เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1561 รุ่งอรุณแห่งการทรยศ
ตอนที่ 1,561 รุ่งอรุณแห่งการทรยศ
เรื่องนี้สมเหตุสมผลดีแล้ว
เมื่อได้รับทราบข่าวที่น่าตกตะลึง บรรดาเจ้าสำนักที่มารวมตัวกันในงานประลองวันพรุ่งนี้ก็คงต้องจัดประชุมกันใหม่อีกครั้ง
โดยใช้งานประลองเป็นกิจกรรมบังหน้า
กล่าวคือ บัดนี้งานประลองไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป แต่การรวมตัวกันของบรรดาผู้คนสำนักใหญ่ต่างหากที่กลายเป็นสิ่งสำคัญ
ทว่า เมื่อพิจารณาโดยละเอียด เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับหลินเป่ยเฉินน้อยมาก
สถานะของเขาคือคนนอก หลินเป่ยเฉินจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย
หลังจากร่ำลาอวี้เหวินซิวเซียนพอเป็นพิธี พวกหลินเป่ยเฉินก็กระโดดขึ้นหลังนกอสูรที่มีใบหน้าเป็นสิงโตและภายใต้การนำทางของเจียงซื่อ พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางจากหอสุราเติ้งเทียน
พวกเขากลับมากินเลี้ยงกันต่อที่หอสุราซานซิงและองค์ชายเจี้ยนอวี่ก็ยังคงเป็นเจ้ามือเช่นเดิม
นักดนตรีและนางรำทำการแสดงอีกครั้ง
แต่ต้องยอมรับเลยว่าขอสุราซานซิงยังคงห่างชั้นจากหอสุราเติ้งเทียนอยู่อีกหลายเท่า
“พี่หลิน ไม่ทราบว่าท่านมีความคิดเห็นอย่างไรต่ออวี้เหวินซิวเซียนบ้าง?”
องค์ชายเจี้ยนอวี่ถามขึ้นมาเพื่อชวนสนทนา
หลินเป่ยเฉินยกถ้วยสุราขึ้นจิบและตอบว่า “หล่อเหลาไม่เท่าข้า”
องค์ชายเจี้ยนอวี่ หลงหน่า และเซียวปิงถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ยังจะมีผู้ใดหลงตนเองมากไปกว่านี้อีกหรือไม่?
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าทุกคนด้วยความพิศวง “หรือว่าไม่จริง?”
ผู้ถูกถามทั้งสามคนรีบพยักหน้าตอบรับ
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปว่า “คนผู้นี้มีขั้นพลังแข็งแกร่งและมีจิตใจที่ยากหยั่งถึง เขาอยากจะเป็นพันธมิตรกับข้า แต่ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ข้ารู้สึกว่าเขามีเจตนาแอบแฝงอะไรบางอย่าง”
“ท่านพี่กลัวเขาหรือขอรับ?”
เซียวปิงถามตรงเข้าประเด็น
“ไม่ใช่ความกลัว แต่เรียกว่าความไม่ไว้วางใจ” หลินเป่ยเฉินโวยวายกลับไปเสียงแข็ง
เซียวปิงตอบว่า “งั้นหาโอกาสฆ่าเขากันเถอะขอรับ”
“เฮอะ ดูเหมือนตาเฒ่าหลิวอู่เหยียนคงจะเลี้ยงดูเจ้าตามใจมากเกินไปสินะ เพียงคำสองคำเจ้าก็คิดจะฆ่าคนแล้ว ข้าเคยสั่งสอนให้เจ้าเป็นบุคคลชั่วร้ายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลินเป่ยเฉินพยายามสั่งสอน
แต่ลึก ๆ ในใจ หลินเป่ยเฉินก็เห็นด้วยกับคำพูดของเซียวปิงอยู่ไม่น้อย เพราะมันเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากที่สุด
วิธีการแก้ปัญหาบางชนิดก็ต้องใช้วิธีการที่รุนแรงเด็ดขาดเท่านั้น
“แต่คนใหญ่คนโตอย่างอวี้เหวินซิวเซียน ไม่น่ามาปรึกษาเรื่องนี้กับพวกเราเลยนะขอรับ เขาน่าจะไปพูดคุยกับบรรดาเจ้าสำนักมากกว่า”
องค์ชายเจี้ยนอวี่พูดด้วยสีหน้าใช้ความคิด
หลงหน่ากระซิบตอบว่า “บางทีอวี้เหวินซิวเซียนอาจคุยไปแล้วก็ได้เจ้าค่ะ เพียงแต่เขาอยากรับทราบความคิดเห็นของพวกเราเท่านั้น”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาทันที
มีเหตุผล!
นับว่าอวี้เหวินซิวเซียนผู้เป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงอวี้มีความคิดที่ยากคาดเดาจริง ๆ
พวกเขานั่งกินดื่มรับประทานอาหารกันอีกครึ่งชั่วยาม ก่อนตัดสินใจแยกย้ายสลายตัว
องค์ชายเจี้ยนอวี่นำของขวัญที่เตรียมเอาไว้มาส่งมอบให้แก่หลินเป่ยเฉินกับเซียวปิง
ดึกสงัด ทุกคนแยกย้ายจากกัน
…
เมื่อกลับมาถึงกระท่อมเก็บฟืนอันเป็นที่พักของตนเองในสวนด้านหลังจวนรับรองของสำนักกระบี่เหินฟ้า หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกร้อนรนใจขึ้นมาอย่างประหลาด
เขาพบว่าสถานการณ์ของตนเองไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย
หากเกิดหายนะครั้งใหญ่ขึ้นในเมืองชิงอวี้ เขาจะมาทำตัวเป็นผู้อ่อนแอเช่นนี้ไม่ได้อีก
ชีวิตของผู้คนกำลังจะยากลำบาก
ดังนั้น เวลานี้จึงต้องรีบขโมยอาหารเอาไว้ให้ได้เยอะที่สุด
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็เริ่มรับประทานผลไม้วิเศษอย่างบ้าคลั่ง
พร้อมกับเปิดแอปเถาเป่าขึ้นมาอีกครั้ง
…
วันต่อมา งานประลองสำหรับศิษย์รุ่นใหม่จากสำนักต่าง ๆ ยังคงดำเนินต่อไป
เพียงแต่ครั้งนี้ บรรดาเจ้าสำนักใหญ่ที่ควรจะนั่งประจำตำแหน่งอยู่บนอัฒจันทร์ด้านข้างเวที ไม่ได้ปรากฏกายขึ้นมาอย่างที่ควรจะเป็น
เห็นได้ชัดว่าเหล่าเจ้าสำนักไม่ได้มารับชมการประลอง
แต่การประลองก็ยังดำเนินต่อไปด้วยความดุเดือด เพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ผู้เข้าร่วมการประลองจะได้ยกสถานะในสำนักของตนเองขึ้นมาและพวกเขาก็จะได้ของรางวัลตอบแทนเป็นทรัพยากรมหาศาลจากสำนักเฉาเทียน
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินประหลาดใจก็คือ ไม่มีผู้คนจากสำนักกระจกวารีปรากฏตัวขึ้นมาทวงถามความยุติธรรมเรื่องที่เขาสังหารเปียงอวี้ฉู่เลยแม้แต่คนเดียว
หลินเป่ยเฉินได้รับทราบในภายหลังว่าเป็นเพราะอวี้เหวินซิวเซียนไปพูดอะไรบางอย่างกับกลุ่มคนจากสำนักกระจกวารีหลังงานเลี้ยงเลิกรา แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอวี้เหวินซิวเซียนไปพูดอะไรเอาไว้บ้าง
การประลองดำเนินต่อไปทั้งวัน
เซียวปิง หลงหน่า องค์ชายเจี้ยนอวี่ เหอเจิ๋งชิง เหอซินหรู่ โจวเหมยอวี่และตัวแทนจากสำนักใหญ่คนอื่น ๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยงริมทะเลสาบเมื่อคืนนี้ ต่างก็ได้รับชัยชนะและผ่านเข้าสู่รอบต่อไป
และสิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินประหลาดใจก็คือบนที่นั่งของแขกระดับสูงในอัฒจันทร์นั้น ปรากฏเผ่าพันธุ์อสูรบางส่วนมานั่งรับชมการประลองด้วยเช่นกัน
“พวกเขาเป็นตัวแทนจากสำนักอสูรในเมืองชิงอวี้น่ะ”
อวี้อู๋เฉียนผู้นั่งอยู่ด้านข้างรับหน้าที่อธิบาย
อสูรเหล่านั้นมีรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่หน้าตาจะแตกต่างไปตามเผ่าพันธุ์ของตนเอง อย่างเช่น บางตนมีรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่มีหางงูโผล่ออกมาทางด้านหลัง บางตนมีผิวหนังเป็นเกล็ดคล้ายกับจระเข้ บางตนมีลักษณะเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสุนัข บางตนก็มีผิวหนังหนาหยาบราวกับผิวหนังของฮิปโป บางตนก็มีจมูกยาวเหยียดราวกับงวงช้าง…
“อสูรเหล่านี้สืบเชื้อสายมาจากกองทัพปีศาจในอดีต พวกเขาต่างก็มีการฝึกวิทยายุทธ์ในรูปแบบของตนเอง พละกำลังทางร่างกายจึงแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ และวิทยายุทธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าพวกเราเช่นกัน”
อวี้อู๋เฉียนยังคงรับหน้าที่อธิบายต่อไป
พูดง่าย ๆ ก็คืออสูรเหล่านี้มีความสามารถไม่แพ้มนุษย์เลยอย่างนั้นหรือ?
น่าสนใจดีนี่นา
หลินเป่ยเฉินตั้งใจรับฟังต่อไป
“เมืองชิงอวี้ของเราส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำและมีฝนตกตลอดทั้งปี เผ่าพันธุ์อสูรส่วนใหญ่จึงขึ้นมาจากโลกใต้บาดาล…”
“เมื่อเทียบกับพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ อสูรน้ำเหล่านี้จึงมีความได้เปรียบมากกว่าในเรื่องของพื้นที่หากิน พวกเขามีหัวหน้าใหญ่ที่ถูกขนานนามให้เป็นราชาอสูร ข่าวลือว่าท่านผู้นั้นมีสายเลือดอสูรขั้นสูงสุดอยู่ในร่างกาย สำนักอสูรชื่อดังจำนวนมากล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของราชาอสูรผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักเขี้ยวโลหิต สำนักหุบเขาทมิฬ สำนักเงามังกร กลุ่มอสูรหมาป่าวายุ สำนักเขี้ยวขาวและสำนักปีศาจศิลา…”
“สำนักเหล่านี้ต่างก็มีผู้นำแข็งแกร่งไม่ต่างไปจากจอมเทพระดับ 5 อีกทั้งยังมีลูกสมุนฝีมือไม่ธรรมดาจำนวนมาก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่โชคดีที่พวกเขาเป็นพันธมิตรของเรา หาใช่ศัตรูไม่”
อวี้อู๋เฉียนกล่าวทั้งหมดนี้อย่างแช่มช้า
หลินเป่ยเฉินอดชื่นชมออกมาไม่ได้ว่า “ท่านลุงอวี้ ท่านมีความรู้กว้างขวางดีนะขอรับ”
“เรื่องธรรมดาน่ะ”
อวี้อู๋เฉียนตอบด้วยน้ำเสียงสงบสุขุม “เพราะข้าให้ความสนใจต่อข้อมูลรอบตัวเสมอ”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนกระซิบว่า “แต่ว่าก็ว่าเถอะนะขอรับ หากท่านลุงเอาเวลาสืบข้อมูลที่ไร้สาระเหล่านี้นำไปฝึกวิชาฝีมือบ้าง ท่านก็คงไม่ต้องโดนดูถูกในสำนักกระบี่เหินฟ้าอย่างที่เป็นอยู่อีกแล้ว”
อวี้อู๋เฉียนฟังแล้วก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ เท่านั้น
…
ตลอดระยะเวลาอีกสามวันให้หลัง การประลองยังคงจัดไปตามกำหนดการเดิม เพียงแต่มันเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจน้อยลงเรื่อย ๆ และสุดท้าย ผู้ที่เข้ารอบสามคนสุดท้ายก็คือฉู่หลิวซูจากค่ายน้ำอ่าวจันทรา หลงหน่าจากพรรควารีพิฆาตและเซียวปิงจากสำนักกระบี่เหินฟ้า!
ทั้งสามคนล้วนถูกยกย่องให้เป็นยอดอัจฉริยะรุ่นใหม่ประจำเมืองชิงอวี้อย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆ
และแน่นอนว่าผู้ที่ได้รับตำแหน่งชนะเลิศก็คือเซียวปิง
ถึงแม้เด็กหนุ่มจะดูไม่ค่อยสนใจเลยก็ตาม
เมื่อการประลองจบลง ณ พิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะ ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ได้พบเจอหวังซือเฉาตัวจริงเสียงจริง เช่นเดียวกับผู้ที่ถูกเรียกขานให้เป็นราชาจากเผ่าพันธุ์อสูร
หวังซือเฉาเป็นชายวัยกลางคนร่างสันทัด ใบหน้าเรียวยาว ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น สวมเสื้อคลุมและชุดเกราะสีทองคำประดับลวดลายแวววาว
ทางด้านราชาอสูรก็มาในลักษณะของมนุษย์ที่มีความสูงมากกว่าคนทั่วไปสองเท่า ผิวหนังเป็นสีน้ำเงินเข้มมันเลื่อม แขนขาอุดมด้วยกล้ามเนื้อปราศจากไขมัน…
แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านก็ยังต้องชำเลืองมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความสนใจ
ระหว่างที่ยืนดูพิธีส่งมอบของรางวัลให้กับผู้ชนะ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านยืนอยู่บนเวที เพียงหายใจเข้าออกธรรมดา ก็สามารถสร้างความกดดันให้แก่ผู้คนได้เป็นจำนวนมาก และนี่ก็คือความรู้สึกแปลกประหลาดที่หลินเป่ยเฉินไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างตัวเล็กจ้อยเสียเหลือเกิน
เจ้าสำนักต่าง ๆ ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
แล้วการประลองประจำปีนี้ก็จบลงอย่างเป็นทางการ
ทุกอย่างผ่านไปด้วยความราบรื่น
เมื่อถึงตอนบ่าย อวี้เหวินซิวเซียนก็เดินทางมายังที่พักของสำนักกระบี่เหินฟ้า เพื่อมาพูดคุยกับหลินเป่ยเฉินด้วยตนเอง อวี้เหวินซิวเซียนหวังว่าเด็กหนุ่มจะยอมเข้าร่วมสำนักเฉาเทียน โดยให้สัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์ให้เขาอย่างมากมายมหาศาล…
แต่สุดท้ายหลินเป่ยเฉินก็ปฏิเสธ
สัญชาตญาณกำลังบอกเขาว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
อวี้เหวินซิวเซียนแสดงสีหน้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็รับมือกับความผิดหวังด้วยความสงบสุขุม เขาทิ้งคัมภีร์ทะลวงปราณเอาไว้ให้แก่หลินเป่ยเฉินหนึ่งฉบับ โดยบอกว่านี่อาจเป็นวิชาที่ช่วยให้หลินเป่ยเฉินสามารถทะลวงกำแพงขั้นจอมเทพระดับ 5 ได้สำเร็จ แม้ว่าสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเขาจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงก็ตาม
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา บรรยากาศภายในสำนักค่อนข้างอึมครึม
และในค่ำคืนนี้ หลิวอู่เหยียนผู้เป็นเจ้าสำนักกระบี่เหินฟ้าก็ไม่ได้ปรากฏตัวกลับมา
…
รุ่งเช้าวันต่อมา บรรดาผู้คนที่กำลังนอนหลับใหลพลันต้องสะดุ้งตื่นด้วยเสียงกรีดร้องสยองขวัญที่แผดดังไปทั่วยอดเขาอวิ๋นเจวี่ยน
ผู้คนรีบลนลานออกจากที่พักและพบว่าสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงกำลังพังถล่ม ปรากฏหมอกควันและฝุ่นผงคลุ้งตลบทั่วท้องฟ้า
“อาคารเหล่านั้นพังถล่มได้อย่างไร?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“บริเวณนั้นเป็นที่พักของท่านเจ้าสำนักหวังซือเฉาไม่ใช่หรือ…”
“ดูนั่นสิ นั่นคืออะไร?”
ภายใต้การเฝ้าดูของผู้คนจำนวนมาก เงาร่างสองสายพุ่งขึ้นจากยอดเขาที่พังถล่ม เงาร่างทั้งสองเคลื่อนไหวเป็นลำแสงต่อสู้กันด้วยความดุเดือด… ไม่ว่าพวกเขาเคลื่อนกายผ่านไปยังบริเวณใด สิ่งปลูกสร้างในบริเวณนั้นก็จะพังถล่มลงมาไม่เหลือชิ้นดี!
สำนักเฉาเทียนจบสิ้นแล้ว
ความคิดอันน่าสะพรึงกลัวผุดขึ้นมาในสมองของทุกคน
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นรุนแรงเสียจนทำให้ที่ตั้งของสำนักเฉาเทียน ซึ่งคงอยู่ผ่านกาลเวลามานานนับพันปีต้องพังถล่มทลายลงไป
เสียงแห่งการฆ่าฟันดังออกมาจากบริเวณที่ตั้งของสำนักเฉาเทียน
“รีบป่าวประกาศออกไป สำนักอสูรหักหลังพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกมันบุกโจมตีสำนักเฉาเทียนแล้ว…” บังเกิดเสียงของท่านเจ้าสำนักใหญ่ผู้หนึ่งตะโกนออกมาจากพื้นที่ซึ่งกำลังเกิดการต่อสู้
“เรียกระดมพล!”
“ลูกศิษย์และผู้อาวุโสทุกสำนัก รีบผนึกกำลังกันมาต้านทานศัตรูเร็วเข้า”
เสียงตะโกนยังคงดังออกมาจากพื้นที่ต่อสู้ซึ่งมีหมอกควันพวยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง
ได้ยินเสียงอสูรคำรามน่าขนลุก
การบุกโจมตีจากเผ่าพันธุ์ปีศาจเกิดขึ้นโดยที่ชาวเมืองชิงอวี้ไม่ทันตั้งตัว พวกมันแฝงตัวมากับเผ่าพันธุ์อสูรที่ตีสองหน้าบอกว่าจะยอมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายมนุษย์ แต่แท้ที่จริงแล้ว นี่เป็นกับดักมาตั้งแต่ต้น
เมื่อหลินเป่ยเฉินวิ่งออกมาจากกระท่อมเก็บฟืน เหตุการณ์ด้านนอกก็ชุลมุนวุ่นวายเต็มที่แล้ว
เขาเห็นบรรดาผู้อาวุโสและศิษย์ในสำนักจำนวนมากยืนตกตะลึง แต่ก็ยังคงเฝ้ารักษาประตูทางเข้าที่พักสำนักกระบี่เหินฟ้าด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
ช่างน่าประทับใจ
หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าตนเองสมควรพูดอย่างไรดี
“น้องเซียว…”
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินส่งเสียงตะโกนออกไป
สิ่งแรกที่เขาคิดได้คือต้องรีบตามหาตัวคนสนิทของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเซียวปิงหรืออวี้อู๋เฉียนและรีบหลบหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วมากที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับลูกหลงจากการต่อสู้ระหว่างเหล่าผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 5 และราชาอสูรที่น่าหวาดกลัว
อีกด้านหนึ่ง เซียวปิงคลานออกมาจากใต้กองซากปรักหักพังของอาคารที่พังถล่มหลังหนึ่ง