เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1564 นางพญางูน้ำ
ตอนที่ 1,564 นางพญางูน้ำ
อาวุธที่วางขายอยู่ในเถาเป่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้อื่นมองไม่เห็น ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงเข้าใจว่ากิริยาและท่าทางทั้งหมดที่หลินเป่ยเฉินแสดงออกมานั้น เป็นเพื่อการถ่วงเวลาเท่านั้น
แม้แต่ผู้คนจากสำนักกระบี่เหินฟ้าก็ไม่มีความหวังอีกแล้ว
จนกระทั่ง…
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ทันใดนั้น เสียงระเบิดกระสุนกัมปนาทดังขึ้น
แล้วลำแสงกระบี่ก็พุ่งออกมา
ม่านโลหิตสาดกระจายออกมาจากร่างของปีศาจตนหนึ่ง ดวงตาที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากเบิกโตด้วยความประหลาดใจ ร่างกายสั่นเทา ก่อนที่ปีศาจตนนั้นจะล้มลงหงายหลังลงไป…
นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันจนน่าเหลือเชื่อ
ผู้คนล้วนตกตะลึง
เว้นแต่เพียงเซียวปิง
“รีบหนี!”
เขาระเบิดเสียงคำรามชัดเจน สองแขนซ้ายขวาประคองผู้อาวุโสคนสำคัญประจำสำนักและรีบวิ่งไปยังช่องทางที่เปิดออกกว้างทันที
ผู้คนสะดุ้งตื่นจากห้วงภวังค์
“เร็วเข้า พวกเรารีบหลบหนี”
อวี้อู๋เฉียนช่วยส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความประหลาดใจ
เขาเคยเห็นหลินเป่ยเฉินสังหารชิงเหิงกับตาของตนเองมาแล้ว ดังนั้นอวี้อู๋เฉียนจึงทราบว่าการที่เด็กหนุ่มสามารถโจมตีได้อย่างหนักหน่วงรุนแรงเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
เพียงแค่อวี้อู๋เฉียนหลงลืมไปชั่วขณะก็เท่านั้น
ชายวัยกลางคนยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น
เมื่อบรรดาสัตว์อสูรที่โอบล้อมอยู่รอบข้างไม่มีการควบคุมจากปีศาจตนนั้นอีกต่อไป พวกมันก็แตกกระจายออกไปในเวลาอันรวดเร็ว
ปีศาจตาม่วงที่เหลืออีกสามตนหลุดออกจากห้วงภวังค์เช่นกัน พวกมันปล่อยพลังสะกดจิตให้บรรดาสัตว์อสูรกลับมาโจมตีกลุ่มมนุษย์อีกครั้ง
“ท่านลุงรีบหนีไปก่อน”
หลินเป่ยเฉินโยนระเบิดมือออกไปข้างหน้า
ตู้ม!
หมอกควันสีน้ำเงินระเบิดกระจายปกคลุมทั่วบริเวณ กลุ่มสัตว์อสูรถูกระเบิดเล่นงานจนอวัยวะชิ้นส่วนต่าง ๆ กระจัดกระจาย
หลังจากนั้นอีกสามลมหายใจ
ตู้ม!
คลื่นแรงระเบิดก็แผ่กระจายในวงกว้าง
หมอกควันรูปเห็ดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า กลุ่มสัตว์อสูรเปลือกแข็งที่อยู่ในรัศมีห้าสิบวากระเด็นขึ้นไปในอากาศและโปรยปรายลงมาไม่ต่างจากเกล็ดหิมะในสายลมโชย
นับว่าระเบิดมือลูกนี้มีอานุภาพรุนแรงเกินคาดคิด
พื้นดินสั่นสะเทือน
แรงระเบิดทำให้เกิดหลุมลึกกินรัศมีห้าวา
ก้อนหินที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงแตกกระจายเป็นผุยผง ต้นไม้ใบหญ้าโค่นล้มระเนระนาด
ปีศาจที่เหลืออยู่อีกสามตนนั้นมีสองตนถูกระเบิดฆ่าตาย แม้แต่ซากศพก็ไม่มีเหลือ ส่วนอีกตนหนึ่งนั้นร่างกายช่วงล่างขาดหาย บัดนี้ นอนหายใจรวยรินหมดสภาพ…
แต่มันกำลังตกตะลึงมากกว่าเจ็บปวด
เพราะนี่คือเรื่องที่มันไม่เข้าใจ
ปีศาจผู้เหลือรอดเป็นตนสุดท้ายคิดว่าตนเองไม่เห็นสัญญาณแห่งการโจมตีมาก่อน เป็นไปไม่ได้ที่ตนเองจะถูกฝ่ายตรงข้ามระเบิดพลังเข้าใส่ โดยไม่พบเห็นการสร้างค่ายอาคมหรือการโคจรพลังล่วงหน้า
“หึหึ คิดไม่ถึงเลยล่ะสิ?”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ห่างไกลออกไป ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับด้วยความเหยียดหยาม ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาดูชั่วร้ายยิ่งกว่าจอมมาร เขาโบกมือบ๊ายบายพลางกล่าวว่า “ลาก่อน”
ปัง!
เสียงปืนกัมปนาทดังขึ้นอีกครั้ง
แล้วรูโลหิตก็ปรากฏขึ้นกลางหน้าผากของปีศาจตนสุดท้าย
“เจ้า… นายท่านของข้าไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่… เก่งจริง… ก็อย่าหลบหนี… แล้วกัน…”
ศีรษะของปีศาจห้อยพับไปข้างหนึ่ง
ชีวิตดับสิ้น
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปตรวจค้นร่างกาย และพบว่าปีศาจตนนี้ไม่มีเงินทองของมีค่าติดตัวอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงเดินกลับไปหาผู้คนจากสำนักกระบี่เหินฟ้าด้วยความผิดหวังยิ่งนัก
และภายใต้การชี้แนะของผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียน พวกเขาจึงไม่เดินทางด้วยกระบี่ยักษ์อีกแล้ว แต่เลือกที่จะใช้พลังกายวิ่งผ่านผืนป่าไปแทน ผืนป่าที่หนาทึบกลายเป็นสิ่งที่ช่วยอำพรางพวกเขาจากการลาดตระเวนของเหล่าปีศาจบนท้องฟ้าได้เป็นอย่างดี
หลินเป่ยเฉินวิ่งจนเหนื่อยหอบ
ทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรได้บางอย่าง หลินเป่ยเฉินนำจักรยานเสือภูเขาออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์และกระโดดขึ้นไปขี่อย่างสบายใจ
จักรยานที่ซื้อหามาจากในโทรศัพท์มือถือ ย่อมไม่ใช่จักรยานธรรมดา
นอกจากสามารถปั่นได้ด้วยความเร็วสูงสุดแล้ว ยังไม่ต้องเหนื่อยแรงเหมือนการปั่นจักรยานทั่วไปอีกด้วย
แม้จะขี่ผ่านผืนป่าหนาทึบ แต่จักรยานก็พุ่งไปข้างหน้าได้ราบรื่นไม่ต่างจากกำลังวิ่งอยู่บนทางเรียบ
“น่าเสียดายที่เงินเราไม่พอ ไม่งั้นนะ เราจะซื้อทั้งมอเตอร์ไซค์ ซื้อรถเบนซ์ หรือจะซื้อรถถังก็ยังได้”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความเศร้า
แต่ภาพลักษณ์ของเขาดูต่างออกไปในสายตาของคนอื่น ๆ
เพราะในสายตาของผู้คนจากสำนักกระบี่เหินฟ้า หลินเป่ยเฉินเคลื่อนกายไปข้างหน้าในลักษณะที่โก่งก้นโด้งขึ้นมาทางด้านหลัง ร่างกายช่วงบนโน้มตัวไปข้างหน้า สองขาหมุนวนตลอดเวลา นับเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดพิสดาร แต่กลับมีความรวดเร็วเกินคาดคิด
มิหนำซ้ำ ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินยังดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก…
หรือว่าผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์จะมีวิธีการฝึกวิทยายุทธ์แตกต่างออกไป?
พวกเขาได้แต่คิดและวิ่งตามหลังหลินเป่ยเฉิน
การเดินทางผ่านไปในลักษณะนี้
เพียงพริบตาเดียว สองชั่วยามก็ผ่านไป
ท้องฟ้าสว่างโล่ง
ดวงตะวันค่อย ๆ ลอยตัวขึ้นจากผืนป่าอันกว้างใหญ่ อุณหภูมิพุ่งขึ้นสูง ความมืดมิดแห่งราตรีกาลถูกขจัดออกไป
ผู้คนจากสำนักกระบี่เหินฟ้าหยุดพักด้วยความเหนื่อยล้า
พวกเขาเลือกที่พักเป็นริมแม่น้ำไร้ชื่อสายหนึ่ง พื้นที่ริมน้ำมีชายป่าหนาทึบ สามารถใช้ซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี และทุกคนก็เลือกสถานที่นี้เป็นพื้นที่สำหรับการนั่งปรับพลังปราณและฟื้นฟูร่างกายของตนเอง
ผู้อาวุโสชิวเทียนจิงยังคงอยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัส
แต่ท่านเจ้าสำนักหลิวอู่เหยียนได้สติฟื้นคืนมาแล้ว
เมื่อได้รับทราบว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง หลิวอู่เหยียนก็จ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน ซึ่งหนีไปนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ที่ริมน้ำด้วยแววตาสับสน
ชายชราคิดไม่ถึงเลยว่าในโมงยามที่อันตรายมากที่สุด เด็กหนุ่มผู้ ‘ใช้การไม่ได้’ คนนี้ กลับยอมเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้คน
พิจารณาจากปากคำของอวี้อู๋เฉียน เกรงว่าการที่หลินเป่ยเฉินรับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น จะทำให้ร่างกายของเด็กหนุ่มหลุดพ้นจากคำสาปของผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์เสียแล้ว
หากเด็กหนุ่มได้รับการฝึกวิชายุทธ์อย่างจริงจัง เขาต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานอย่างแน่นอน
แม้จะเป็นวิชาฝีมือระดับพื้นฐาน แต่เมื่อไปอยู่ในมือของผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ วิชาฝีมือชนิดนั้นก็จะไม่ธรรมดาอีกต่อไป
นี่คือความน่ากลัวของผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์
แต่น่าเสียดาย
ยอดฝีมือที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์จะดำรงอยู่ในโลกใบเดียวกันถึงสองคนไม่ได้
แม้ว่าร่างกายของหลินเป่ยเฉินจะหลุดพ้นจากคำสาปของผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ แต่ชะตากรรมที่รอคอยเด็กหนุ่มอยู่ข้างหน้า ก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดีที่หลินเป่ยเฉินจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานในใต้หล้า
“ท่านอาจารย์ยังไม่ตายอีกหรือขอรับ?”
เซียวปิงเดินเข้ามาถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลิวอู่เหยียนแทบกระอักเลือดออกมาด้วยความช้ำใจ
เจ้าลูกศิษย์คนนี้นี่…
แต่อย่างไรก็ตาม หลิวอู่เหยียนกลับรู้สึกอบอุ่นใจอยู่ไม่น้อย
เพราะเขาได้รับทราบมาว่า เซียวปิงแทบยอมเสี่ยงชีวิตบุกเข้าไปช่วยเหลือตนเองในที่ตั้งของสำนักเฉาเทียน… นับว่าเจ้าเด็กที่เห็นแก่กินผู้นี้ยังเป็นลูกศิษย์ที่ใช้การได้ผู้หนึ่ง
บรรดาผู้คนในสำนักกระบี่เหินฟ้าเข้ามาห้อมล้อมหลิวอู่เหยียนเพื่อปรึกษาหารือแผนการขั้นต่อไป
หลินเป่ยเฉินนั่งใช้เท้าตีน้ำเล่นอยู่บนก้อนหินใหญ่ริมแม่น้ำก้อนหนึ่ง
เขากำลังนึกเป็นห่วงอยู่ว่าองค์ชายเจี้ยนอวี่กับเด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรหลงหน่าจะยังคงปลอดภัยดีอยู่หรือไม่ หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเลยว่าบัดนี้ทั้งสองคนมีชะตากรรมเป็นอย่างไรบ้าง?
แต่หากพูดถึงเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง…
แม้ไม่ทราบที่อยู่ของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง แต่หลินเป่ยเฉินไม่ค่อยเป็นห่วงนางสักเท่าไหร่ เพราะทราบดีว่านางคงเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว
แน่นอนว่าเขาคงย้อนกลับไปค้นหาผู้คนในขณะนี้ไม่ได้
หลินเป่ยเฉินคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับองค์ชายเจี้ยนอวี่และหลงหน่าไม่ได้มีความสนิทสนมผูกพันกันถึงขั้นนั้น
ขนาดนักพรตหญิงชินกับอากวงที่หายสาบสูญไม่ทราบชะตากรรม หลินเป่ยเฉินก็ยังข่มใจไม่กลับไปตามหา
เพราะสถานการณ์ในขณะนี้ แม้หลินเป่ยเฉินจะมีอาวุธหนักหลายชนิดอยู่ในมือ แต่พวกมันก็สามารถจัดการได้เพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่มีขั้นพลังต่ำกว่าจอมเทพระดับ 5 เท่านั้น ถ้าเกิดต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่มีพลังสูงล้ำมากกว่านั้นขึ้นมาจริง ๆ หลินเป่ยเฉินก็คงเอาตัวรอดได้ไม่ง่ายนัก
และสิ่งที่หลินเป่ยเฉินเป็นห่วงในขณะนี้ก็คือสถานการณ์โดยรวมของเมืองชิงอวี้ต่างหาก
เผ่าพันธุ์ปีศาจและสำนักอสูรร่วมมือกัน เพียงคืนเดียวทั้งเมืองก็ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง ผู้คนที่ถูกพวกมันจับตัวได้ ก็จะถูกทรมานอย่างแสนสาหัส
พวกมันจะไม่ปล่อยให้ผู้คนจากสำนักใหญ่รอดชีวิต
ในขณะนี้ นักพรตหญิงชิน อากวง เสี่ยวหูและคนอื่น ๆ คงกำลังหลบหนีกันอยู่ที่ไหนสักแห่ง
โชคร้ายที่ผู้คนเหล่านั้นไม่มีแอปวีแชต ไม่งั้นก็คงสามารถติดต่อกันได้โดยทันที…
เมื่อพูดถึงแอปวีแชต…
หลินเป่ยเฉินรีบนำโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความไปหาเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
‘ข้าไม่เป็นไร บัดนี้กำลังทำงานหาเงิน อย่าได้รบกวน’
เทพธิดาขี้เมาตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
กำลังทำงานหาเงิน?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความพิศวง
และทันใดนั้น เขาก็รู้แล้วว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกำลังทำงานหาเงินด้วยวิธีใด
ในขณะนี้ ภายในเมืองชิงอวี้เกิดความวุ่นวายโกลาหล ร้านค้าเงิน สวนผักสมุนไพร โรงรับจํานํา สถานที่เก็บสิ่งของมีค่าทั้งหลายต่างก็ถูกทิ้งร้าง นี่คือโอกาสดีที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะเข้าไปค้นหาและขโมยของมีค่าทั้งหมดออกมา นับว่านางมีสายตามองการณ์ไกลจริง ๆ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้ว หลินเป่ยเฉินก็ให้อดรู้สึกเสียดายขึ้นมาไม่ได้
เฮ้อ
ให้ตายสิ
ทำไมเขาถึงคิดไม่ได้นะ
น่าเศร้าที่กลับไปตอนนี้ก็คงไม่ทันเสียแล้ว พวกปีศาจและสำนักอสูรคงยึดครองพื้นที่ภูเขาอวิ๋นเจวี่ยนไปหมดสิ้น
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือท่าน?”
เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองและเห็นผู้อาวุโสเหลิ่งเชวี่ยนเดินเข้ามา
บัดนี้ เหลิ่งเชวี่ยนขึ้นเป็นรักษาการหัวหน้าตระกูลเหลิ่งประจำสำนักกระบี่เหินฟ้า สถานะของเขาเป็นรองก็แต่เพียงชิวเทียนจิงเท่านั้น เหลิ่งเชวี่ยนเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูง ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเข้ม ดวงตาเป็นประกาย ท่าทางน่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง
“ข้ากำลังคิดสงสัยอยู่ว่าผู้อาวุโสหนงซัวแต่งงานแล้วหรือยังน่ะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงทุกข์ใจ
เหลิ่งเชวี่ยนถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มกว้าง “ศิษย์น้องของข้าผู้นี้มีความเย่อหยิ่งในตนเองมากเกินไป นางหมกมุ่นอยู่กับวิชาการปรุงสมุนไพร ตอนที่บิดามารดาของนางยังมีชีวิตอยู่เมื่อหลายปีก่อน พวกท่านได้หาเจ้าบ่าวที่เหมาะสมมาแต่งงานกับนาง แต่นางก็ปฏิเสธ บัดนี้ บิดามารดาก็ตายไปแล้วจึงไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมนางได้อีกต่อไป… น้องชาย หากท่านสนใจศิษย์น้องของข้าผู้นี้ ท่านก็ต้องหมั่นศึกษาวิชาการปรุงสมุนไพรเข้าไว้ มีอะไรขาดเหลือข้าสามารถช่วยท่านได้เสมอ”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เขาแค่ล้อเล่นเท่านั้น
คิดไม่ถึงเลยว่าชายวัยกลางคนผู้นี้กลับคิดขายศิษย์น้องของตนเองจริง ๆ
ดูเหมือนพวกเขาคงมีชะตาผูกพันกันเสียแล้วสิ
“เมื่อคืนนี้ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากน้องชายมากแล้ว”
เหลิ่งเชวี่ยนชวนสนทนาต่อไปด้วยความคล่องแคล่ว “เมื่อสักครู่ ท่านเจ้าสำนักตัดสินใจแล้ว พวกเราจะเดินทางกลับไปที่สำนักกระบี่เหินฟ้าและอยากจะเชิญน้องชายกลับไปพร้อมกัน…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
ตู้ม!
เงาดำก็พุ่งขึ้นมาจากแม่น้ำอย่างไม่มีสัญญาณเตือน มันมีลักษณะคล้ายหนวดปลาหมึก พุ่งเข้ามาตวัดรัดพันร่างกายของเหลิ่งเชวี่ยน ก่อนจะลากชายวัยกลางคนลงน้ำหายไปในพริบตา
หลินเป่ยเฉินขนลุกขนชันไปทั้งตัว
ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักกระบี่เหินฟ้าถูกลากตัวลงน้ำไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร?
“ท่านพี่ระวังตัว…”
เสียงตะโกนของเซียวปิงดังขึ้นด้วยความร้อนรน
หลินเป่ยเฉินไม่คิดอะไรอีกแล้ว เขารีบหมุนตัวกลับหลังโดยทันที…
หูได้ยินเสียงหนวดปลาหมึกแหวกสายลมตามมาทางด้านหลัง
แล้วหินก้อนใหญ่ที่เขาเพิ่งนั่งอยู่เมื่อสักครู่ ก็ถูกหนวดปลาหมึกเส้นนั้นลากลงน้ำไปในพริบตาต่อมา
“นี่มันสัตว์อสูร”
ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนร้องตะโกน “รีบหนีออกมาจากริมน้ำ เร็วเข้า”
หลินเป่ยเฉินกระโดดขึ้นขี่จักรยาน
ปั่นหนีออกมาจากริมแม่น้ำ
บรรดาผู้คนจากสำนักกระบี่เหินฟ้ามีสีหน้าเคร่งเครียด
“แม้แต่นางพญางูน้ำก็มาด้วยหรือ?”
หลิวอู่เหยียนสูดลมหายใจลึก แขนเสื้อซ้ายปลิวไสวตามแรงลม ชายชราก้าวออกไปข้างหน้า บดบังสายตาของผู้คนและกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ในเมื่ออุตส่าห์ไล่ตามมาถึงที่นี่ทั้งที เหตุไฉนจึงไม่ปรากฏตัวออกมาเล่า?”