เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1539 โลกอันรุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ตอนที่ 1,539 โลกอันรุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์
กระบี่ของสำนักกระบี่เหินฟ้าสามารถเหินฟ้าได้จริง ๆ
หลิวอู่เหยียนนำกระบี่เล่มหนึ่งออกมาโยนขึ้นไปในอากาศ แล้วกระบี่เล่มนั้นก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนเทียบเท่ากับเรือใหญ่ลำหนึ่ง ซึ่งสามารถบรรทุกพวกของหลินเป่ยเฉินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและแล่นฉิวหายลับไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ได้อย่างรวดเร็ว
ตงฟางติงประมุขคฤหาสน์เซินซุยแสดงความผิดหวังออกมาทางสีหน้า
เด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเป่ยเฉินชาญฉลาดมากเกินไป ถึงกับเลือกสำนักกระบี่เหินฟ้าเป็นแหล่งพักพิงในช่วงการตัดสินใจครั้งสุดท้าย
หากไม่เช่นนั้นแล้ว…
ผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์และสตรีที่มีสายเลือดกากเดนคู่นี้รับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปแล้ว หากนำร่างกายของพวกเขามารับประทาน ก็เทียบเท่ากับการรับประทานยาอายุวัฒนะเลยทีเดียว
และในคฤหาสน์เซินซุย การรับประทานเนื้อมนุษย์หาใช่เหตุการณ์แปลกประหลาดไม่
น่าเสียดายที่ในระยะเวลาอันสั้นนี้ คงไม่มีทางที่คฤหาสน์เซินซุยจะส่งคนไปลักพาตัวพวกของหลินเป่ยเฉินมาได้สำเร็จ
แต่ถึงกระนั้น ตงฟางติงก็ได้สั่งให้ลูกสมุนของตนเองส่งสายลับเข้าไปจับตาดูการเคลื่อนไหวของหลินเป่ยเฉินในสำนักกระบี่เหินฟ้าอย่างใกล้ชิด
หลังจากนั้น ตงฟางติงก็หันมาแค่นยิ้มให้แก่หวังจงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ผู้เฒ่าหวัง ท่านออกจะแก่ชราเกินไปสักเล็กน้อย แม้จะมีสายเลือดอยู่ในขั้นกลาง แต่ร่างกายของท่านยังอ่อนแอมากเกินไป ขณะนี้ไม่สามารถฝึกวิทยายุทธ์ได้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าจะเตรียมโอสถบำรุงร่างกายให้กับท่านก่อนก็แล้วกัน หลังจากนั้น ข้าจะสอนวิชาเฉพาะตัวของคฤหาสน์เซินซุยให้ท่านได้ฝึกฝนเอง”
“ขอบคุณท่านประมุขมากขอรับ”
หวังจงประสานมือตอบรับด้วยความเคารพและซื่อสัตย์ “ท่านประมุขตงช่างใจดีมีเมตตา ในอนาคตข้างหน้าต้องมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างแน่นอน”
…
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปได้ครึ่งเดือนแล้ว
สถานที่ตั้งของสำนักกระบี่เหินฟ้าเป็นยอดเขาสูงที่เต็มไปด้วยสวนผักและพืชพรรณไม้
ในบริเวณกระท่อมไม้หลังหนึ่งที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาเมื่อครึ่งเดือนก่อน ได้ยินเสียงจักจั่นน้อยลอยแว่วออกมา
บรรยากาศสงบร่มรื่น
หลินเป่ยเฉินสามารถปล่อยให้โทรศัพท์มือถือดำเนินการอัปเกรดอุปกรณ์ได้อย่างสบายใจ
นี่ก็ผ่านมาได้สิบวันแล้ว การอัปเกรดอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือคืบหน้ามาได้สี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ หากอัตราความเร็วยังคงเป็นเช่นนี้ การอัปเกรดอุปกรณ์ก็คงเสร็จสิ้นลงในอีกยี่สิบวันข้างหน้า
หลินเป่ยเฉินอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เพราะตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา วันทั้งวันเขาเอาแต่กินดื่มสลับกับนอนหลับพักผ่อน บางครั้งก็ลุกขึ้นมานั่งอ่านตำรา หรือหากวันไหนผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนแวะมาเยี่ยมเยียน เด็กหนุ่มก็จะหลอกถามข้อมูลมาให้ได้มากที่สุด
หลินเป่ยเฉินใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ไม่เคยพูดถึงการฝึกวิทยายุทธ์กับสำนักกระบี่เหินฟ้าแม้แต่คำเดียว
แตกต่างกับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงผู้ควงไม้เท้าคู่กายออกเตร็ดเตร่ไปทั่วเมือง ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่านางหายหน้าไปยังที่ใดมาบ้าง
ส่วนจักจั่นทองคำอาศัยอยู่ในต้นไม้โบราณที่ตั้งอยู่ข้างกระท่อม
ดังนั้น พวกเขาจึงมีชีวิตที่สุขสบายภายใต้การดูแลของสำนักกระบี่เหินฟ้า
ทางด้านเซียวปิงผู้มีสายเลือดขั้นสูงสุด เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศิษย์สำนักกระบี่เหินฟ้าอย่างเป็นทางการ เขาก็ได้รับการดูแลจากท่านเจ้าสำนักเป็นอย่างดี ตลอดเวลานับสิบวันที่ผ่านมา ไม่เคยออกมาพบเจอพวกของหลินเป่ยเฉินเลยแม้แต่ครั้งเดียว
นี่ก็ผ่านมาได้ครึ่งเดือนแล้วหลังจากที่ทุกคนมาอาศัยอยู่ในอาณาเขตของสำนักกระบี่เหินฟ้า ร่างกายของพวกเขาสามารถปรับตัวกับโลกใบใหม่ได้อย่างสมบูรณ์
สถานที่แห่งนี้มีนามว่าเมืองชิงอวี้ นับเป็นเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในแดนมหาแผ่นดิน
กล่าวว่าเป็นเมืองหน้าด่านก็คงไม่ผิดนัก
ที่นี่ไม่ใช่เมืองใหญ่โตอันใด
เวลาส่วนใหญ่ของปีมักจะมีฝนตก สถานที่โดยส่วนมากจึงเป็นแหล่งชุ่มน้ำอันกว้างใหญ่
เมืองแห่งนี้ปกครองด้วยเผ่าพันธุ์มนุษย์
ภายในเมืองชิงอวี้ กลุ่มกองกำลังของหกสำนักใหญ่คือผู้ที่ครองอำนาจสูงสุด แต่นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ยังมีสำนักยุทธ์อีกหลายสิบแห่งที่ก่อตั้งขึ้นมาเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือสำนักเฉาเทียน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่ไม่เข้าร่วมกับผู้ใด
และในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของแดนมหาแผ่นดิน
ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่เขาจินตนาการเอาไว้พอสมควร
แดนมหาแผ่นดินมีเมืองต่าง ๆ ตั้งอยู่มากมาย
รวมถึงมีสิ่งมีชีวิตหลายร้อยสายพันธุ์ที่ครอบครองอำนาจในแต่ละเมือง
ณ ปัจจุบัน เผ่าพันธุ์มนุษย์คือผู้ที่อยู่สูงสุดบนห่วงโซ่อาหาร พวกเขาแผ่อิทธิพลออกไปปกครองตามดินแดนแว่นแคว้นและเมืองต่าง ๆ อย่างยาวไกล
แต่ย้อนกลับไปหนึ่งหมื่นปีก่อน เหตุการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนี้
ในขณะนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงอ่อนแอ นับเป็นช่วงยุคมืดแห่งมวลมนุษยชาติ มนุษย์ถูกสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นจับกินเป็นอาหาร อสูรบางสายพันธุ์ถึงกับเลี้ยงดูมนุษย์ไว้เพื่อเข่นฆ่าสนองความบันเทิง…
หากไม่ใช่เพราะว่ามนุษย์มีความสามารถในการสืบทอดเผ่าพันธุ์ เกรงว่าพวกเขาคงสูญพันธุ์ไปนานแล้ว
ต่อมา องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ถือกำเนิด เขาเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งระบบสายเลือดและทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์รู้จักสิ่งที่เรียกว่าวิทยายุทธ์
กล่าวได้ว่าองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เป็นทั้งผู้ที่มีวิสัยทัศน์และความแข็งแกร่งระดับอัจฉริยะ ร่างกายแข็งแรงกำยำ มันสมองปราดเปรื่อง องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คัดเลือกยอดอัจฉริยะในหมู่มนุษย์มารวมตัวกันและเขาก็มีศิษย์เอกยี่สิบสี่คน ซึ่งในภายหลังก็กลายมาเป็นตัวแทนยี่สิบสี่สายเลือดแห่งผู้ฝึกยุทธ์นั่นเอง
องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จัดตั้งกองทัพมนุษย์บุกตะลุยฆ่าฟันอสูรชนิดต่าง ๆ และแย่งชิงดินแดนทั้งหมดมาเป็นของตนเอง จนเกิดเป็นรุ่งอรุณแห่งความเรืองรองของมวลมนุษยชาติ
เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี
จนกระทั่งแปดพันปีที่แล้ว อยู่ดี ๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็หยุดการขยายเขตแดน
ในระหว่างการต่อสู้ เกิดข่าวลือว่าองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้เสียชีวิตลง
หลงเหลือเพียงศิษย์เอกทั้งยี่สิบสี่คนที่คอยดูแลระบบแห่งสายเลือด ซึ่งกลายมาเป็นระบบหลักในการฝึกวิทยายุทธ์ ณ ปัจจุบันนี้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่สำนักต่าง ๆ ให้ความสำคัญแก่ลำดับชั้นของสายเลือดยิ่งนัก
เนื่องจากผู้ฝึกยุทธ์ถูกสร้างขึ้นมาจากสายเลือด
และผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ของเมืองชิงอวี้ ก็มักจะมีสายเลือดชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า ‘ผู้แปรธาตุ’
สายเลือดผู้แปรธาตุไม่ได้ขึ้นชื่อในเรื่องของความแข็งแกร่ง แต่ในยุคสมัยขององค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ นี่นับว่าเป็นสายเลือดที่สามารถค้นพบได้มากที่สุด
และผู้ที่ครอบครองดินแดนแว่นแคว้นต่าง ๆ ก็มักจะมีสายเลือดผู้แปรธาตุเช่นกัน
“สบายใจจังเลยโว้ย!”
หลินเป่ยเฉินอดพูดขึ้นมาไม่ได้
เขาเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ผ่อนคลายอารมณ์ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดทั้งสิ้น
รอให้โทรศัพท์มือถืออัปเกรดอุปกรณ์เสร็จเมื่อไหร่ เขาก็จะรีบเดินทางออกจากสำนักกระบี่เหินฟ้าเพื่อไปค้นหาวิธีชุบชีวิตมนุษย์และกลับไปช่วยเหลือผู้คนบนแผ่นดินตงเต้าอีกครั้ง
ในวันนี้ ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนยังคงแวะมาเยี่ยมเยียนเช่นเคย
“คุณชายหลิน ข้ามีข่าวดีมาบอก ฮ่า ๆๆ เดือนหน้ากำลังจะมีการประลองยุทธ์ระหว่างศิษย์ระดับสูงจากสำนักต่าง ๆ ในเมืองชิงอวี้ ไม่ทราบว่าคุณชายสนใจไปรับชมด้วยกันหรือไม่?”
ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“การประลองยุทธ์หรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย “ทุกสำนักเข้าร่วมหมดหรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงหกสำนักใหญ่ของพวกเราเท่านั้น แต่ยังมีสำนักเฉาเทียนกับสำนักอื่น ๆ ที่ส่งศิษย์เอกมาเข้าร่วมการประลองเช่นกัน ซึ่งการประลองในครั้งนี้ ท่านเจ้าสำนักกระบี่เหินฟ้าตัดสินใจจะส่งเซียวปิงเป็นตัวแทนเข้าประลอง และหากเราผู้เฒ่าคาดเดาไม่ผิด สหายของคุณชายคนอื่น ๆ ก็คงได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประลองเช่นกัน”
ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนพูดด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจราวกับต้องการจะสื่อสารว่า หากหลินเป่ยเฉินต้องการเข้าร่วมรับชมการประลอง ตนเองก็สามารถจัดการให้ได้
หลินเป่ยเฉินจะได้เข้าร่วมรับชมการประลองในฐานะแขกคนพิเศษ
“ได้สิ ข้าต้องไปแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินตอบตกลงโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
ในเมื่อเขาเองไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว ไปรับชมความสนุกสักหน่อยจะเป็นอะไรไป
“แต่เรื่องคัมภีร์ชุบชีวิตคนตายที่ข้าเคยสอบถามท่านเมื่อครั้งที่แล้ว ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสได้ตรวจสอบดูแล้วหรือไม่?”
“เราผู้เฒ่าตรวจสอบดูแล้ว แต่ก็ยังหาไม่เจอ วิชาชุบชีวิตคนตายนั้นไม่ใช่วิชาบู๊ทั่วไป แต่มันคือวิชาเวทมนตร์ เรียกได้ว่าแทบไม่เคยปรากฏขึ้นในเมืองชิงอวี้มาก่อน… แต่เราผู้เฒ่าจะช่วยตามหาให้คุณชายต่อไป”
นี่ไม่ใช่คำสัญญาเลื่อนลอย
เพราะในสำนักกระบี่เหินฟ้าแห่งนี้ มีแต่อวี้อู๋เฉียนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ปฏิบัติต่อหลินเป่ยเฉินฉันญาติมิตรสนิทสนม
หลังจากพูดคุยกันจบสิ้น อวี้อู๋เฉียนก็ทิ้งตำราเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และแผนภูมิแดนมหาแผ่นดินไว้ให้หลินเป่ยเฉินอ่านฆ่าเวลา หลังจากนั้น ชายชราก็เดินจากไป
หลินเป่ยเฉินเอนตัวลงนอนอ่านตำราเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับดินแดนแห่งใหม่อย่างลึกซึ้ง
…
อีกสิบห้าวันผ่านไป
‘ติ๊ง! การอัปเกรดอุปกรณ์เสร็จสิ้นแล้วเจ้าค่ะ’
เสียงใส ๆ ดังขึ้นในหัวของหลินเป่ยเฉิน
ในที่สุดก็ถึงเวลานี้เสียที…
กระบวนการอัปเกรดอุปกรณ์ของโทรศัพท์มือถือเสร็จสิ้นแล้ว!!