เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1557 หากข้าไม่ขอโทษล่ะ
ตอนที่ 1,557 หากข้าไม่ขอโทษล่ะ
หลินเป่ยเฉินยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ
บรรดานางรำเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่ออีกครั้ง
แน่นอนว่าในท้ายที่สุด ความจริงก็เปิดเผยออกมา พวกนางไม่น่าสงสัยในตัวตนและที่มาที่ไปของหลินเป่ยเฉินเลย
หลินเป่ยเฉินรับเทียบเชิญไปดู ก่อนเงยหน้าขึ้นมา และถามว่า “นายท่านของเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”
เขาไม่รู้จักอวี้เหวินซิวเซียน
เจียงซื่อยิ้มเล็กน้อย “นายท่านของข้าไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ”
ฟังดูน่าจะเป็นคำโกหกชัด ๆ
แต่เจียงซื่อสามารถกล่าวออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ความจริง ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะรู้ว่าหลินเป่ยเฉินอยู่ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากำลังอยู่ในอาณาเขตของสำนักเฉาเทียน แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินประหลาดใจก็คือเรื่องที่อีกฝ่ายรู้ว่าเขามีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก
นับว่าอวี้เหวินซิวเซียนผู้นี้มีหูตากว้างขวางจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ แต่ก็ยังเก็บเทียบเชิญและหันไปมองหน้าองค์ชายเจี้ยนอวี่พลางถามว่า “พวกเราสมควรเปลี่ยนสถานที่กินเลี้ยงดีหรือไม่?”
องค์ชายเจี้ยนอวี่พยักหน้าด้วยความกระตือรือร้นทันที “สมควรเปลี่ยนขอรับ สมควรเปลี่ยน”
เซียวปิงก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน “ของกินที่นั่นน่าจะอร่อยนะขอรับ”
การเปลี่ยนสถานที่กินเลี้ยงไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อเซียวปิงสักเท่าไหร่
เพราะสิ่งที่เขาสนใจคืออาหาร ไม่ใช่ผู้คน
นอกหอสุราซานซิง มีนกยักษ์ใบหน้าสิงโตยืนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
พวกมันเป็นสัตว์ที่ใช้สำหรับการเดินทางในเมืองชิงอวี้ มีนิสัยสงบสุขุม สามารถโบยบินได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง บนแผ่นหลังมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้มากมาย จึงเป็นพาหนะขนส่งของสำนักเฉาเทียนมาโดยตลอด
พวกของหลินเป่ยเฉินทั้งสี่คนกระโดดขึ้นหลังนกอสูรคนละตัว เจียงซื่อคาบนกหวีดสีเงินชิ้นเล็ก ๆ อยู่ที่ปาก ก่อนจะเป่าคลื่นความถี่ต่ำที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยินออกมาและนางก็รับหน้าที่เป็นผู้นำทางนกอสูรทั้งหมด
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว ผ่านเนินเขาสูงเสียดฟ้า
หลังจากนั้นไม่นาน
ทุกคนก็มาถึงหอสุราเติ้งเทียน
หอสุราหลังนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง
เป็นยอดเขาที่สูงเสียดฟ้า ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล หน้าผาหินถูกแกะสลักเป็นโครงสร้างของหอสุรา
และบนยอดเขาแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยสวนดอกไม้ น้ำตกจำลอง ศาลารับลม ซึ่งจัดสร้างขึ้นมาโดยช่างฝีมือชั้นยอด
มีแม้กระทั่งทะเลสาบจำลองตั้งอยู่ตรงกลางยอดเขา ผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับสะท้อนกับแสงจันทร์แวววาว
บัดนี้ หอสุราเติ้งเทียนมีความคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินได้ยินเสียงบรรเลงดนตรีลอยมาตามสายลมไม่ต่างไปจากเสียงแห่งสรวงสวรรค์ ท่วงทำนองอันไพเราะทำให้ผู้คนรู้สึกเคลิบเคลิ้มหลงใหล เสมือนได้หลุดเข้าสู่แดนเซียนอย่างไรอย่างนั้น
นกอสูรที่มีใบหน้าเป็นสิงโตร่อนลงไปจอดยังสถานีขนส่งของพวกมัน
มีผู้คนมารอคอยพวกเขาอยู่นานแล้ว
คนผู้นั้นยืนอยู่หน้าสถานีขนส่งนกอสูร มีความโดดเด่นไม่ต่างจากดวงจันทร์บนท้องฟ้า คล้ายกับมีแรงดึงดูดสายตาจากผู้คนรอบกายอย่างแปลกประหลาด
เนื่องจากคนผู้นี้มีความสูงเกือบเจ็ดเซียะ ไหล่กว้าง ขายาว สวมใส่ชุดเครื่องแบบสีขาว ผมสีดำดกหนา ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มโค้งงอราวกับคันศร แม้ไม่ต้องพูดคำใด แค่เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากจะสนิทสนมด้วยแล้ว
นับเป็นบุคคลที่ทรงเสน่ห์อย่างแท้จริง
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความประหลาดใจ
นับตั้งแต่ที่เดินทางมาถึงแดนมหาแผ่นดิน นี่คือครั้งแรกที่เขาได้พบเจอบุคคลที่มีความหล่อเหลาเช่นนี้
“นายท่าน”
เจียงซื่อเดินเข้าไปทำความเคารพและกล่าวว่า “บัดนี้ คุณชายหลิน คุณชายเซียว แม่นางหลงและคุณชายเจี้ยนได้มาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
“ฮ่า ๆๆ…”
อวี้เหวินซิวเซียนก้าวเดินออกมาข้างหน้าพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะลั่น ท่วงท่าสง่างามเต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “พี่น้องทุกท่าน ข้าได้ยินชื่อเสียงของพวกท่านมานานแล้ว คืนนี้ได้มีโอกาสพบเจอตัวจริง นับว่าข้ามีวาสนายิ่งนัก… ขอเรียนเชิญ”
ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ อวี้เหวินซิวเซียนกลับสามารถทำให้คนแปลกหน้ารู้สึกเชื่อใจได้เหมือนกับรู้จักกันมานานหลายปี
สมกับเป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินอดยอมรับนับถือไม่ได้
แต่เด็กหนุ่มเชื่อว่าความหล่อเหลาของคนผู้นี้ ยังอยู่ห่างไกลจากตนเองอีกหลายปีแสง
ภายใต้การนำทางของอวี้เหวินซิวเซียน ทุกคนก็เดินตรงมาที่ทะเลสาบจำลอง
งานเลี้ยงริมทะเลสาบเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เสียงดนตรีบรรเลงไพเราะ หญิงงามจำนวนมากกำลังออกมาร่ายรำชดช้อย
โต๊ะอาหารที่ถูกจัดตั้งอยู่ริมทะเลสาบได้รับการแบ่งแยกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย
“ฮ่า ๆๆ ขอขัดจังหวะแขกผู้มีเกียรติทุกท่านสักครู่ บัดนี้ ข้าอยากแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับแขกคนสำคัญของพวกเรา”
อวี้เหวินซิวเซียนส่งเสียงหัวเราะอย่างเป็นมิตร ก่อนกล่าวต่อ “นี่คือคุณชายเซียวปิงจากสำนักกระบี่เหินฟ้า นี่คือแม่นางหลงหน่าจากพรรควารีพิฆาต นี่คือคุณชายเจี้ยนอวี่จากวังถ้ำเซียน ทั้งสามท่านต่างก็เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักคนต่อไป หากได้มีโอกาสพบเจอกันในวันนี้ ก็จงสร้างความสนิทสนมกันไว้เถอะ”
สายตาจำนวนมากจับจ้องไปที่พวกของเซียวปิงทั้งสามคน
บางคนมีสีหน้าฉงนสงสัย
บางคนจ้องมองอย่างใช้ความคิด
บางคนจ้องมองด้วยสายตาดูถูกดูแคลน
ที่ไหนมีผู้คน ที่นั่นย่อมมีความอิจฉาริษยา
แม้แต่ในวงการผู้ฝึกยุทธ์
แต่ที่นี่คือหอสุราเติ้งเทียนของสำนักเฉาเทียน และเป็นถิ่นฐานของอวี้เหวินซิวเซียนผู้เป็นยอดอัจฉริยะแห่งยุคของเมืองชิงอวี้ ผู้คนจึงไม่กล้าแสดงกิริยาอื่น ๆ ออกมามากนัก
“ส่วนนี่คือคุณชายหลิน…”
เมื่ออวี้เหวินซิวเซียนพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็เพิ่มความเคารพนบนอบขึ้นมาเล็กน้อย “ผู้มีข่าวลือว่ามีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมานับพันปีแล้ว ถือเป็นวาสนาของพวกเราอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้พบกับคุณชายหลินในวันนี้”
บังเกิดเสียงอุทานฮือฮาดังออกมาจากกลุ่มผู้คน
สายเลือดศักดิ์สิทธิ์!
นี่คือถ้อยคำที่สร้างให้เกิดความตื่นตระหนกไม่ต่างจากมีการโยนก้อนหินลงสู่ทะเลสาบที่เงียบสงบ
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน
แววตาที่จ้องมองมาแตกต่างไปจากการจ้องมองพวกของเซียวปิงก่อนหน้านี้
“เหอ ๆ”
ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นข้างทะเลสาบ “ข้าได้ยินศิษย์ในสำนักเล่าขานว่า บัดนี้ มีคนเสียสตินามหลินเป่ยเฉินได้ทำการอาละวาดฆ่าคนของคฤหาสน์เซินซุยกลางตลาดค้าขาย ไม่ทราบว่าเป็นท่านใช่หรือไม่?”
ในกลุ่มแขกเหรื่อผู้เข้าร่วมงานเลี้ยง ชายหนุ่มเท้าเปล่าผู้สวมเสื้อคลุมสีขาว ปล่อยผมยาวพลิ้วไสวกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะใหญ่กลางงานเลี้ยง สองข้างซ้ายขวาประคองกอดสตรีโฉมงาม ดวงตาคมกล้าจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาดุดัน
“นี่คือคุณชายเปียงอวี้ฉู่จากสำนักกระจกวารี เป็นผู้ได้อันดับเก้าจากการประลองค้นหายอดยุทธ์รุ่นใหม่ประจำเมืองชิงอวี้เมื่อปีที่แล้ว…”
อวี้เหวินซิวเซียนยิ้มและทำหน้าที่แนะนำตัว
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หากท่านกำลังหมายถึงเศษขยะที่มีนามว่าหนานกงอันจื่อล่ะก็ ใช่แล้ว ข้าเป็นคนฆ่ามันเอง”
“หนานกงอันจื่อได้อันดับที่สิบห้าจากการประลองเมื่อปีก่อน ในเมื่อเขามาตายด้วยน้ำมือของท่าน ก็หมายความว่าท่านคงมีฝีมือติดตัวไม่ใช่น้อย… แต่สายเลือดของท่านนั้น คุณชายหลิน ไม่ง่ายเลยที่ท่านจะฝึกวิชาฝีมือต่อไป”
เปียงอวี้ฉู่ยิ้มเหยียดหยาม
ผู้คนที่มารวมตัวกันอยู่ในงานเลี้ยงริมทะเลสาบค่ำคืนนี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือรุ่นใหม่จากสิบเอ็ดสำนักยุทธ์ ทุกคนย่อมรู้ดีว่าคำสาปของผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเช่นไร ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงทราบว่าถึงหลินเป่ยเฉินจะสามารถฝึกวิชาฝีมือได้ แต่ก็ไม่มีทางบรรลุวิชาฝีมือระดับสูงแน่นอน
ทุกสายตาจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน
แล้วคุณชายหลินจะทนทานได้อย่างไร?
“แม้แต่เศษสวะอย่างหนานกงอันจื่อก็ยังมีชื่ออยู่ในทำเนียบยอดยุทธ์รุ่นใหม่ด้วยหรือนี่? ทำเนียบของพวกท่านล้วนเหลวไหลมากแล้ว”
หลินเป่ยเฉินไม่เคยสะกดกลั้นอารมณ์ จึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามพอ ๆ กัน
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“ช่างจองหองเสียจริง”
“โอหังเกินไปแล้ว”
กลุ่มแขกผู้มาร่วมงานเลี้ยงผุดลุกขึ้นส่งเสียงตะโกนด้วยความเดือดดาล
พวกเขาต่างก็เป็นผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในทำเนียบยอดยุทธ์รุ่นใหม่ เมื่อได้ยินหลินเป่ยเฉินกล่าววาจาดูถูกทำเนียบของตนเอง ยอดฝีมือเหล่านี้จึงอดรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาไม่ได้
หลินเป่ยเฉินเพียงหัวเราะในลำคอ
ที่เขามาที่นี่ในคืนนี้ก็เพราะรู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีอะไรจะทำ จึงติดตามเซียวปิงมารับชมความสนุกเท่านั้น
ในกลุ่มยอดฝีมือรุ่นใหม่เหล่านี้อาจมีผู้ที่ใช้การได้อยู่ไม่น้อย แต่ในสายตาของหลินเป่ยเฉิน ชายหนุ่มเหล่านี้ไม่ต่างจากเป็นลูกไก่ลูกสุนัข เขาจะจัดการเมื่อไหร่ก็ได้
ที่กระทำตัวสุภาพก่อนหน้านี้ นับว่าไว้หน้าให้ไมตรีมากแล้ว
หากมิเช่นนั้น… ผู้ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ คงได้ลงไปนอนกองอยู่บนพื้นดินกันหมดสิ้นนานแล้ว
แต่แน่นอนว่าต้องเว้นอวี้เหวินซิวเซียนไว้สักคน
เพราะคนผู้นี้ หลินเป่ยเฉินสังหรณ์ใจว่าคงจัดการไม่ได้ง่าย ๆ
“ถอนคำพูดของเจ้าซะและรีบขอโทษแขกทุกท่านเดี๋ยวนี้”
เปียงอวี้ฉู่ผุดลุกขึ้นยืน ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ ยิ้มเยาะเย้ย กล่าวต่อ “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใด? คืนนี้หากไม่เห็นแก่หน้าพี่ใหญ่ซิวเซียนที่เชิญเจ้ามาเป็นแขกพิเศษ คิดหรือว่าบุคคลชั้นต่ำอย่างเจ้าจะได้มีวาสนามาเสนอหน้าอยู่ที่นี่?”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความตลกขบขัน “หากข้าไม่ขอโทษล่ะ?”
“งั้นก็จะมีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ต้องเสียชีวิตลงไปอีกหนึ่งคน”
ดวงตาของเปียงอวี้ฉู่เป็นประกายวิบวับราวกับคมกระบี่
“ผิดแล้ว”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “คนที่ต้องเสียชีวิตน่าจะเป็นศิษย์เอกจากสำนักกระจกวารีต่างหาก!”