเสมือนผู้ที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายพิกลพิการ
หลังจากอธิบายรายละเอียดให้รับฟังแล้ว เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ถึงกับยืนนิ่งตะลึงงัน ใบหน้าที่สวยงามของนางเต็มไปด้วยความเสียใจและความหมดหวัง ราวกับนางกำลังคิดสงสัยว่าตนเองเกิดมาเพื่ออะไร
เมื่อเห็นเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตกอยู่ในอาการน่าเวทนาเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความสงสารจับใจ
แต่แล้วหลินเป่ยเฉินก็พบกับความไม่ชอบมาพากลอีกครั้ง
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเคยอาละวาดแสดงฝีมือในดินแดนทวยเทพจนกลายเป็นที่เกรงขามของผู้คนจำนวนมาก แสดงว่าย่อมมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา แล้วนางจะมีสายเลือดอยู่ในขั้นกากเดนได้อย่างไร?
“น้องชาย ถึงเวลาของเจ้าแล้ว”
อวี้อูู๋เฉียนกวักมือเรียกหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินตบไหล่ปลอบใจเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงและกล่าวว่า “อย่าได้กังวลไปเลย ต่อให้ท่านจะเป็นผู้ที่มีสายเลือดกากเดน แต่ข้าก็จะเลี้ยงดูท่านเอง ตราบใดที่ข้าได้กินน้ำแกง ท่านก็จะได้เลียก้นชามแน่นอน”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่ตอบรับคำใด
อวี้อูู๋เฉียนนำเข็มฉีดยาดูดเลือดออกไปจากแขนของหลินเป่ยเฉิน หลังจากนำเลือดเข้าสู่ปกรณ์ทดสอบ ในไม่ช้า เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
ลำแสงสีทองคำระเบิดออกมาจากอุปกรณ์ตรวจสอบโลหิตสาดส่องครอบคลุมทั่วกระโจมหลังใหญ่ ทำให้ผู้คนดวงตาพร่าเลือน
นี่คือลำแสงที่แปลกประหลาดและลึกลับ
“นี่มัน…”
อวี้อูู๋เฉียนอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก ดวงตาเบิกโตอย่างไม่อยากเชื่อ สองมือสั่นเทา
“อย่าบอกนะว่าเป็นสายเลือดขั้นสูงสุดอีกแล้ว?”
“ไม่ใช่สิ… ต่อให้เป็นสายเลือดขั้นสูงสุด ก็ไม่สมควรระเบิดแสงสว่างออกมาเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?”
“หรือว่า…”
กลุ่มเจ้าสำนักทั้งหกร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก
แต่ทันใดนั้น ลำแสงทองคำก็ถูกดูดกลับลงไปสู่อุปกรณ์ตรวจสอบโลหิต ทุกสิ่งทุกอย่างจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“เมื่อสักครู่นี้คืออะไรกัน?”
“เหตุไฉนจึงมีแสงสว่างเพียงวูบเดียวเท่านั้น?”
หลิวอู่เหยียนและกลุ่มเจ้าสำนักอีกห้าท่านมีสีหน้าพิศวงสงสัย ความตกตะลึงและความตื่นเต้นก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปกลายเป็นความเคลือบแคลงใจ หากนี่เป็นอิทธิฤทธิ์ของผู้ที่มีสายเลือดขั้นสูงสุดจริง แสงสว่างก็ไม่ควรจางหายไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
อวี้อูู๋เฉียนก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
หรือว่าอุปกรณ์ตรวจสอบจะทำงานผิดพลาด?
ชายวัยกลางคนรีบดำเนินการตรวจเลือดซ้ำรอบสองทันที