เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1586 ใครคือพวกชั้นต่ำ
ตอนที่ 1,586 ใครคือพวกชั้นต่ำ?
คลื่นพลังไหลรินเข้าสู่ร่างกายของเซียวปิง
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เซียวปิงฝึกฝนวิชาฝีมือของสำนักกระบี่เหินฟ้ามาโดยตลอด ดังนั้นร่างกายจึงไม่ปฏิเสธพลังปราณชนิดเดียวกันที่ไหลซึมเข้ามา
ในขณะนี้ ทุกคนต่างก็เข้าใจเจตนาของหลิวอู่เหยียน
พลังปราณแท้จริงที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของชายชราต้องใช้เวลาบ่มเพาะไม่ต่ำกว่าสามร้อยปี แม้ว่าพลังจะถูกใช้เป็นจำนวนมากในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แต่พลังที่ไหลรินเข้าสู่ร่างกายของเซียวปิงก็เท่ากับพลังที่ผู้อื่นต้องเสียเวลาฝึกฝนนานนับร้อยปีทีเดียว…
นี่เท่ากับสวรรค์ประทานพรให้แก่เซียวปิงแล้ว
หลายคนจึงจ้องมองด้วยความอิจฉาริษยา
นี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
โชคดีที่ก่อนหน้านี้เซียวปิงสามารถขึ้นสู่ขอบเขตพลังจอมเทพระดับ 5 ได้สำเร็จด้วยการทำภารกิจจากแอปพลิเคชัน Keep ร่างกายของเขาจึงมีพื้นฐานพลังแข็งแกร่งมากกว่าเดิม นอกจากสามารถรองรับมวลพลังที่ไหลผ่านเข้ามาได้แล้ว การหลอมรวมพลังยังเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากกว่าเดิมอีกด้วย…
หลินเป่ยเฉินถอนสายตาและหันไปจ้องมองทางอัฒจันทร์ฝั่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใดตอนที่ภูตอเวจีปรากฏตัวออกมา หลินเป่ยเฉินกลับเกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอย่างประหลาด
ภูตอเวจีผู้นี้มีความแข็งแกร่งและทรงพลัง
หลินเป่ยเฉินมองออกว่าต่อให้หลิวอู่เหยียนมีร่างกายสมบูรณ์ดี ก็ยังไม่สามารถรับฝ่ามือนี้ของคู่ต่อสู้ผู้นี้ได้ด้วยซ้ำ
แต่คลื่นพลังที่กระจายตัวออกมานั้นทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ได้
เขารู้สึกเหมือนตนเองเคยพบเห็นภูตอเวจีผู้นี้ที่ไหนมาก่อน
ระหว่างที่ใช้ความคิดอยู่นั้นเอง
“การประลองคู่ที่สี่ เผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องส่งตัวแทนออกมาก่อน”
เสียงของราชาอสูรวาฬดังกังวานไปทั่วเขาอวิ๋นเจวี่ยน
ลำแสงสีม่วงพุ่งออกมาจากอัฒจันทร์ฝั่งปีศาจ ก่อนที่ร่างของใครคนหนึ่งจะทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนเวทีประลอง
เสื้อคลุมสีม่วง หมวกคลุมศีรษะสีม่วง ร่างกายครอบคลุมด้วยเปลวไฟสีม่วง…
ทรงพลังและลึกลับ
หากไม่ใช่เพราะว่าบุคคลนี้มีร่างกายสูงใหญ่กำยำมากกว่ามนุษย์ทั่วไปถึงสามเท่า และกลิ่นไอที่แผ่ออกมาจากร่างกายแตกต่างกันมากเกินไป ผู้คนก็คงเข้าใจว่านี่เป็นภูตอเวจีที่เพิ่งเอาชนะหลิวอู่เหยียนไปได้เมื่อสักครู่และกลับมาลงสู่เวทีประลองอีกครั้ง
“ภูตอเวจีอีกตนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?”
“นี่มัน…”
“การต่อสู้ครั้งนี้มีความเสี่ยงมากเกินไป”
สีหน้าของบรรดาท่านเจ้าสำนักใหญ่แสดงออกราวกับพบเห็นวันสิ้นสุดของโลก
ฝ่ายมนุษย์พ่ายแพ้มาสามคู่ติดแล้ว
และในการประลองคู่ที่สี่ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยังคงส่งหนึ่งในตัวแทนที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาต่อสู้
“ข้าจะพยายามให้เต็มที่ก็แล้วกัน”
เยว่อู๋เซี่ยประมุขค่ายน้ำอ่าวจันทราค่อย ๆ ก้าวเท้าออกไปข้างหน้า
นางเป็นผู้แข็งแกร่งลำดับที่สามภายในเมืองชิงอวี้ร่วมกับไป๋ลู่ซือ เป็นรองก็แต่เพียงหวังซือเฉากับหลิวอู่เหยียนเท่านั้น แต่ประมุขรักษาการผู้นี้ก็ยังไม่มั่นใจว่าตนเองจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ
แต่สถานการณ์ในขณะนี้ ต้องมีใครสักคนออกไปยืนอยู่บนเวทีประลองแล้ว
แม้พอจะคาดเดาได้ว่าวันนี้ฝ่ายมนุษย์คงต้องพ่ายแพ้ด้วยกันทั้งหมด แต่นางก็จะไม่ขอคุกเข่ายอมรับความตายเด็ดขาด
“ท่านประมุขเยว่ ให้ข้ารับผิดชอบเองเถอะ”
เผิงเส้าเจี๋ย ประมุขเกาะมังกรฟ้าค่อย ๆ ก้าวเท้าออกมาข้างหน้า เขาคือผู้แข็งแกร่งลำดับที่แปดในเมืองชิงอวี้ แม้การลงสู่เวทีประลองในครั้งนี้เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ตราบใดที่ยังสามารถรักษาชีวิตยอดฝีมือตัวจริงเอาไว้ได้ มวลมนุษย์ก็ยังคงมีความหวังอยู่เสมอ อย่างน้อยให้ได้รับชัยชนะสักคู่หนึ่งก็ยังดี
“ฮ่า ๆๆ พี่น้องทุกท่าน เหตุไฉนไม่ปล่อยให้เราผู้ต่ำต้อยออกไปแสดงฝีมือดูบ้างเล่า?”
เหอเจิ้งชิงผู้อาวุโสใหญ่แห่งค่ายภูเขาอวิ๋นอู่ส่งเสียงโพล่งขึ้นมา
นี่คือการประกาศเจตนารมณ์ว่าเขายินดีออกไปตายแทนทุกคนเอง
“มีเหตุผลอันใดที่จะส่งท่านออกไปตาย? ให้เราผู้เฒ่าออกไปแสดงฝีมือดีกว่า”
“ช่างน่าขำ ใครจะปล่อยให้ท่านได้ความดีความชอบอยู่คนเดียวเล่า? เมื่อครึ่งปีก่อน ข้าก็เคยหลงกลท่านมาแล้วเที่ยวหนึ่ง ท่านถอยไปเถอะ ครั้งนี้เราจะออกไปแสดงฝีมือเอง”
“เฒ่าผู้นี้ดื้อด้านยิ่งนัก ก่อนตายคงอยากเจ็บตัวแล้วกระมัง”
กลุ่มคนที่หมดหวังพลันกลับมีจิตใจห้าวหาญขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
บรรดาผู้อาวุโสจากสำนักต่าง ๆ พร้อมใจกันสละชีวิตตนเองอาสาออกไปประลอง
ทันใดนั้น อวี้อู๋เฉียนก็ส่งเสียงแทรกขึ้นมาว่า “ไม่ต้องแย่งกัน… มีคนออกไปประลองแล้ว”
ทุกคนที่กำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือดพลันเงียบเสียงลงโดยทันที
เมื่อหันหน้ามองไปยังเวทีประลอง พวกเขาก็ไม่ทราบเลยว่าหลินเป่ยเฉินไปยืนเผชิญหน้ากับภูตอเวจีของฝ่ายปีศาจตั้งแต่เมื่อไหร่
ในที่สุด เด็กหนุ่มก็กำลังจะแสดงฝีมือแล้ว
กลุ่มคนจากสำนักต่าง ๆ หัวใจเต้นรัวเร็วด้วยความลุ้นระทึก คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินที่สามวันก่อนยังเรียกร้องสิ่งของตอบแทนในการประลอง เวลานี้กลับยินดีเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้คน
เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่?
ในสถานการณ์ที่หวังซือเฉากับหลิวอู่เหยียนต่างก็พ่ายแพ้กันไปหมดสิ้น หากหลินเป่ยเฉินซึ่งสามารถสังหารจอมปีศาจระดับ 9 ได้อย่างง่ายดายนั้น จะถูกยึดถือเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของฝ่ายมนุษย์ก็คงไม่ใช่สิ่งที่ผิดนัก
บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
เงียบงัน
กดดันจนทุกคนแทบหายใจไม่ออก
บนเวทีประลอง
“เผ่าพันธุ์มนุษย์ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน ถึงกับต้องส่งเด็กหนุ่มผู้หนึ่งออกมาแล้วหรือนี่”
ภูตอเวจีก้มหน้ามองลงมาที่หลินเป่ยเฉิน ดวงตาที่อยู่ภายใต้หมวกคลุมศีรษะของมันไม่ต่างจากดวงดาวสีม่วงขนาดใหญ่สองดวง ซึ่งกำลังจะกลืนกินผู้คนเข้าไปด้วยความอำมหิต
“พวกชั้นต่ำมีสิทธิ์พูดเช่นนี้ด้วยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะตอบกลับไป
ภูตอเวจีร่างใหญ่ถามกลับมา “พวกชั้นต่ำ? เจ้าหมายถึงข้าอย่างนั้นหรือ? ฮ่า ๆๆ เจ้า…”
ฟิ้ว!
เสียงที่แปลกประหลาดดังขึ้น
เสียงหัวเราะของภูตอเวจีขาดหายไป
ศีรษะขนาดใหญ่ของมันหงายไปด้านหลัง ก่อนระเบิดออกเป็นม่านหมอกเลือดสีม่วงเข้ม
กะโหลกศีรษะเปิดออก เผยให้เห็นเนื้อสมองสีขาวโพลน
พลังปราณปีศาจรั่วไหลออกไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้า…”
ด้วยความที่มีขั้นพลังแข็งแกร่ง ภูตอเวจีร่างใหญ่จึงไม่ตายในทันที ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความพิศวงและความหวาดกลัว
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
โลหิตสีม่วงอีกสามสายพุ่งกระฉูดออกมาจากหน้าอกฝั่งซ้าย ช่วงท้องด้านล่างและตรงกลางหว่างขา
หลินเป่ยเฉินไม่เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้แม้แต่น้อย
จุดเด่นในการทำลายล้างของปราณกระบี่คงกระพันคือการบดขยี้มวลกล้ามเนื้อและกระดูก รวมถึงอวัยวะภายในให้แหลกสลาย
ภูตอเวจีร่างใหญ่พยายามยกมือขึ้นปิดบาดแผลตรงหน้าอก เพื่อหยุดยั้งการไหลทะลักของโลหิต
แต่บาดแผลมีขนาดใหญ่มากเกินไป
โลหิตไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง
ภูตอเวจีผู้นี้ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตนเองเดินทางมาจากภพภูมิดาราจักร กลับต้องมาถึงแก่ความตายในเมืองเล็ก ๆ อันห่างไกลความเจริญเช่นนี้เอง
แต่มันไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งใดได้อีกแล้ว
บรรดาผู้ชมที่อยู่โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาเป่าปลายกระบอกปืน
เรียบร้อย!
ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมแล้ว!!
กระสุนปืน AWM ที่ยิงออกไปด้วยพลังปราณปีศาจที่ได้มาจากปีศาจเหยียนซานนั้นมีอานุภาพการทำลายล้างน่ามหัศจรรย์
ภูตอเวจีร่างใหญ่ยักษ์ตนนี้น่าจะมีพลังอยู่ในขั้นจอมอสูรระดับ 10 เป็นอย่างน้อย และคงกำลังจะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นจอมอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ในอีกไม่ช้า แต่เมื่อถูกยิงในระยะประชิดอย่างไม่ทันตั้งตัว สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี
ตึง!
ร่างกายขนาดใหญ่ล้มลงบนพื้นเวทีประลอง
หลินเป่ยเฉินรีบตามติดเข้าไปโดยเร็ว
เขาประทับฝ่ามือลงไปบนหน้าอกของซากศพภูตอเวจีร่างใหญ่
เริ่มต้นการดูดซับพลังปราณปีศาจ
คลื่นพลังที่ปั่นป่วนอยู่ในร่างไร้ชีวิตของภูตอเวจีค่อย ๆ ถูกดูดซึมขึ้นสู่ฝ่ามือของเด็กหนุ่มโดยไม่มีสิ่งใดกีดขวาง
ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินเลือกใช้งานมือซ้าย
ทันใดนั้น ไม่ใช่เพียงแต่มือขวาของเขาเท่านั้นที่เป็นสีม่วงเข้ม แม้แต่มือซ้ายก็เป็นสีม่วงเข้มเช่นกัน
มิหนำซ้ำ มันยังมีอาการบวมโตขึ้นมาอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินรีบนำสนับแขนของชุดเกราะอมตะออกมาสวมใส่ เพื่อปกปิดความผิดปกติของแขนซ้ายตนเอง
ตู้ม!
ทันใดนั้น เกิดเสียงคลื่นพลังระเบิดดังขึ้นจากรอบทิศทาง
กลุ่มคนดูจากทุกเผ่าพันธุ์สะดุ้งโหยงด้วยความตื่นตระหนก
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์ปีศาจ หรือว่าเผ่าพันธุ์อสูร บัดนี้ ทุกฝ่ายต่างไม่ได้ตื่นเต้นดีใจ โกรธแค้น เศร้าสลดหรือมีความสุข
แต่ทุกฝ่ายต่างมีอาการเดียวกันคือตกตะลึง
ไม่ใช่สิ ต้องอธิบายว่าทุกฝ่ายต่างมีอาการตื่นตระหนกต่างหาก
ไม่มีผู้ใดอยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
แม้แต่บรรดายอดฝีมือของฝ่ายมนุษย์ที่ภาวนาให้สิ่งนี้เกิดขึ้น พวกเขาภาวนาให้หลินเป่ยเฉินได้รับชัยชนะ แต่เมื่อเด็กหนุ่มได้รับชัยชนะจริง ๆ ทุกคนกลับรู้สึกว่านี่สมควรเป็นเพียงภาพมายาต่างหาก
นี่คือวิชาปราณกระบี่คงกระพันที่สามารถสังหารหัวหน้ากลุ่มปีศาจเหยียนซานได้ในกระบวนท่าเดียวใช่หรือไม่?
นี่มัน… วิชานี้มันช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!!!