เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1543 คำท้าทาย ณ งานประลอง
ตอนที่ 1,543 คำท้าทาย ณ งานประลอง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกผิดขึ้นมาโดยทันที
นี่ต้องเป็นฝีมือของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแน่ ๆ
การปล้นชิงทรัพย์เช่นนี้…
คือเรื่องถนัดของนาง
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดในระยะหลัง เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจึงหายหน้าหายตาออกไปจากที่พักพร้อมด้วยไม้เท้าคู่ใจ
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่อยากยอมแพ้ง่าย ๆ สินะ
นางมีสายเลือดอยู่ในขั้นกากเดน แต่กลับสามารถปล้นทรัพย์ผู้อาวุโสในสำนักกระบี่เหินฟ้าอย่างง่ายดาย… ให้ตายเถอะ ดูเหมือนเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงน่าจะปิดบังสายเลือดที่แท้จริงของตนเองอยู่แน่ ๆ
“ท่านลุงอวี้อย่าเพิ่งไป ข้ามีเรื่องอยากรบกวน”
หลินเป่ยเฉินนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบคว้าแขนอวี้อู๋เฉียนเอาไว้และกล่าวว่า “ขอยืมเงินหน่อยสิขอรับ”
“ไม่มีปัญหา คุณชายอยากยืมเท่าไหร่หรือ?”
ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนถามด้วยสีหน้ามั่นใจไม่ต่างจากเศรษฐีใหญ่
“เอ่อ… ห้า… เอ่อ… สักพันตำลึงเงินก็พอขอรับ” ตอนแรกหลินเป่ยเฉินตั้งใจจะขอยืมแค่ห้าร้อยตำลึงเงิน แต่เมื่อเห็นสีหน้ามั่นอกมั่นใจของชายวัยกลางคน เขาจึงเพิ่มจำนวนเงินอีกเท่าหนึ่ง
“มากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนหยุดชะงัก “ข้าได้รับเบี้ยเลี้ยงเพียงเดือนละสองร้อยตำลึงเงินเท่านั้น จะนำเงินพันตำลึงเงินมาจากไหนให้ท่านหยิบยืม?”
“ข้าแค่ขอยืมเท่านั้น รับรองว่าใช้คืนแน่นอนขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มด้วยความจริงใจ
สำนักกระบี่เหินฟ้ามีสถานะการเงินค่อนข้างยากจน แต่ละเดือนผู้อาวุโสในสำนักจะได้รับเบี้ยเลี้ยงไม่เกินสองร้อยตำลึงเงินเท่านั้น
“น้ำหน้าอย่างคุณชายเนี่ยนะ?”
อวี้อู๋เฉียนชำเลืองมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาเหยียดหยาม “ท่านมีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ประโยชน์ ทุกวันนี้กินดื่มและอาศัยอยู่ในอาณาเขตของสำนักกระบี่เหินฟ้าโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ยังคิดมาขอยืมเงินจากผู้คนอีก ท่านจะเอาเงินที่ไหนมาใช้คืนข้า? ข้ามีเพียงสองร้อยตำลึงเงินเท่านั้น ไม่ทราบว่าอยากรับไว้หรือไม่?”
กล่าวจบ ชายวัยกลางคนก็โยนถุงเงินให้แก่หลินเป่ยเฉินก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
“นี่ เดี๋ยวก่อนสิขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินรับถุงเงินไว้และวิ่งตามชายวัยกลางคนไปทางด้านหลัง
“ไม่มีแล้ว ข้ามีเงินเพียงเท่านี้”
อวี้อู๋เฉียนรีบเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นราวกับกำลังถูกสุนัขไล่กวด
“ไม่ใช่เรื่องยืมเงินขอรับ”
หลินเป่ยเฉินวิ่งตามไปจนทันและส่งตั๋วแลกเงินสองฉบับที่ค้นพบจากศพของชายฉกรรจ์ชุดดำก่อนหน้านี้มอบให้แก่ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียน “รบกวนท่านลุงช่วยนำตั๋วเงินสองฉบับนี้ไปขึ้นเงินให้หน่อยขอรับ”
อวี้อู๋เฉียนพูดอะไรไม่ออก
เจ้าเด็กเหลือขอผู้นี้นี่
ในเมื่อตนเองมีเงินอยู่แล้ว ยังจะมาขอยืมเขาทำไมอีก?
“อีกสามวันข้างหน้า ข้าจะขึ้นเงินมาให้”
อวี้อู๋เฉียนกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนกระบี่ในอากาศและกระบี่เล่มนั้นก็พุ่งวาบหายวับไปด้วยความเร็วแสง
“ท่านลุงอวี้ช่างเป็นคนดีจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ
พวกเขาเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนก็ยอมยกเงินเดือนทั้งหมดให้แก่เขาแล้ว มิน่าเล่า ชายวัยกลางคนผู้นี้จึงมีตำแหน่งต่ำต้อยในสำนักกระบี่เหินฟ้า ก็เพราะมัวแต่ประพฤติตนเป็นคนดีเช่นนี้ ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนจะไปทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินเดินกลับเข้าไปที่ลานโล่งหน้ากระท่อมและนำโทรศัพท์มือถือออกมาดูอีกครั้ง
ในเกม Happy Farm มีการระบุเอาไว้ว่า การขโมยพืชผลจากสวนของผู้อื่นนั้น ผู้เล่นสามารถทำได้เพียงวันละหนึ่งครั้งเท่านั้น
และนอกจากสวนผักหนงซัวแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ไม่พบสวนผักสมุนไพรของผู้ใดในบริเวณใกล้เคียงอีกเลย
“ให้ตายเถอะ เมื่อกี้เราก็ลืมถามไปเลยว่าท่านลุงอวี้พอจะรู้จักใครที่ชื่อหนงซัวบ้างหรือเปล่า?”
หลินเป่ยเฉินยกมือตบหน้าผากตนเองด้วยความเสียดาย
เขานั่งเอนกายอยู่บนโต๊ะเก้าอี้ไม้และเริ่มเล่นโทรศัพท์
เมื่อพิจารณาถึงเงินที่ตนเองมีอยู่ในมือขณะนี้และการทดสอบที่รออยู่ในอีกสามวันข้างหน้า หลินเป่ยเฉินก็คิดว่าตนเองสมควรซื้อหาอาวุธเพิ่มเติม
เขาเปิดแอปเถาเป่า
หลังจากค้นดูสินค้าอยู่พักใหญ่ ในที่สุด เด็กหนุ่มก็ล้มเลิกความคิดที่จะซื้อปืนไรเฟิล 98k ปืนสไนเปอร์และเครื่องยิงจรวด Type 69 เพราะว่าพวกมันมีราคาแพงมากเกินไป
เมื่อตัดสินใจได้เรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็เลือกซื้อปืนกลรุ่นหนึ่งที่ตนเองไม่เคยใช้งานมาก่อน… ปืนกลมืออูซี่
เป็นปืนกลขนาดเล็ก เหมาะสมสำหรับการพกพา
จุดเด่นของปืนกระบอกนี้ก็คือ…
สามารถรัวยิงได้อย่างรวดเร็ว
ว่ากันว่ามันเป็นปืนที่มีอัตราการพ่นกระสุนรวดเร็วที่สุดในกลุ่มปืนกลมือด้วยกัน
นอกจากข้อดีในเรื่องของการยิงเร็วแล้ว ยังมีราคาถูกอีกด้วย
ปืนกลมืออูซี่มีราคาอยู่ที่ร้อยแปดสิบตำลึงเงิน ซึ่งถือเป็นราคาที่หลินเป่ยเฉินยังพอจ่ายไหว …ส่วนปืน AK 47 ที่เขาอยากได้ในตอนแรกนั้น มันมีราคาสูงถึงห้าร้อยห้าสิบตำลึงเงินเลยทีเดียว นับว่าแพงเกินไปสำหรับหลินเป่ยเฉินในตอนนี้
“ปืนกระบอกนี้น่าจะรับมือพวกจอมเทพระดับ 4 ได้ไม่มีปัญหา”
หลินเป่ยเฉินอ่านรายละเอียดของตัวปืนและเฝ้ารอการขนส่งด้วยความตื่นเต้น
หากการฝึกยุทธ์ของเขาถูกคัดค้านอีก หลินเป่ยเฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสังหารชิวเหิง… เช่นเดียวกับหลานสาวของคนผู้นั้น
นอกจากนี้ หลินเป่ยเฉินยังซื้อ ‘ชุดเกราะระดับหนึ่ง’ มาอีกด้วย
แม้ว่าเขาจะยังมีชุดเกราะอมตะอยู่ในมือ แต่ดูเหมือนว่าชุดเกราะอมตะจะเป็นสิ่งของสามัญที่หาได้ทั่วไปในแดนมหาแผ่นดิน คาดว่าผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 4 ขึ้นไป อาวุธคู่กายของคนเหล่านั้นก็ต้องแข็งแกร่งมากกว่าหอกแห่งโชคชะตาเป็นแน่แท้
เพราะฉะนั้น ป้องกันเอาไว้ก่อนดีกว่า
คำสั่งซื้อเหล่านี้ทำให้หลินเป่ยเฉินต้องเสียเงินทั้งหมดสองร้อยห้าสิบตำลึงเงิน เมื่อรวมเข้ากับเงินที่ยืมมาจากผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียน หลินเป่ยเฉินก็พบว่าตนเองใช้เงินที่มีอยู่หมดไปแล้วถึงสี่จากห้าส่วน
เป็นความรู้สึกที่ชวนให้เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน
เมื่อจัดการเรื่องราวทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็หลับตาลงนอนกลางวันใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นเอง
ยามเย็น หูเขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว
เป็นเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแอบกลับเข้ามาแล้ว
“หยุดนะ”
หลินเป่ยเฉินกระโดดลุกขึ้นยืนและถามเสียงเข้ม “บัดนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่ เหตุไฉนจึงออกจากบ้านแต่เช้าและกลับมาเย็นย่ำค่ำเช่นนี้ทุกวัน?”
“ไปล่าสัตว์”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “ไปหาอาหาร”
“ไม่ใช่ไปปล้นผู้คนหรอกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพูดเข้าประเด็นสำคัญ
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว” ดวงตาของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเป็นประกายระยิบระยับขณะปฏิเสธเสียงแข็ง “เจ้าเห็นข้าเป็นคนที่ชื่นชอบการปล้นทรัพย์ผู้อื่นหรืออย่างไร?”
นางคือโจรร้ายที่ออกอาละวาดจริง ๆ ด้วย
สมแล้วที่เป็นเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
หลินเป่ยเฉินเอนตัวลงนอนบนเก้าอี้ไม้อีกครั้ง ไม่ถามอะไรให้มากความ แต่พูดทิ้งท้ายออกไปว่า “ระวังหน่อย อย่าให้เหยื่อได้รับบาดเจ็บก็แล้วกัน”
…
เพียงพริบตาเดียว
สามวันก็ผ่านไป
อวี้อู๋เฉียนมาหาเด็กหนุ่มแต่เช้าพร้อมด้วยเงินสองร้อยตำลึงเงิน และเขาก็นำตัวหลินเป่ยเฉินตรงไปยังยอดเขาหลักของสำนักกระบี่เหินฟ้าซึ่งมีนามว่ายอดเขาเจียนล่าย
กระบี่ของผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนค่อนข้างมั่นคง มันสามารถร่อนลงจอดบนยอดเขาได้อย่างนุ่มนวล
“พิธีการทั้งหมดในวันนี้จะประกอบไปด้วยการประลองภายในสำนักสำหรับศิษย์รุ่นใหม่ พวกเราจะคัดเลือกตัวแทนเพื่อเข้าร่วมการประลองกับสำนักอื่น ๆ ในอีกยี่สิบวันข้างหน้า เมื่อการประลองจบสิ้นลง… ก็จะเป็นการทดสอบคุณชายนั่นเอง”
ระหว่างที่เดินทางมาด้วยกระบี่บนท้องฟ้า อวี้อู๋เฉียนก็บอกเล่าข้อมูลต่าง ๆ ให้หลินเป่ยเฉินรับทราบ รวมถึงแนะนำกฎระเบียบเบื้องต้นของสำนักกระบี่เหินฟ้า เพื่อที่เด็กหนุ่มจะได้ไม่เผลอทำผิดกฎโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้น
พวกเขาก็เดินไปยังพื้นที่นั่งรอ
สนามประลองจัดตั้งอยู่บนยอดเขาสามารถรองรับศิษย์ในสำนักกระบี่เหินฟ้าได้นับร้อยคน และบรรดาศิษย์เหล่านั้นกำลังยืนรวมตัวกันอยู่ภายใต้กลุ่มผู้นำซึ่งเป็นอาจารย์ของตนเอง ทุกคนต่างก็เอามือไขว้หลัง สีหน้ากระตือรือร้น รอคอยให้การประลองเริ่มต้นขึ้น
เพียงไม่นาน หลิวอู่เหยียนผู้เป็นเจ้าสำนักและผู้อาวุโสใหญ่คนอื่น ๆ ก็ปรากฏตัว
เซียวปิงเดินตามหลังชายชราผู้เป็นเจ้าสำนักออกมาโดยไม่พูดคำใด… เด็กหนุ่มร่างอ้วนสวมใส่ชุดเครื่องแบบของศิษย์ระดับสูงประจำสำนักกระบี่เหินฟ้า แน่นอนว่าเขายังคงรับประทานขาหมูทอดอยู่ตลอดเวลาพลางสอดส่ายสายตามองรอบบริเวณ และเมื่อพบเห็นหลินเป่ยเฉิน เซียวปิงก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
หลินเป่ยเฉินยิ้มรับแล้วพยักหน้าตอบกลับไป
ในลานประลองได้ยินเสียงของบรรดาศิษย์ทำความเคารพท่านเจ้าสำนักดังกระหึ่ม
หลิวอู่เหยียนคือปูชนียบุคคลของสำนักกระบี่เหินฟ้า เรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษประจำใจของศิษย์ทุกคน
หลังผ่านพิธีกล่าวคำปฏิญาณ การประลองก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดยส่วนใหญ่ศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองจะมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 2 แต่ทักษะการต่อสู้ฉกาจฉกรรจ์มากทีเดียว บางคนถนัดการใช้เวทมนตร์ บางคนถนัดการใช้อาวุธลับ แต่ด้วยพื้นฐานแล้ว กลุ่มศิษย์เหล่านี้จัดได้ว่าเป็นผู้มีสายเลือดผู้แปรธาตุที่ชำนาญการใช้กระบี่เป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินรับชมการประลองด้วยความเคร่งเครียด
นี่คือโอกาสที่เขาจะได้ทำความเข้าใจต่อการฝึกวิทยายุทธ์ของดินแดนแห่งนี้
เมื่อรับชมการประลองมาได้ระยะหนึ่ง หญิงสาวผู้มีผมสีดำยาวสลวยสวมใส่กระโปรงหนังสั้นสีแดงสดก็สะดุดตาหลินเป่ยเฉินเข้าอย่างจัง
หญิงสาวผู้นี้น่าจะมีอายุประมาณยี่สิบปีเศษ ใบหน้าสะสวย ดวงตาดุดัน กระโปรงหนังรัดรูปสีแดงสดอวดเอวคอดกิ่ว หน้าอกอะร้าอร่ามอวบอูมชวนลูบคลำ
ส่วนฝีมือการต่อสู้ของนางก็มีความโดดเด่นไม่เบา ไม่ว่าเผชิญหน้ากับผู้ใด หญิงสาวผู้นี้ก็สามารถชนะได้อย่างง่ายดาย และเป็นการคว้าชัยชนะอย่างอำมหิตนัก คู่ต่อสู้ของนางทุกคนต้องกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่และรีบขอยอมแพ้ไปก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสมากไปกว่านี้…
สุดท้าย หญิงสาวกระโปรงแดงก็กลายเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งของศิษย์รุ่นใหม่ในสำนักกระบี่เหินฟ้า
แต่สีหน้าของนางกลับไม่มีความสุข
ในทางกลับกัน หญิงสาวกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด ราวกับว่ามีผู้คนติดหนี้เป็นเงินก้อนใหญ่ไม่ยอมใช้คืนอย่างไรอย่างนั้น
“กราบเรียนท่านเจ้าสำนัก ผู้น้อยอยากส่งคำท้าถึงศิษย์น้องเซียวปิงเจ้าค่ะ”
หญิงสาวเดินออกมายืนอยู่กลางลานประลองและพูดเสียงดัง
นี่คือสิ่งที่ทุกคนคิดไม่ถึง
หลิวอู่เหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองหน้าชิวเหิง ผู้เป็นรองเจ้าสำนักที่ยืนอยู่ด้านข้าง
สีหน้าของอีกฝ่ายเรียบเฉย ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ
สาวกระโปรงแดงก้าวออกมาข้างหน้าอีกเล็กน้อย กระบี่ถูกชักออกมาชี้หน้าเซียวปิงผู้ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังหลิวอู่เหยียน ริมฝีปากของนางบิดตัวเป็นรอยยิ้มเหยียดหยามขณะกล่าวว่า “เซียวปิง เจ้าถูกยกย่องให้เป็นศิษย์รุ่นใหม่ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของสำนักเราไม่ใช่หรือ? นับตั้งแต่ที่เจ้าเข้ามาอยู่สำนักกระบี่เหินฟ้า เจ้าก็ได้ครอบครองทรัพยากรล้ำค่าแต่เพียงผู้เดียว ส่วนของที่พวกเราได้รับกลับเป็นสมุนไพรระดับสามัญและเป็นของเหลือเดนสำหรับเจ้า ข้าขอท้าเจ้า เซียวปิง หากเจ้ายังเรียกตนเองว่าเป็นมนุษย์ ก็จงก้าวออกมาร่วมประลองกับข้า ให้ทุกคนได้ตัดสินพร้อมกันว่าเจ้าสมควรได้ครอบครองทรัพยากรที่ดีที่สุดของสำนักเราหรือไม่”