เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1553 ชีวิตที่ยากลำบากของหวังจง
ตอนที่ 1,553 ชีวิตที่ยากลำบากของหวังจง
หลินเป่ยเฉินต้องยกมือขยี้ตาด้วยความเหลือเชื่อ
แต่ภาพที่เห็นก็ยังคงเป็นภาพเดิม
ใช่แล้ว
นี่คือหวังจงจริง ๆ
เจ้าสุนัขเฒ่าผู้นี้… ดูหนุ่มแน่นและกระฉับกระเฉงมากกว่าเก่าหลายเท่า
เกิดอะไรขึ้น?
ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็จดจำหวังจงได้เช่นกัน
ชายชราผู้นี้กลายเป็นประมุขคฤหาสน์เซินซุยได้อย่างไร?
หรือเพราะด้วยความที่มีสายเลือดแข็งแกร่ง ตงฟางติงจึงทำทุกวิถีทางเพื่อพยายามเอาใจหวังจง จนกระทั่งมอบบัลลังก์ประมุขคฤหาสน์ให้แล้ว?
“นายน้อย ที่แท้ก็เป็นนายน้อยนี่เอง”
หวังจงรีบมุดออกมาจากเกี้ยวประจำตำแหน่ง ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความดีใจราวกับเป็นลูกสุนัขหลงทางที่ได้พบเจอกับผู้เป็นเจ้าของอีกครั้ง หวังจงกอดขาหลินเป่ยเฉินแน่นและกล่าวว่า “ฮื่อ นายน้อยขอรับ บ่าวคิดถึงนายน้อยเหลือเกิน พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งเดือน นายน้อยรู้ไหมว่าบ่าวต้องพบเจอกับชีวิตที่ยากลำบากมากเพียงใดในคฤหาสน์เซินซุย?”
หลินเป่ยเฉินสะบัดขาและเตะก้นหวังจงเสียงดังป้าบ “เจ้าตัวบัดซบ…”
เอ่อ เป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง
หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าตนเองสมควรทำเช่นนี้ต่อพ่อบ้านชราอีกหรือไม่?
ถึงอย่างไร หวังจงก็กลายเป็นประมุขคฤหาสน์เซินซุยแล้ว
บัดนี้ หวังจงกลายเป็นหนึ่งในหัวหน้าสำนักยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองชิงอวี้ ไม่ใช่พ่อบ้านประจำตัวของเขาอีกต่อไป
แต่หวังจงที่โดนเตะก้นกลับส่งเสียงครางออกมาอย่างมีความสุข “อ้า นี่สิความรู้สึกที่บ่าวคุ้นเคย ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน… นายน้อยขอรับ ได้โปรดทุบตีบ่าวอีก บ่าวไม่ได้ถูกนายน้อยทุบตีมานานแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เช่นเดียวกับอวี้อู๋เฉียน
รวมถึงลูกศิษย์และผู้อาวุโสจากคฤหาสน์เซินซุย
แม้แต่ผู้ที่รับชมเหตุการณ์อยู่โดยรอบก็ตกตะลึงเช่นกัน
เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้นี้มีสถานะใดกันแน่? ท่านประมุขคฤหาสน์เซินซุยจึงต้องลงไปนั่งกอดขาเขาเช่นนั้น มิหนำซ้ำ เด็กหนุ่มยังมีสีหน้ารังเกียจอีกด้วย “เจ้าอยู่ให้ห่างข้าเลยนะ อย่าให้ข้าต้องลงมืออีก”
ทุกคนเข้าใจว่าเมื่อประมุขคฤหาสน์เซินซุยมาถึง เด็กหนุ่มผู้นี้ก็จะต้องพบกับวิบากกรรมครั้งใหญ่ แต่ที่ไหนได้… นี่เรียกว่าเป็นมังกรซ่อนเล็บที่แท้จริง
“ท่านประมุข ท่าน…”
หญิงสาวทั้งสองนางผู้ทำหน้าที่โปรยดอกไม้มีสีหน้าลังเลใจเล็กน้อย “ท่านเป็นอะไรหรือไม่…”
“หุบปาก ไม่ต้องมายุ่งกับข้า”
หวังจงเปลี่ยนสีหน้าและหันไปคำรามด้วยความดุร้าย
หญิงสาวทั้งสองนางตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว รีบคุกเข่าลงบนพื้นดินและโขกศีรษะคำนับไม่กล้าพูดอะไรอีก
หลังจากนั้น หวังจงก็หันกลับมากอดขาหลินเป่ยเฉิน ร้องไห้คร่ำครวญต่อไป “นายน้อยไม่รู้หรอกว่าชีวิตของบ่าวเป็นอย่างไรบ้าง บ่าวคิดถึงนายน้อยเหลือเกิน…”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความพิศวง “ตงฟางติงรังแกเจ้าหรือ?”
แต่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลย
“กราบเรียนนายน้อย ตลอดเวลาที่ผ่านมา บ่าวถูกทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ นอกจากพวกเขาจะส่งสาวงามมาลวนลามและขืนใจบ่าวทุกวันทุกคืนแล้ว บ่าวยังถูกบังคับให้รับประทานสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก และพวกเขาก็ส่งบ่าวเข้าไปฝึกวิชาในห้องลับ… สุดท้าย สุนัขเฒ่าตงฟางติงก็มอบตำแหน่งประมุขคฤหาสน์ให้กับบ่าว เพื่อขัดขวางไม่ให้บ่าวหลบหนีออกมาจากที่นั่น… นายน้อยขอรับ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ชีวิตของบ่าวช่างทุกข์ทรมานเหลือเกิน”
หวังจงโอดครวญ
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุก
นี่ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย!
หากชีวิตของหวังจงเรียกว่าการตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน แล้วชีวิตของหลินเป่ยเฉินจะเรียกว่าอะไร?
“เจ้าตัวบัดซบ เจ้าพูดอะไรออกมา? คิดยกมาเหยียดหยามข้าใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
เขาคิดว่าชีวิตของคนเราช่างตลกร้ายเสียเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินต้องขโมยพืชผักผลไม้จากสวนประจำสำนักกระบี่เหินฟ้า และกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของตระกูลชิว สุดท้าย ก็ต้องลงมือฆ่าคนอย่างไม่มีทางเลือก
ในทางกลับกัน หวังจงกลับใช้ชีวิตสุขสบายถึงเพียงนั้น
ตกลงใครกันแน่ที่เป็นพระเอกของเรื่องนี้?
“นายน้อย บ่าวไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น แต่ชีวิตของบ่าวมันยากลำบากจริง ๆ”
หวังจงยังคงร้องไห้คร่ำครวญต่อไป
ในเวลาเดียวกันนี้ ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็แทบไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
ตำแหน่งประมุขคฤหาสน์เซินซุยเปลี่ยนมือได้อย่างไร?
ตงฟางติงมีทั้งความทะเยอทะยานและความอำมหิต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเอง เขาสามารถกระทำได้แม้แต่การหักหลังอาจารย์ของตนเอง แม้แต่ชีวิตของบิดามารดาก็สามารถเสียสละได้ แล้วเขาจะมอบบัลลังก์ประมุขให้แก่ผู้อื่นง่าย ๆ ได้อย่างไร?
และนี่เป็นการมอบบัลลังก์โดยไม่ต้องถูกบังคับขู่เข็ญด้วยซ้ำ
อวี้อู๋เฉียนยังคงตกตะลึงและรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลินเป่ยเฉินล้วนมีแต่ความแปลกประหลาดพิสดารทั้งสิ้น
หลินเป่ยเฉินกระโดดถีบหน้าหวังจงอีกครั้ง
เขาเริ่มเป็นกังวลและไม่อยากจะพูดอะไรอีก
เด็กหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองสมควรเรียกพ่อบ้านหวังจงว่า ‘ท่านประมุขคฤหาสน์’ แล้วหรือไม่?
“เมื่อสักครู่ ใครมารังแกนายน้อยของข้า ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”
หลังจากหวังจงม้วนกลิ้งไปหลายตลบ เขาก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าร่างกายของพ่อบ้านชราแข็งแกร่งมากกว่าเดิมหลายเท่า หวังจงหันหน้าจ้องมองไปทางกลุ่มลูกศิษย์คฤหาสน์เซินซุยซึ่งมีขั้นพลังไม่ต่ำต้อย
ในกลุ่มนั้นมีลูกสมุนของคุณชายหนานกงอยู่สี่คน พวกเขารีบคลานออกมาข้างหน้าและโขกศีรษะกับพื้นดินด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา “ท่านประมุขได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย อย่าทำอะไรพวกเราเลยนะขอรับ…”
“พวกเจ้าเข้ามาให้นายน้อยของข้าระบายอารมณ์เสียดี ๆ พวกเจ้าสมควรตายที่มีตาหามีแววไม่ การลบหลู่ดูหมิ่นนายน้อยของข้า ถือเป็นการทำผิดกฎสำนักขั้นรุนแรง มีโทษตายสถานเดียวเท่านั้น”
หวังจงตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด
ผู้อาวุโสหนึ่งในคนที่ทำหน้าที่แบกเกี้ยวอดกล่าวออกมาไม่ได้ว่า “กราบเรียนท่านประมุข คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นตัวแทนคฤหาสน์เราเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้นะขอรับ…”
“เหลวไหล นั่นหาใช่สิ่งที่สำคัญไม่…”
หวังจงหัวเราะในลำคอด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประลองแล้วจะอย่างไร? ข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน ยังจะต้องหวาดกลัวอะไรอีก?”
กลุ่มผู้อาวุโสประจำคฤหาสน์ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแล้ว
ในไม่ช้า ลูกสมุนของคุณชายหนานกงทั้งสี่คนก็ถูกตัดศีรษะนำไปเสียบประจานอยู่หน้าตลาดมืด ดูน่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง
บรรดาผู้ที่รับชมเหตุการณ์อยู่โดยรอบต่างก็พยายามทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่แตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้มากทีเดียว คุณชายหนานกงและบรรดาลูกสมุนจากคฤหาสน์เซินซุยเป็นกลุ่มคนชั่วร้ายที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คน เมื่อได้รับจุดจบเช่นนี้ ผู้คนก็อดรู้สึกโล่งอกขึ้นมาไม่ได้
“พวกเจ้าออกไปรออยู่นอกตลาดซะ”
หวังจงโบกมือไล่บริวารของตนเอง
กลุ่มศิษย์และผู้อาวุโสของคฤหาสน์เซินซุยรีบยกเกี้ยวสีแดงเคลื่อนกายจากไปอย่างรวดเร็ว
“เรียบร้อยขอรับ ไม่มีผู้ใดสามารถรบกวนพวกเราได้อีกแล้ว นายน้อยอยากจะซื้ออะไรหรือขอรับ เดี๋ยวบ่าวซื้อให้นายน้อยเอง…”
หวังจงตบหน้าอกตนเองด้วยความมุ่งมั่น
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกว่าหวังจงกลายเป็นชายชราที่ดูหล่อเหลาและน่ารักขึ้นมาทันที
“จะดีหรือ… ข้าอยากได้สิ่งของหลายอย่างอยู่นะ เจ้าคงจ่ายไม่ไหวหรอก”
หวังจงหัวเราะในลำคอ “นายน้อยพูดอะไรเช่นนั้น หวังจงเลี้ยงดูนายน้อยมาเองกับมือ นายน้อยไม่ต่างจากเป็นลูกชายของหวังจง…”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
ตาเฒ่านี่พูดเช่นนี้อีกแล้ว
แต่เพราะเห็นแก่เงิน หลินเป่ยเฉินจึงอดทนได้
ทั้งสามคนเดินสำรวจตลาดมืดไปด้วยกัน
ส่วนคู่พี่น้องไม่รู้ว่าตนเองสมควรทำอย่างไรดี จึงเดินตามหลังพวกของหลินเป่ยเฉินมาเงียบ ๆ ไม่ต่างจากลูกสุนัขกำลังเดินตามติดเจ้าของ…
อวี้อู๋เฉียนรู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่ง
เขาพยายามรวบรวมข้อมูลที่หวังจงเปิดเผยออกมาและรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่ผู้อาวุโสระดับสูงประจำคฤหาสน์ที่มาทำหน้าที่แบกเกี้ยว รวมถึงสองหญิงงามที่มารับหน้าที่โปรยดอกไม้ก็ไม่น่าใช่การจัดฉากแน่ ๆ เพราะในบรรดาคนเหล่านั้น มีผู้ที่บรรลุขั้นพลังจอมเทพระดับ 4… และอวี้อู๋เฉียนเองก็เคยเห็นหน้าค่าตาคนกลุ่มนั้นมาบ้าง จึงรู้ว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นก่อนหน้านี้ประพฤติตนโหดร้ายอำมหิต แต่บัดนี้ กลับทำตัวสงบเสงี่ยมไม่ต่างจากลูกแกะตัวหนึ่ง…
เกิดอะไรขึ้นในคฤหาสน์เซินซุยกันแน่?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว
“นายน้อยขอรับ มาดูนี่สิ บ่าวพบเจอของดีบางอย่างที่คิดว่าน่าจะเหมาะสมกับนายน้อยมากทีเดียว…”
หวังจงหยุดชะงักและเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าร้านแบกะดินร้านหนึ่ง