เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1578 ชั้นเรียนของนักพรตหญิงชิน
ตอนที่ 1,578 ชั้นเรียนของนักพรตหญิงชิน
เหออู่ซางทุบตีบุตรชายตนเอง หากเป็นในอดีต นี่คงเป็นเรื่องราวใหญ่โตที่ผู้คนจากสำนักอื่น ๆ คงอยู่เฉยไม่ได้
แต่บัดนี้ ผู้คนที่อยู่ในถ้ำใต้ดินไม่แม้แต่ชำเลืองมองไปยังคู่พ่อลูกแล้วด้วยซ้ำ
แต่พวกเขาจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้หรือคือผู้สังหารปีศาจเหยียนซาน
ต้องเข้าใจก่อนว่าปีศาจเหยียนซานคือผู้แข็งแกร่งที่คอยช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ปีศาจและสำนักอสูรมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี ขอบเขตพลังในปัจจุบันอยู่ในขั้นจอมปีศาจระดับ 9
แล้วปีศาจเหยียนซานจะถูกเด็กหนุ่มผู้นี้สังหารตายในกระบวนท่าเดียวได้อย่างไร?
หากเรื่องนี้ไม่ได้กล่าวออกมาจากปากของหลิวอู่เหยียน ผู้คนคงเข้าใจว่านี่คือเรื่องตลกจากปากคำของคนเสียสติ
แต่บัดนี้ แม้ทุกคนไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว
การดำรงอยู่ของยอดฝีมือที่สามารถสังหารได้แม้แต่จอมปีศาจระดับ 9 คือความหวังแห่งการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในเวลานี้
เพราะฉะนั้น สายตาของผู้คนจึงจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ข้าเพียงโชคดีน่ะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจถ่อมตัวและอธิบายต่อไป “ตอนที่ข้าไปถึง ปีศาจเหยียนซานต่อสู้อยู่กับท่านเจ้าสำนักหลิวได้หนึ่งชั่วยามแล้ว ตัวมันได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าก็เลยสามารถเข้าไปลอบโจมตีได้สำเร็จ”
ลอบโจมตีปีศาจเหยียนซานผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลายคนทบทวนคำพูดประโยคนี้
แต่ถึงกระนั้น…
ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
เพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินว่าจะมีผู้ใดสามารถเข้าไปลอบโจมตีจอมปีศาจระดับ 9 สำเร็จมาก่อน
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป อย่าว่าแต่เข้าไปลอบโจมตีเลย ขอเพียงมีความคิดที่จะลอบโจมตีเท่านั้น ก็คงถูกฆ่าตายโดยไม่ทันได้ชักกระบี่ด้วยซ้ำ
“คุณชายหลิน พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
เหอเจิ้งชิงผู้อาวุโสใหญ่แห่งค่ายภูเขาอวิ๋นอู่ก้าวออกมาประสานมือทำความเคารพและกล่าวต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้มประจบประแจงว่า “ต้องขอบคุณคุณชายหลินที่ช่วยสังหารปีศาจเหยียนซานให้แก่พวกเรา”
“ขอบคุณคุณชายหลินที่ช่วยสังหารปีศาจเหยียนซานให้แก่พวกเรา”
โจวเหมยอวี่จากสำนักกระบี่ทะลวงตะวันเดินเข้ามาประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินเช่นกัน
“ท่านคงเป็นบุรุษที่ศิษย์น้องชินคิดถึงจับใจผู้นั้นสินะ”
ฉู่หลิวซูจากค่ายน้ำอ่าวจันทราผู้เป็นหญิงงามมีกิริยาอ่อนหวานเดินเข้ามาประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความปลื้มปีติ “บัดนี้ ศิษย์น้องชินกลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของค่ายน้ำเรา ในการประลองครั้งที่แล้ว หากนางไม่ได้กักตัวเพื่อหลอมรวมพลัง ศิษย์น้องชินก็คงมีชื่ออยู่ในกลุ่มยอดฝีมือสามอันดับแรกแล้ว”
“น้องหลิน การฆ่าปีศาจของเจ้าในครั้งนี้ คือการช่วยเหลือมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง”
ต้าเหยียนไห่จากสำนักดาบทมิฬก็ก้าวออกมาคำนับเด็กหนุ่มเช่นกัน
หลังจากนั้น บรรดาคนใหญ่คนโตต่างก็ก้าวเดินออกมาทำความเคารพหลินเป่ยเฉินไม่ขาดสาย
หลินเป่ยเฉินตอบรับทุกคนด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน
เด็กหนุ่มไม่อยากทำตัวโดดเด่นมากเกินไป
เพราะเขาไม่อยากจะถูกคัดเลือกให้ออกไปเป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องร่วมการประลองระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์อสูรที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสามวันต่อจากนี้
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธคำเชิญของบรรดาท่านเจ้าสำนักและไม่ร่วมประชุมแผนการขั้นต่อไป เพราะเขาเลือกที่จะใช้เวลานั้นพาเซียวปิงมานั่งพูดคุยกับนักพรตหญิงชิน อากวง เสี่ยวหูและหวังจงที่มุมหนึ่งของอุโมงค์ใต้ดิน
องค์ชายเจี้ยนอวี่เฝ้าดูกลุ่มคนเดินแยกตัวไปด้วยความอิจฉาริษยา
หลงหน่าเห็นอาการขององค์ชายเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ทราบว่าองค์ชายรู้สึกอย่างไร แต่นางก็ลากเขาเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วยจนได้
ส่วนผู้คนจากสำนักต่าง ๆ ได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
กลุ่มสหายเก่าเมื่อได้กลับมาพบหน้ากันในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็ได้แต่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันอย่างตื่นเต้น
แม้เวลาที่แยกจากกันจะผ่านไปเพียงเดือนเดียวเท่านั้น แต่ทุกคนก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
หลงหน่ากับเซียวปิงผู้มีสายเลือดขั้นสูงสุดสามารถเลื่อนพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 4 ได้สำเร็จ
แม้ว่านักพรตหญิงชินจะไม่ได้มีสายเลือดขั้นสูงสุด แต่ด้วยวิสัยทัศน์และความชาญฉลาดของนาง สุดที่รักของหลินเป่ยเฉินผู้นี้ ก็สามารถขึ้นสู่ขั้นจอมเทพระดับ 4 ได้แล้วเช่นกัน
ส่วนคนที่เหลืออยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 3
ในเวลาหนึ่งเดือนที่แยกจากกัน การขึ้นสู่ขั้นจอมเทพระดับ 3 ได้สำเร็จ ก็นับว่าเป็นเรื่องราวที่น่าตกตะลึงมากแล้ว
ปัจจัยสำคัญก็คือก่อนหน้านี้ ทุกคนได้รับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ร่างกายจึงมีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้คนทั่วไปหลายเท่า
ร่างกายที่สมบูรณ์ ทรัพยากรที่เพียบพร้อม คัมภีร์ที่ทรงคุณค่า
บวกด้วยสายเลือดประจำตัว
องค์ประกอบทั้งสี่อย่างนี้คือสิ่งที่สร้างปาฏิหาริย์ให้แก่ผู้ฝึกยุทธ์
เพราะฉะนั้น แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่สำหรับคนกลุ่มนี้ พวกเขากลับสามารถฝึกวิชาได้คืบหน้าไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ที่ใช้เวลาฝึกฝนหลายสิบปี
“การประลองที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ พวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้เด็ดขาด ทุกคนจงตั้งสติเอาไว้ให้ดี โปรดเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าเอาคอไปพาดไว้บนเขียงโดยไม่จำเป็น”
หลินเป่ยเฉินกระซิบบอกแผนการของตนเองด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เด็กหนุ่มแต่งตั้งตนเองเป็นผู้กำหนดแผนการขั้นต่อไป
ถึงแม้หลินเป่ยเฉินจะไม่กำชับออกมาเช่นนี้ แต่ทุก ๆ คนก็รู้ดีว่าด้วยขั้นพลังของตนเองในปัจจุบันคงช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้มากนัก การประลองที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้น นับเป็นสิ่งที่พวกของหลินเป่ยเฉินเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้จริง ๆ
การแยกจากกันหนึ่งเดือนทำให้พวกเขาคิดถึงกันมากขึ้น
อากวงตื่นเต้นมากที่ได้พบเจอหลินเป่ยเฉิน
ส่วนเจ้าเสืออสูรผู้เป็นลูกเลี้ยงของมันก็มีท่าทางสงบสุขุมมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“ข้าพบเจอเบาะแสของคัมภีร์ชุบวิญญาณแล้ว แต่ผู้ที่จะฝึกวิชานี้ได้จำเป็นต้องมีสายเลือดจอมเวท เพราะมีแต่ผู้ที่มีสายเลือดจอมเวทเท่านั้น จึงจะสามารถนำวิญญาณคนตายกลับคืนสู่การมีชีวิตได้อีกครั้ง”
นักพรตหญิงชินกล่าว
“จริงหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความดีใจ
ก่อนหน้านี้ เขาก็คิดถึงการปรุงยาชุบชีวิตคนตายอยู่เช่นกัน แม้ในมือจะมีใบไม้คืนวิญญาณ แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่รู้เลยว่ามันสามารถนำมาใช้งานอย่างไรได้บ้าง
และหลินเป่ยเฉินไม่ทราบด้วยซ้ำว่าผู้ที่มีสายเลือดจอมเวทอะไรนั่นจะสามารถเรียกวิญญาณคนตายกลับคืนมาได้อย่างไร…
หลินเป่ยเฉินจึงตัดสินใจจะลองทำดูทั้งสองอย่าง
“และหากเจ้าเลื่อนขั้นพลังขึ้นสู่ขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เมื่อไหร่ เราก็จะสามารถเปิดประตูมิติจากที่นี่ เดินทางกลับสู่แผ่นดินตงเต้าได้ตลอดเวลา”
นักพรตหญิงชินกล่าวออกมาอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไรขอรับ?”
นักพรตหญิงชินชำเลืองมองหน้าทุกคนและอธิบายอย่างช้า ๆ “ข้าเพิ่งทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับระบบยี่สิบสี่สายเลือดของผู้คนที่นี่ พวกเขาจะแบ่งแยกสายเลือดตามประเภทสายวิชาที่ฝึกฝน ซึ่งประกอบไปด้วยสายเลือดที่ 1 สายเลือดศักดิ์สิทธิ์… สายเลือดที่ 2 สายเลือดผู้คงกระพัน สายเลือดที่ 3 สายเลือดนักปรุงยา สายเลือดที่ 4 สายเลือดผู้ใช้พิษ สายเลือดที่ 5 สายเลือดอสูร สายเลือดที่ 6 สายเลือดผู้อัญเชิญ”
“สายเลือดที่ 7 สายเลือดผู้แปรธาตุ สายเลือดที่ 8 สายเลือดปีศาจ สายเลือดที่ 9 สายเลือดผู้ท่องกาลเวลา สายเลือดที่ 10 สายเลือดผู้แปลงกาย สายเลือดที่ 11 สายเลือดนักปราชญ์ สายเลือดที่ 12 สายเลือดผู้บ้าคลั่ง สายเลือดที่ 13 สายเลือดผู้ใช้เงา สายเลือดที่ 14 สายเลือดผู้รักษา สายเลือดที่ 15 สายเลือดผู้ใช้แสงสว่าง”
“สายเลือดที่ 16 สายเลือดนักดูดาว สายเลือดที่ 17 สายเลือดจอมเวท สายเลือดที่ 18 สายเลือดนักพฤกษา สายเลือดที่ 19 สายเลือดผู้ใช้วายุ สายเลือดที่ 20 สายเลือดผู้ควบคุมสัตว์อสูร สายเลือดที่ 21 สายเลือดผู้บรรเทา สายเลือดที่ 22 สายเลือดผู้ใช้ค่ายกล สายเลือดที่ 23 สายเลือดผู้กลืนกิน และสายเลือดที่ 24 สายเลือดแห่งผู้ใช้ราคะ…”
นักพรตหญิงชินกล่าวทั้งหมดนี้ออกมารวดเดียวจบ ก่อนจะหยุดชะงัก รอคอยให้ทุกคนซึมซับข้อมูล
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้รู้รายชื่อยี่สิบสี่สายเลือดอะไรนั่นของผู้คนในแดนมหาแผ่นดิน
เพียงฟังชื่อแต่ละสายเลือด หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าแต่ละสายเลือดเหล่านั้นมีความสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง
เมื่อทุกคนซึมซับข้อมูลจนเข้าใจหมดแล้ว นักพรตหญิงชินก็อธิบายต่อไป “จากนี้ไปจะเป็นข้อมูลที่สำคัญมาก ทุกคนต้องทำความเข้าใจเอาไว้ให้ดี เพราะมันจะมีบทบาทสำคัญในการเลื่อนขั้นพลังของพวกเรา”
“มันคืออะไรหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัยและกระตือรือร้น
นักพรตหญิงชินตอบว่า “สิ่งที่เรียกว่าระบบสายเลือดนี้ จะไม่แบ่งแยกว่าแต่ละคนมีสายเลือดอยู่ในระดับใด เพราะผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ต่างก็มีสายเลือดอยู่ในระดับเศษดินแทบทั้งสิ้น น้อยมากที่จะพบเจอผู้คนซึ่งมีสายเลือดอยู่ในขั้นกลางหรือขั้นสามัญ… ไม่ทราบว่าพวกเจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”
ชั้นเรียนของนักพรตหญิงชินเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับอย่างใช้ความคิด
เขาได้แต่บอกว่าตนเองดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ
หลงหน่าพลันถามขึ้นมาว่า “มันเกี่ยวพันกับการทดสอบสายเลือดของพวกเราก่อนหน้านี้สินะเจ้าคะ?”
นักพรตหญิงชินหันกลับไปมองหน้าหลงหน่าด้วยแววตาของคุณครูที่ชื่นชมเด็กที่ตั้งใจเรียน ก่อนอธิบายต่อ “สายเลือดขั้นกากเดน สายเลือดขั้นเศษดิน สายเลือดขั้นสามัญ สายเลือดขั้นกลาง สายเลือดขั้นสูง และสายเลือดขั้นสูงสุด… ทั้งหมดเพียงถูกใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น…”
“ข้อมูลอ้างอิง?”
องค์ชายเจี้ยนอวี่มีสีหน้าเหมือนเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
นักพรตหญิงชินผงกศีรษะและกล่าวต่อ “สายเลือดที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกายของคนเรานั้น ยิ่งมีระดับชั้นสูงมากเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งฝึกฝนวิทยายุทธ์ได้แข็งแกร่งมากเท่านั้น การตรวจสอบระดับชั้นสายเลือดของสำนักต่าง ๆ จึงเป็นการคัดแยกผู้แข็งแกร่งในขั้นแรก พวกมันคือการบ่งชี้แนวโน้มว่าแต่ละคนจะสามารถพัฒนาฝีมือไปได้ไกลมากเพียงใด ยิ่งมีสายเลือดอยู่ในระดับสูง ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะกลายเป็นยอดฝีมือในอนาคต และสำหรับผู้ที่มีสายเลือดกากเดน ก็คือผู้ที่มีโอกาสเติบโตน้อยที่สุด”
อากวงนำกระดานชนวนออกมาจดข้อมูลมือเป็นระวิง
เสี่ยวหูกางหูรับฟังอย่างตั้งใจ
หลินเป่ยเฉินเองก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้วเช่นกัน
นักพรตหญิงชินเริ่มต้นการสอนของนางอีกครั้ง “บุคคลแรกที่คิดค้นระบบสายเลือดเหล่านี้ขึ้นมาก็คือองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เขาเรียกรูปแบบการฝึกฝนวิชาของตนเองว่าสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงคิดค้นสายเลือดชนิดอื่น ๆ ตามมา สุดท้าย มันก็กลายเป็นระบบยี่สิบสี่สายเลือดที่ผู้คนในแดนมหาแผ่นดินใช้ฝึกวิชากันเรื่อยมา”
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
กล่าวให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้คิดค้นระบบสายเลือด เขากำหนดยี่สิบสี่สายเลือดหลักขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนได้เลือกตามใจชอบว่าจะฝึกวิชาประเภทใด
โดยวิชาแต่ละประเภทนั้นจะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของมันสมองและความสามารถของแต่ละคน ว่าจะสามารถฝึกฝนไปได้ไกลมากแค่ไหน
องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ต้องเป็นพวกเขียนนิยายแนวระบบแฟนตาซีกลับชาติมาเกิดแน่ ๆ
นักพรตหญิงชินหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวต่ออีกครั้ง “การฝึกวิชาของมนุษย์ในแดนมหาแผ่นดินจะใช้ระดับชั้นของสายเลือดเป็นข้อมูลอ้างอิงหลัก แต่เมื่อบรรลุขั้นจอมเทพระดับ 5 ไปแล้วต่างหาก การฝึกฝนที่แท้จริงถึงจะเริ่มขึ้น มีแต่ต้องขึ้นสู่ขั้นจอมเทพระดับ 5 เท่านั้น ผู้คนถึงจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง”
“และนี่เองก็มาถึงขั้นตอนที่เปลี่ยนปราณจำแลงให้กลายเป็นปราณแท้จริง ผู้ฝึกยุทธ์โดยส่วนใหญ่ในเมืองชิงอวี้มักจะมาติดขัดอยู่ที่ขั้นตอนนี้ และนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างจอมเทพระดับ 4 กับจอมเทพระดับ 5 แม้ท่านเจ้าสำนักและบรรดาผู้อาวุโสจำนวนมากจะได้รับการยกย่องให้เป็นยอดฝีมือ แต่ทุกคนก็มีพลังอยู่เพียงขั้นจอมเทพระดับ 4 เท่านั้น… การจะหาผู้ที่สามารถบรรลุขั้นจอมเทพระดับ 5 ได้นั้นถือเป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่ง ด้วยเหตุนี้ หากจะกล่าวว่าท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหลายเปรียบดั่งกบในกะลาก็คงไม่ผิดนัก”
หวังจงรีบพูดขึ้นมาว่า “ชู่! เบา ๆ หน่อยขอรับ”
คำพูดเช่นนี้หากลอยไปเข้าหูบรรดาคนใหญ่คนโตที่อยู่ภายในถ้ำใต้ดิน มีหวังได้เกิดปัญหาขึ้นแน่ ๆ
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบใช้ความคิดบางอย่าง
อวี้อู๋เฉียนเคยพูดถึงเรื่องปราณจำแลงปราณแท้จริงอะไรนั่นมาแล้ว
นักพรตหญิงชินกล่าวต่อไป “เมื่อบรรลุขั้นจอมเทพระดับ 5 สามารถเปลี่ยนปราณจำแลงให้กลายเป็นปราณแท้จริง พลังในการต่อสู้ก็จะเพิ่มมากขึ้น โอกาสที่จะได้เลื่อนขึ้นสู่ขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มีมากขึ้น และเมื่อบรรลุขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็จะได้ก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ โลกที่มีแต่ผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง บัดนี้ เจ้ารับประทานโอสถวิเศษที่กักเก็บพลังของแผ่นดินตงเต้าเอาไว้ แผ่นดินตงเต้าจึงเปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเจ้า เพียงตั้งสมาธินึกถึงแผ่นดินตงเต้าเท่านั้น เจ้าก็จะสามารถเปิดประตูมิติกลับไปที่นั่นได้ทันที”
ข้อมูลในส่วนหลัง นางกล่าวต่อหลินเป่ยเฉินเป็นพิเศษ
เพราะมีแต่บรรลุขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น หลินเป่ยเฉินจึงจะมีความหวังกลับไปช่วยเหลือพวกของฉู่เหิน เฉียนเหมย เฉียนเจินและคนอื่น ๆ ที่แผ่นดินตงเต้า
นักพรตหญิงชินใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือน ก็สามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมด นำมาสร้างเป็นแผนการขั้นต่อไปได้แล้ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามัวทำอะไรอยู่นะ?
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าหากเขาขึ้นสู่ขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ เขาก็อาจเปิดประตูมิติเดินทางไปตามหาหลิงเฉินอย่างที่เคยได้ให้คำสัญญาแก่นางไว้
เมื่อมีนักพรตหญิงชินคอยช่วยสรุปข้อมูลให้เข้าใจง่าย ๆ หลินเป่ยเฉินจึงเข้าใจทุกอย่างได้ไม่ยากเย็น
สิ่งสำคัญสูงสุดในขณะนี้คือ เขาต้องรีบเลื่อนขั้นพลังให้ได้โดยเร็วที่สุด
การเลื่อนขั้นพลังไม่เพียงแต่จะทำให้หลินเป่ยเฉินมีความแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
แต่มันยังส่งผลต่อชีวิตของคนอื่น ๆ อีกด้วย
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 4 เขาต้องรีบหาทางเลื่อนขึ้นสู่ขั้นจอมเทพระดับ 5 และปลดผนึกพลังปราณแท้จริงให้ได้โดยเร็วที่สุด!!