เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1580 ลูกศิษย์และอาจารย์
ตอนที่ 1,580 ลูกศิษย์และอาจารย์
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหากไม่มีหลินเป่ยเฉินสักคน พวกเราจะเอาชนะการประลองไม่ได้ พวกเรามีตั้งสิบเอ็ดสำนักเชียวนะ เท่ากับว่าได้รับสิทธิ์การประลองสิบเอ็ดรอบ ขอแค่ชนะได้หกคู่ก็สามารถขับไล่ปีศาจพวกนั้นออกไปได้แล้ว”
เหออู่ซางหัวหน้าค่ายภูเขาอวิ๋นอู่หัวเราะเยาะและกล่าวต่อไป “ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ค่ายภูเขาเราจะไม่มีทางส่งคัมภีร์ประจำค่ายให้แก่คนนอกเด็ดขาด”
“ถูกต้อง พวกเราจะไว้ใจหลินเป่ยเฉินมากเกินไปไม่ได้เป็นอันขาด ต้องอย่าลืมว่าที่มาที่ไปของคนผู้นี้เป็นปริศนา บางทีเขาอาจเป็นสายลับของเผ่าพันธุ์ปีศาจแฝงตัวมาก็เป็นได้” นักบวชสวีจิงแห่งวิหารซั่วหูก็กล่าวออกมาเช่นกัน
โจวโจ่วหัวหน้าพรรคกระบี่เลื่อมพรายขมวดคิ้วและถามว่า “แต่หลินเป่ยเฉินสังหารปีศาจเหยียนซานนะ แล้วเขาจะเป็นสายลับได้อย่างไร?”
เหออู่ซางตอบกลับไปว่า “เหยียนซานเป็นพวกเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยม บางทีนี่อาจเป็นเพียงกลอุบายก็ได้ มันตั้งใจจะใช้ความตายของตนเอง ทำให้พวกเราเชื่อใจหลินเป่ยเฉินไงล่ะ”
หลิวอู่เหยียนรับฟังดังนั้นก็ได้แต่ส่ายศีรษะและถอนหายใจออกมา
นับว่าบรรดาผู้คนในเมืองชิงอวี้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขมานานมากเกินไปจริง ๆ กลุ่มเจ้าสำนักเหล่านี้ปราศจากจิตวิญญาณของผู้กล้าหาญและผู้เสียสละ ราวกับไม่เห็นความสำคัญของสถานการณ์ในขณะนี้สักนิด
สถานการณ์ในขณะนี้บีบบังคับให้พวกเขาไม่มีทางเลือก นอกจากยอมร่วมมือกับหลินเป่ยเฉินเท่านั้น
“เป็นพวกเราเกือบจะหลงกลเด็กหนุ่มผู้นี้เสียแล้ว”
เหยียนซานซิงหัวหน้าสำนักดาบทมิฬกล่าวขึ้น “หากพวกเรายอมส่งมอบคัมภีร์ประจำสำนักให้แก่หลินเป่ยเฉิน แม้เขาจะสามารถเอาชนะปีศาจเหล่านั้นได้จริง และทำให้ปีศาจพวกนั้นถอนกำลังออกไปได้จริง แต่เหตุการณ์ต่อจากนั้นเล่า? หลินเป่ยเฉินจะกลายเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบครองสิบเอ็ดยอดคัมภีร์ของสิบเอ็ดสำนักใหญ่ แล้วในอนาคต ยังจะมีผู้ใดสามารถควบคุมเขาได้อีก?”
ระหว่างที่รับฟังการสนทนามาจนถึงบัดนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่แห่งค่ายภูเขาอวิ๋นอู่เหอเจิ้งชิงก็อดหัวเราะด้วยความขมขื่นออกมาไม่ได้
คนเหล่านี้เรียกตนเองว่าเป็นเจ้าสำนักผู้กุมชะตาชีวิตผู้คนในเมืองชิงอวี้ แต่กลับมีวิสัยทัศน์ตื้นเขินมากเกินไป
การประลองยังไม่ทันจะเริ่ม พวกเขาก็กลัวว่าจะควบคุมหลินเป่ยเฉินไม่ได้เสียแล้ว…
นี่บรรดาท่านเจ้าสำนักเหล่านี้เข้าใจว่าตนเองจะสามารถเอาชนะปีศาจเหล่านั้นในการประลองได้จริง ๆ หรือ?
หลิวอู่เหยียนพยายามเกลี้ยกล่อมทุกคน
ให้เห็นถึงความจริงของสถานการณ์สุดอันตรายที่พวกเขาต้องพึ่งพาหลินเป่ยเฉิน
“ไม่เป็นไรหรอกท่าน พวกเรามีโอกาสต่อสู้ตั้งสิบเอ็ดรอบ เราสามารถปรับเปลี่ยนแผนการได้ตลอดเวลา สมมติว่าหากคู่ต่อสู้เป็นราชาอสูรวาฬ เราก็แค่ขอยอมแพ้ไปเท่านั้น ตราบใดที่เราชนะได้หกรอบ เพียงเท่านั้นก็พอแล้ว…”
นักบวชสวีจิงแห่งวิหารซั่วหูกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายสบายใจ
สุดท้าย กลุ่มหัวหน้าสำนักใหญ่ก็ยังไม่ได้ข้อตกลงที่แน่ชัด
พวกเขาแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย
วิหารซั่วหู ค่ายภูเขาอวิ๋นอู่ และสำนักดาบทมิฬ เป็นฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของหลินเป่ยเฉิน
ส่วนสำนักอื่น ๆ ที่นำโดยหลิวอู่เหยียนตัดสินใจรับข้อเสนอของเด็กหนุ่ม
แต่เนื่องจากสามสำนักแรกยืนกรานที่จะคัดค้านข้อเสนอของหลินเป่ยเฉิน พวกเขาจึงไม่ได้บทสรุปที่ลงตัวเสียที
หลิวอู่เหยียนจึงต้องแบกหน้ากลับไปพบหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
“สหายน้อย เราผู้เฒ่าไม่ใช่หวังซือเฉา เราไม่สามารถเปลี่ยนใจเจ้าสำนักทั้งสามคนนั้นได้…” เมื่อหลิวอู่เหยียนกล่าวถึงผลลัพธ์ที่ออกมา ใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวด้วยความอับอาย
นอกจากนี้ พวกเขายังวางแผนจะให้หลินเป่ยเฉินเข้าร่วมการประลอง เพื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายปีศาจอีกด้วย
ความจริง ไม่เคยมีผู้ใดยึดถือหลินเป่ยเฉินเป็นยอดอัจฉริยะมาก่อน นับตั้งแต่ก้าวแรกที่เด็กหนุ่มเดินออกมาจากป่าฝนเขียว หลายคนก็ดูถูกดูแคลนเขาและไม่เคยใส่ใจหลินเป่ยเฉินแม้แต่น้อย
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือสำนักกระบี่เหินฟ้าอย่างสุดความสามารถ และบัดนี้ผู้คนยังมารบกวนเด็กหนุ่มเช่นนี้อีก... ยามกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมา หลิวอู่เหยียนจึงรู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องเข้าร่วมการประลองอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องลับด้วยสีหน้าเยือกเย็นและตอบตกลงโดยไม่ลังเล
ทุกอย่างไม่ได้อยู่เหนือการคาดคิดของเขา
คนบางคนไม่เห็นโลงศพก็ไม่หลั่งน้ำตา
นี่ไม่เกี่ยวกับสถานะและความรู้
แต่เกี่ยวข้องกับความเห็นแก่ตัวเท่านั้น
ในชาติภพที่แล้วของหลินเป่ยเฉิน เขาเคยเรียนรู้เรื่องความเห็นแก่ตัวของผู้คนในยุคล่มสลายของราชวงศ์หมิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
ในรัชสมัยการปกครองขององค์จักรพรรดิลำดับที่สิบเจ็ดแห่งราชวงศ์หมิง เมืองปักกิ่งได้ถูกปิดล้อมจากกองทัพฝ่ายกบฏ จักรพรรดิฉงเจินได้ออกคำสั่งให้เหล่าเสนาบดีแห่งกรมกองทหารและเหล่าขุนนางใหญ่ทั้งหลายบริจาคเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อนำมาใช้เป็นงบในการป้องกันเมืองจากการถูกบุกรุก แต่เสนาบดีเหล่านั้นกลับปฏิเสธโดยอ้างว่าตนเองนั้นก็ยากจนเช่นกัน บางคนบริจาคเงินเพียงไม่กี่ร้อยตำลึงเท่านั้น
สุดท้าย เมื่อเมืองหลวงถูกตีแตกพ่าย กองทัพฝ่ายกบฏก็พบว่าครอบครัวของเสนาบดีที่อ้างตนว่าเป็นคนยากจนนั้น แท้จริงพวกเขามีฐานะร่ำรวยและซุกซ่อนทรัพย์สมบัติไว้เป็นจำนวนมหาศาล…
หลินเป่ยเฉินนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นขึ้นมาทันที
เมืองถูกตีแตกพ่าย ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย ครอบครัวแตกสลาย บ้านช่องพังพินาศ แล้วเงินทองเหล่านั้นยังจะมีค่าอันใดอีก? เหล่าเสนาบดีพยายามจะยกทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดให้แก่กองทัพฝ่ายกบฏ แต่สุดท้าย พวกเขาก็ถูกฝ่ายกบฏจับตัวไปทรมานจนตายอยู่ดี
แล้วการกระทำของวิหารซั่วหู ค่ายภูเขาอวิ๋นอู่และสำนักดาบทมิฬนั้น แตกต่างจากการกระทำของกลุ่มเสนาบดีชั่วในยุคราชวงศ์หมิงตอนปลายอย่างไร?
หลิวอู่เหยียนยิ้มออกมาด้วยความดีใจเมื่อได้ยินว่าหลินเป่ยเฉินตกลงช่วยเหลือ
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “เหตุผลที่ข้าเข้าร่วมการประลองนั้น เพราะข้าก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน แม้ข้าจะไม่ใช่คนของเมืองชิงอวี้ แต่ท่านเจ้าสำนักหลิว ผู้อาวุโสอวี้ รวมถึงผู้อาวุโสหนงต่างก็ดูแลข้าเป็นอย่างดี นี่คือบุญคุณที่ข้าหลินเป่ยเฉินคนนี้ต้องทดแทนขอรับ”
หลิวอู่เหยียนถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าโศก “โชคร้ายที่ข้ามีตาหามีแววไม่ หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ในวันที่เจ้าเดินออกมาจากป่าฝนเขียว สำนักกระบี่เหินฟ้าเราคงพยายามช่วยเหลือสหายน้อยให้ฝึกวิทยายุทธ์ให้ได้มากที่สุดแล้ว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายชราก็ยื่นสุดยอดคัมภีร์ประจำสำนักกระบี่เหินฟ้า คฤหาสน์เซินซุย พรรควารีพิฆาต เกาะมังกรฟ้า ค่ายน้ำอ่าวจันทรา และสำนักอื่น ๆ รวมแล้วแปดสำนักมอบให้แก่หลินเป่ยเฉิน
นอกจากนี้ ยังมีเงินอีกเจ็ดพันตำลึง เครื่องประดับและอัญมณีอีกส่วนหนึ่ง เช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์หายากของสมุนไพรวิเศษอีกแปดชนิด
สิ่งของทั้งหมดถูกส่งมอบให้แก่หลินเป่ยเฉิน
เงินทองของมีค่าเป็นเพียงสิ่งของนอกกาย
มันไม่มีค่าสำหรับคนตาย
สำหรับผู้ที่ถูกจับตัวเป็นนักโทษในขณะนี้ พวกเขาต่างก็ยินดีส่งมอบสิ่งของทั้งหมดให้แก่หลินเป่ยเฉินด้วยความเต็มใจ
…
ลึกเข้าไปในถ้ำถล่มฟ้า
ชั้นใต้ดินด้านล่างยังคงเป็นที่ตั้งของคุกใต้ดินอันซับซ้อน
ชายชราร่างผอมผู้มีใบหน้าราบเรียบธรรมดาสวมใส่เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนคราบเลือดผู้หนึ่ง มีเข็มแหลมถึงเจ็ดเล่มทิ่มแทงอยู่ตามหัวไหล่ หน้าอกและช่วงท้อง ทว่าใบหน้าของเขายังสงบสุขุม ชายชรานั่งอยู่หน้ากระดานหมากรุก โดยที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นอสูรร่างยักษ์อวบอ้วน ร่างกายมีขนาดใหญ่โตมากกว่ามนุษย์สามเท่า ผิวหนังของมันมีสีน้ำเงินเข้ม กำลังเล่นหมากรุกกับชายชราอย่างสนุกสนาน
แอ๊ด!
เสียงประตูเหล็กถูกเปิดออก
บุรุษหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีขาวก้าวเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า ในมือถือถาดอาหารเข้ามาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เขาจะค้อมศีรษะคำนับชายชราในชุดเปื้อนเลือดด้วยความเคารพและเรียกหาว่า “ท่านอาจารย์”
ชายชราชุดเปื้อนเลือดย่อมต้องเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงอวี้ หวังซือเฉาผู้เป็นเจ้าสำนักเฉาเทียน ชายชราผู้เป็นเจ้าของฉายายอดฝีมือพลิกฟ้าสยบปฐพี
มนุษย์ยักษ์ร่างอ้วนผิวสีน้ำเงินใช้โอกาสนี้ล้างกระดานหมากที่ตนเองกำลังจะพ่ายแพ้พร้อมกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่า ลูกศิษย์ของท่านมาแล้ว หมากตานี้ถือว่าเราเสมอกัน”
พูดจบก็ไม่รอให้ชายชราได้ตอบคำใด มันลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากห้องคุมขังส่วนตัวแห่งนี้ทันที
หวังซือเฉาในชุดเปื้อนเลือดเงยหน้าขึ้นมองอวี้เหวินซิวเซียนและถามว่า “รู้จักมาหาอาจารย์เหมือนกันหรือ? ไม่ทราบว่านำอะไรมาให้เราผู้เฒ่ารับประทานบ้าง?”
อวี้เหวินซิวเซียนวางถาดอาหารลงบนโต๊ะหินเบื้องหน้า จัดการรินสุราและจัดแจงวางจานอาหารลงข้างกระดานหมากรุกด้วยความคล่องแคล่ว “อาจารย์ดูสิ นี่มีแต่ของชอบของท่านทั้งนั้นเลยขอรับ”
หวังซือเฉาคว้าตะเกียบและเริ่มต้นรับประทานดื่มกินด้วยความเอร็ดอร่อย
อวี้เหวินซิวเซียนยกมือขึ้นดีดนิ้ว
ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!
เข็มแหลมทั้งเจ็ดเล่มพลันสั่นไหวและพุ่งออกไปจากร่างของหวังซือเฉาทันที
โลหิตไหลทะลักออกมาจากบาดแผล
คลื่นพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของหวังซือเฉาซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในถ้ำใต้ดินแห่งนี้ถึงกับตัวสั่นเทาไปชั่วขณะ
อากาศในห้องคุมขังส่วนตัวเกิดความปั่นป่วนโกลาหล ไม่ต่างจากคลื่นทะเลคลั่งซัดเข้าใส่ชายฝั่งอย่างรุนแรง
บาดแผลบนร่างกายชายชราหายดีอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ ชายชราผู้มีหน้าตาดาษดื่นธรรมดาได้กลับมาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งอีกครั้ง
“เพราะเหตุใด? ทำไมเจ้าถึงดึงเข็มเจ็ดดาราออกไป ไม่กลัวเราผู้เฒ่าหลบหนีอย่างนั้นหรือ?”
มือที่กำลังคีบตะเกียบของหวังซือเฉาพลันหยุดชะงัก มุมปากปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยามเล็กน้อย “หรือเจ้าคิดว่าเราผู้เฒ่าบาดเจ็บมากเกินไป ไม่มีปัญญาทำอะไรได้?”
อวี้เหวินซิวเซียนไม่ตอบคำถามโดยตรง แต่เลือกตอบโดยกล่าวถึงการประลองระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจแทน “อาจารย์ต้องเตรียมตัวเข้าร่วมการประลองขอรับ”
“เด็กน้อย เจ้าคิดจะทำลายภาพลักษณ์ของอาจารย์ เพื่อผลาญขวัญกำลังใจของหมู่มวลมนุษย์สินะ” หวังซือเฉายังคงกล่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ซิวเซียนเอ๋อร์ ไม่ทราบว่าบัดนี้เจ้าฝึกวิชาอยู่ในขั้นใดแล้ว?”
“ขั้นที่ 13 แล้วขอรับ”
“แล้วระดับของปราณปีศาจในตัวเจ้าล่ะ?”
“จอมปีศาจศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขอรับ”
“ประเสริฐ นับว่าหวังซือเฉาผู้นี้มีลูกศิษย์อัจฉริยะจริง ๆ เจ้ากลับไปเถอะ ในเมื่อเจ้าคิดจะใช้อาจารย์เป็นขั้นบันไดเพื่อส่งตนเองขึ้นสู่ความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ อาจารย์ก็จะมอบโอกาสให้กับเจ้า”
“ขอบคุณอาจารย์มากขอรับ”
“เจ้าออกไปได้แล้ว”
“มีอีกเรื่องหนึ่งที่ศิษย์อยากจะกล่าวถามอาจารย์”
“ว่ามาสิ”
“ตอนที่อาจารย์เก็บศิษย์มาเลี้ยง ศิษย์มีพี่น้องอีกสามคน ไม่ทราบว่าในเวลานี้ พวกเขาเหล่านั้นอยู่ที่ใดหรือขอรับ?”
“เราผู้เฒ่าไม่ทราบ”
“ไม่ทราบหรือไม่ยอมบอกขอรับ?”
“หากถูกจับได้ว่าอุปการะเลี้ยงดูผู้ที่มีสายเลือดปีศาจ เจ้าไม่กลัวหรือว่าจะทำให้ผู้อุปการะพี่น้องของเจ้าต้องเดือดร้อน?”
“งั้นอาจารย์อุปการะศิษย์ทำไมขอรับ?”
“…”
ความเงียบ
สุดท้าย อวี้เหวินซิวเซียนก็ต้องกลับออกไปจากคุกใต้ดิน