เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1554 บัวหมอกดำ
ตอนที่ 1,554 บัวหมอกดำ
“มันคืออะไร?”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ และพบว่าหวังจงกำลังถือแผ่นพับคัมภีร์ทองคำอยู่เล่มหนึ่ง
“นายน้อยดูสิขอรับ นี่ต้องเป็นของดีแน่นอน”
หวังจงประคองคัมภีร์เล่มนั้นส่งมอบให้กับหลินเป่ยเฉินด้วยสองมืออย่างนอบน้อมยิ่ง
คัมภีร์เล่มนี้แกะสลักขึ้นมาจากแผ่นพับทองคำโดยช่างฝีมือระดับพื้นฐาน ด้านในแกะสลักเป็นลวดลายผู้คนกำลังนั่งสมาธิ น่าจะเป็นการชี้แนะแนวทางในการฝึกฝนโคจรพลังปราณในร่างกาย
หากมองเพียงผิวเผินก็จะเข้าใจว่านี่เป็นสุดยอดคัมภีร์ แต่หากดูให้ละเอียดมากขึ้น ก็จะพบว่าลวดลายแกะสลักไม่ได้ดูงดงามอย่างที่เข้าใจ มันเป็นเพียงการแกะสลักอย่างตื้นเขิน มีไว้ใช้เพื่อตบตาคนโง่เขลาเท่านั้น
“แน่ใจหรือ?”
หลินเป่ยเฉินหันมามองหน้าหวังจง
“แน่ใจสิขอรับนายน้อย นี่เรียกว่าคัมภีร์เคลื่อนย้ายกระแสปราณ น่าจะเหมาะสมให้นายน้อยใช้ฝึกวิชาแล้ว”
หวังจงตอบด้วยความกระตือรือร้น
เมื่อหลินเป่ยเฉินลองพิจารณาดูโดยละเอียดอีกครั้ง เขาก็พบว่าบนหน้าปกคัมภีร์มีตัวอักษรถูกแกะสลักเอาไว้อ่านได้ความว่า ‘คัมภีร์เคลื่อนย้ายกระแสปราณ’ ซึ่งจัดเป็นวิชาที่เอาไว้ใช้เสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายชนิดหนึ่ง
ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย?
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที
นี่มันถอดแบบมาจากวิชากระบี่เร้นกายเลยไม่ใช่หรือไง?
วิชากระบี่เร้นกายมีประโยชน์มากมายยามอยู่ในแผ่นดินตงเต้า แต่เมื่อพวกเขาเดินทางมาสู่ภพภูมิมหาแผ่นดิน วิชาเหล่านั้นก็ไร้ประโยชน์แล้ว
บัดนี้ ร่างกายของหลินเป่ยเฉินไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเก่าก่อน
แต่คัมภีร์ทองคำเล่มนี้จะช่วยเขาได้จริง ๆ หรือ?
“เถ้าแก่ คัมภีร์เล่มนี้ขายเท่าไหร่?”
หวังจงเริ่มต้นเปิดฉากการซื้อขาย
“คัมภีร์เล่มนี้ขายร้อยตำลึงเงินขอรับ”
เจ้าของร้านเป็นชายใส่หน้ากากและสวมเสื้อคลุมสีดำ เสียงพูดผ่านการดัดแปลง นี่คงเป็นเรื่องปกติของบรรดาพ่อค้าในตลาดมืด เนื่องจากสินค้าที่นำมาวางขายนั้นอาจได้มาอย่างไม่ถูกต้องนัก
“ตกลง ข้าขอซื้อ”
หวังจงโยนเงินออกไปให้สิบตำลึงและหยิบคัมภีร์ทองคำเล่มนั้นเดินจากมาหน้าตาเฉย
เจ้าของร้านตะโกนไล่หลังมาว่า “ยังจ่ายไม่ครบ”
หวังจงแสยะยิ้ม หันกลับไปอวดสัญลักษณ์คฤหาสน์เซินซุยที่แปะหราอยู่บนอกเสื้อ “ว่าไงนะ? ข้าได้ยินไม่ถนัด เจ้าช่วยพูดอีกสักครั้งได้หรือไม่?”
เจ้าของร้านชะงักไปเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “เป็นข้าน้อยจำผิดเอง… ท่านจ่ายเงินครบแล้วขอรับ”
หวังจงหันกลับมา กล่าวว่า “นายน้อย คัมภีร์เล่มนี้เป็นของท่านแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เขาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงเคยเป็นที่รังเกียจของชาวเมืองหยุนเมิ่งขนาดนั้น เพราะหวังจงก็กำลังทำตัวเหมือนเขาในอดีตนั่นเอง
หลินเป่ยเฉินรับคัมภีร์มาโดยไม่ได้ปฏิเสธ
ถึงอย่างไร เขาก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
และโดยส่วนใหญ่ หลินเป่ยเฉินมักจะฝึกวิชาผ่านโทรศัพท์มือถือ ต่อให้คัมภีร์เล่มนี้เป็นของปลอม มันก็คงสร้างเป็นแอปพลิเคชันขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี ดังนั้น ไม่มีอะไรที่เขาต้องเป็นกังวลสักหน่อย
“นายน้อยอยากได้สิ่งใดไปเลือกเอาเลยขอรับ”
หวังจงพูดด้วยความภาคภูมิใจ “บ่าวมีนามว่าหวังจง คำว่าจงนั้นมาจากจงรักภักดี ต่อให้นายน้อยกลายเป็นขอทานเร่ร่อนขออาหารชาวบ้านกิน บ่าวก็ยังเห็นนายน้อยเป็นบุตรชายของตนเองอยู่เสมอ”
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกขึ้นมาอีกครั้ง
ไอ้แก่นี่ ได้ทีเอาใหญ่เชียวนะ
แต่เพราะเห็นแก่เงิน หลินเป่ยเฉินจึงอดทนได้เสมอ
เขานำโทรศัพท์มือถือออกมาสแกนสินค้าต่าง ๆ ที่วางขายอยู่ในตลาดมืด หลังจากนั้น ก็เลือกหยิบมาประมาณสามถึงสี่ส่วน ในสินค้าจำนวนนี้มีสิ่งที่เรียกว่าว่าบัวหมอกดำตากแห้ง ซึ่งเมื่อสแกนผ่านโทรศัพท์มือถือแล้ว มันกลับกลายเป็นส่วนเสริมในเกม Happy Farm ได้อย่างน่ามหัศจรรย์
หลินเป่ยเฉินพบว่าสวนผักของตนเองในเกม Happy Farm มีตัวเลือกให้กดหว่านเมล็ดพันธุ์ได้แล้ว
บัวหมอกดำตากแห้งชิ้นนี้มีราคาอยู่ที่สองร้อยตำลึงเงิน เจ้าของร้านอ้างว่ามันเป็นรากบัวหมอกดำของแท้ สรรพคุณในด้านสมุนไพรของมันจึงยังอยู่อย่างครบถ้วน
ในที่สุด หวังจงก็สามารถซื้อหามาได้ในราคาเพียงยี่สิบตำลึงเงินเท่านั้น
“พ่อค้าในตลาดมืดไม่ใช่ตัวดี ส่วนใหญ่มักตั้งราคาไว้สูงมากกว่าความเป็นจริงเสมอ สหายของท่านผู้นี้นับว่าเป็นผู้ที่มีความรอบรู้มากทีเดียว”
อวี้อูู๋เฉียนยิ่งสงสัยในตัวของหวังจงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนหลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจในตัวของหวังจงอีกต่อไปแล้ว
อดีตพ่อบ้านชราไม่ต่างไปจากปลาตัวน้อยที่ลอกเกล็ดกลายเป็นมังกรลอยฟ้า เพียงค้นพบว่าตนเองมีสายเลือดวิเศษมากกว่าคนทั่วไป หวังจงก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคนแล้วหรือ?
“ท่านประมุขเจ้าคะ กำลังจะถึงเวลานัดหมายแล้ว ท่านประมุขต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงนะเจ้าคะ”
หนึ่งในสองสาวงามผู้ทำหน้าที่โปรยดอกไม้เดินนวยนาดเข้ามาหาพลางกล่าวว่า “อีกหนึ่งชั่วยามหลังจากนี้ ผู้เป็นหัวหน้าสิบเอ็ดสำนักใหญ่ประจำเมืองชิงอวี้จะทำการประชุมร่วมกันก่อนการประลอง ท่านประมุขรีบไปเตรียมตัวก่อนดีกว่านะเจ้าคะ”
“บอกให้เจ้าเศษสวะตงฟางติงไปแทนข้าก็แล้วกัน”
หวังจงโบกมือไล่ด้วยความรำคาญใจ “ข้ายังไม่ว่าง”
“แต่ท่านประมุขเจ้าคะ เกรงว่าตงฟางติงคงไม่สามารถกระทำเรื่องราวเช่นนี้ได้อีก ดีไม่ดี เขาอาจทำให้ภาพลักษณ์ของเราเสียหายได้นะเจ้าคะ”
หญิงสาวพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยความอดทน
“เจ้ารีบกลับไปจัดการธุระเถอะ”
หลินเป่ยเฉินโบกมือไล่พร้อมกับกล่าวว่า “ข้าได้ของที่ต้องการครบถ้วนแล้ว… จริงด้วยสิ ก่อนเจ้าจะไป ช่วยให้ข้ายืมเงินก่อนได้หรือไม่?”
ผู้อาวุโสอวี้อูู๋เฉียนเกือบจะหลุดสบถออกมาแล้ว
เขาไม่เคยพบเจอผู้ใดหน้าหนาเท่าหลินเป่ยเฉินมาก่อน เมื่อสักครู่ เด็กหนุ่มเพิ่งจะให้หวังจงซื้อของไปเป็นเงินหลายร้อยตำลึง และเมื่อกำลังจะแยกจากกัน หลินเป่ยเฉินยังจะมีหน้าไปขอยืมเงินอีกได้อย่างไร?
“ไม่มีปัญหาขอรับ”
หวังจงตอบรับ ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนสีหน้าจะแปรเปลี่ยนไป “นายน้อย บ่าวใช้เงินหมดไปแล้ว… หยวนฉวิ้น เจ้าพอมีเงินติดตัวบ้างหรือไม่?”
หญิงสาวก้มหน้าลงเล็กน้อย เข้าใจความหมายของผู้เป็นนายท่าน จึงตอบว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ”
หวังจงหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน “นายน้อย คือว่า…”
“ไปซะ จะไปไหนก็ไป”
หลินเป่ยเฉินโบกมือไล่ด้วยความรำคาญ
หวังจงพยายามเชื้อเชิญให้หลินเป่ยเฉินไปยังที่พักของตัวแทนจากคฤหาสน์เซินซุย ซึ่งสถานที่นั้นจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงมอบให้แก่หลินเป่ยเฉินอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสาวงามหรือสุราอาหารก็ตาม
แต่หลินเป่ยเฉินเลือกที่จะปฏิเสธ
เพราะเขามีแผนการของตนเองอยู่แล้ว
เหตุผลหลักก็คือหลินเป่ยเฉินไม่อยากรับความช่วยเหลือจากพ่อบ้านชรามากเกินไป
“นายน้อย บ่าวรู้ว่านายน้อยกำลังท้อแท้กับชีวิต แต่อย่าห่วงเลยขอรับ เอาไว้บ่าวเข้าร่วมประชุมครั้งนี้เสร็จเมื่อไหร่ บ่าวจะหาหนทางทำให้นายน้อยได้กลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง… แล้วก็บรรดาพวกสุนัขข้างถนนที่มีตาหามีแววไม่พวกนั้น หากพวกมันกล้ามารังแกนายน้อยอีก นายน้อยส่งคนมาแจ้งเรื่องยังที่พักของบ่าวได้เลยขอรับ บ่าวมีนามว่าหวังจง คำว่าจงมาจากจงรักภักดีและนายน้อยก็เปรียบเสมือนบุตรชายของบ่าวเสมอ”
ในที่สุด หวังจงก็พาบริวารของตนเองเดินจากไป
เห็นได้ชัดว่าชายชราคุ้นเคยกับการดำรงตำแหน่งประมุขคฤหาสน์เซินซุยเป็นอย่างดี
ผู้อาวุโสอวี้อูู๋เฉียนเฝ้ามองกลุ่มคนจากคฤหาสน์เซินซุยเดินจากไป ก่อนจะหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินเขม็ง
หลินเป่ยเฉินชิงตอบเสียก่อนว่า “อย่าถามเลย ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
พวกเขาเดินสำรวจรอบตลาดมืดอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบใบไม้คืนวิญญาณหรือวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถสมานวิญญาณ ดังนั้น สองบุรุษต่างวัยจึงเดินกลับขึ้นไปบนภูเขา
ณ หน้าประตูทางเข้าพื้นที่รับรองแขก
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองสองพี่น้องที่เดินตามมาตลอดทาง ก่อนจะยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “พวกเจ้าจะตามข้าไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย? ข้าบอกเอาไว้ชัดเจนแล้วนะว่าใบไม้คืนวิญญาณมีความสำคัญต่อข้ามาก ไม่ว่าเจ้าจะนำอะไรมาแลก ข้าก็ไม่ยินยอมเด็ดขาด… จงกลับไปซะเถอะ”
กล่าวจบ หลินเป่ยเฉินกับอวี้อูู๋เฉียนก็เดินเข้าสู่สถานที่รับรองแขกจากสำนักกระบี่เหินฟ้า
หลินเป่ยเฉินขังตนเองอยู่ในห้องเก็บฟืนและเริ่มต้นสำรวจดูสิ่งของที่ตนเองได้มา
สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือบัวหมอกดำตากแห้งชิ้นนี้
จากข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอระหว่างการสแกนของโทรศัพท์ หลินเป่ยเฉินต้องใช้มือบีบเม็ดของพวกมันออกมาจากด้านในดอกบัว หลังจากนั้น เม็ดบัวสีดำหลายสิบเม็ดก็พุ่งกระจายออกมา ในจำนวนนั้นบางส่วนมีเม็ดบัวสีเขียวปะปนออกมาด้วย ซึ่งเม็ดบัวเหล่านี้เองที่สามารถนำไปปลูกในเกม Happy Farm ได้
หลินเป่ยเฉินเริ่มต้นการเพาะปลูกโดยไม่ลังเล
ในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็นำโทรศัพท์มือถือมาสแกนใบไม้คืนวิญญาณและพบว่าสมุนไพรชนิดนี้ ก็สามารถนำไปเพาะปลูกในเกม Happy Farm ได้เช่นกัน
“เอาไปปลูกได้ด้วยเหรอวะเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความตกตะลึง
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองมองข้ามบางอย่างมาโดยตลอด!